“อุ๊งอิ๊ง” นั่งนายกฯ จุดเสี่ยงตระกูลชิน คาดลดวงเงินดิจิทัล-แจกเป็นเงินสด

“รศ.ดร.พิชาย” เชื่อ ส.ส.เพื่อไทยอยากให้ “อุ๊งอิ๊ง” นั่งนายกฯ เพื่อใช้บารมี “ลูกนายใหญ่” และความเป็นคนรุ่นใหม่เรียกคะแนนนิยม สู้กับ “พรรคประชาชน” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ขณะที่ "ทักษิณ" อาจไม่อยากให้ลูกสาวลงมาเสี่ยง หวั่นซ้ำรอยพ่อกับอา เพราะมีคนจ้องฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งกรณีเงินดิจิทัลและการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม พา “ยิ่งลักษณ์” กลับบ้าน เชื่อไม่ว่าใครนั่งนายกฯ ก็ต้องลดเพดานโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยแจกเป็นเงินสดและลดวงเงิน ด้าน “ผศ.ดร.วันวิชิต” ชี้ “เสี่ยหนู” พร้อมเป็นนายกฯ มากกว่า เหตุมี ส.ว.สายสีน้ำเงิน สนับสนุนในการผ่านร่างกฎหมาย



ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ “นายเศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมทั้งให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ เนื่องจากความผิดด้านจริยธรรมจากกรณีการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เจ้าของฉายา "ทนายถุงขนม" เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่นายพิชิต มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ทางด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทยต่างก็พร้อมใจกันเสนอชื่อ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยให้กรรมการบริหารพรรคนำเรื่องนี้ไปขอความเห็นชอบจาก “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเดิมก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันเปิดทางให้ลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร ขึ้นนั่งในตำแหน่งดังกล่าวแบบไร้คู่แข่งขัน

ส่วนว่า น.ส.แพทองธาร จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 จริงหรือไม่? หากได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง และจะมีชะตากรรมเดียวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นอา หรือนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา อย่างที่หลายฝ่ายกลัวกันหรือไม่นั้น คงต้องไปฟังมุมมองความเห็นจากนักวิชาการที่ติดตามการเมืองไทยอย่างใกล้ชิด


รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) อธิบายว่า หลังจากที่นายเศรษฐา ในฐานะนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง ตามกฎหมายต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นขั้วรัฐบาลเดิมหรือต้องจับขั้วใหม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะเจรจาต่อรองกันอย่างไร

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะรีบตั้งรัฐบาลให้ได้เร็วที่สุดเพราะนายกฯ จะปฏิบัติหน้าที่ได้ต้องมีคณะรัฐมนตรี มีการแถลงนโยบายในสภา โดยหลังจากการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแล้วจะจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งปกติจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนถ้ามีการเจรจาต่อรองกันลงตัว แต่ถ้าไม่ลงตัวก็ยื้อไปได้เรื่อยๆ เพราะไม่มีกำหนดว่าจะต้องตั้งคณะรัฐมนตรีภายในกี่วัน

“การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีครั้งนี้จะตั้งเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีเงื่อนเวลา แต่เชื่อว่ารัฐบาลคงดำเนินการโดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศในการบริหารงาน ซึ่งการเลือกนายกฯ ยังต้องมีการลงคะแนนโหวตโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่วนสมาชิกวุฒิสภานั้นไม่สามารถโหวตเลือกนายกฯ ได้แล้วเพราะบทเฉพาะกาลสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นพรรคร่วมรัฐบาลมีเสียงข้างมากอยู่แล้วก็คงไม่มีปัญหาอะไร” รศ.ดร.พิชาย กล่าว

ส่วนการที่พรรคเพื่อไทยมีมติเสนอชื่อ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้นั้น “รศ.ดร.พิชาย” มองว่า ถ้า น.ส.แพทองธาร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้น่าจะสร้างชีวิตชีวาในการบริหารให้รัฐบาลได้มากกว่านายชัยเกษม นิติสิริ โดย ส.ส.เพื่อไทยคงคาดหวังว่าแพทองธาร จะสามารถสร้างคะแนนนิยมให้พรรคได้มากขึ้น ทั้งจากบารมีที่เป็นลูกสาวหัวหน้าพรรค และจากการที่เป็นคนรุ่นใหม่ซึ่งกล้าคิดกล้าทำมากกว่า ซึ่งจะมีผลต่อคะแนนนิยมในเขตเลือกตั้งต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้พรรคมีโอกาสเติบโตได้มากว่านายชัยเกษม ซึ่งปัจจุบันอายุมากแล้ว การขับเคลื่อนงานต่างๆอาจไม่คล่องตัว ไม่สามารถสร้างคะแนนนิยมให้พรรคได้

อย่างไรก็ดี ขณะที่ ส.ส.เพื่อไทยคำนึงถึงคะแนนนิยมของพรรค แต่นายทักษิณ อาจจะคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับ น.ส.แพทองธาร มากกว่า เพราะหากแพทองธารขึ้นมาเป็นนายกฯ ต้องแบกรับภาระและเผชิญกับความเสี่ยงในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกโจมตี หรือหากต้องทำเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่างการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม เพื่อพา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับบ้าน เกิดมีผู้ไปฟ้องร้อง น.ส.แพทองธารก็ต้องแบกรับเต็มๆ ดังนั้นนายทักษิณและครอบครัวชินวัตรก็อาจจะไม่อยากให้ น.ส.แพทองธารขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ในช่วงนี้ และอาจให้นายชัยเกษมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีไปก่อนเพื่อขับเคลื่อนภารกิจและรับแรงปะทะแทน น.ส.แพทองธาร

“ส.ส.คาดหวังให้คุณอุ๊งอิ๊งซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อสร้างผลงานและต่อสู้กับพรรคประชาชนที่แกนนำส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ แต่มุมมองของคุณทักษิณและครอบครัวชินวัตรอาจจะเป็นห่วง ยังไม่อยากให้อุ๊งอิ๊งขึ้นรับตำแหน่งนายกฯ ในตอนนี้ ผมคิดว่าการที่ ส.ส.เพื่อไทยเสนอชื่นคุณอุ๊งอิ๊งนั้นเป็นความต้องการของ ส.ส.เอง ขณะที่คุณทักษิณยังไม่รู้ และไม่แน่ใจว่าคุณทักษิณจะเห็นชอบหรือเปล่า ทาง ส.ส.จึงมอบให้กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยไปคุยกับคุณทักษิณก่อน ซึ่งก็ขึ้นกับคุณทักษิณว่าจะตัดสินใจอย่างไร” รศ.ดร.พิชาย ระบุ


รศ.ดร.พิชาย กล่าวต่อว่า หาก น.ส.แพทองธาร ขึ้นมาเป็นนายกฯ อาจต้องเผชิญกับมรสุมทางการเมืองอย่างหนัก ทำให้บอบช้ำเกินไปที่จะแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่สำคัญถ้า น.ส.แพทองธารจำเป็นต้องเดินหน้าทำโครงการแจกเงินดิจิทัลก็เสี่ยงที่จะโดนคดี แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่มีข้ออ้างกับกลุ่มผู้สนับสนุน พรรคเพื่อไทยจะเสียคะแนนอีก และจากสถิติหากมีการฟ้องร้องนายกฯ จากเครือค่ายชินวัตรก็ไม่รอดสักราย ไม่ว่าจะเป็น นายสมัคร สุนทรเวช น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาถึงนายเศรษฐา ล้วนถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งทุกราย แม้แต่นายทักษิณซึ่งถูกยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแม้ว่าจะรอดก็รอดแบบหวุดหวิดท่ามกลางเสียงครหาของคนทั้งประเทศ

“คิดว่าตระกูลชินวัตรคงไม่อยากให้คุณอุ๊งอิ๊งขึ้นเป็นนายกฯ เพราะเสี่ยงที่จะถูกโจมตีอย่างหนัก คุณอุ๊งอิ๊งจะถูกเรียกร้องให้ผลักดันโครงการเงินดิจิทัลซึ่งก็เสี่ยงเพราะตอนนี้หลายคน ทั้งนักการเมือง นักกฎหมาย เตรียมที่จะฟ้องอยู่แล้ว เชื่อว่าคุณทักษิณคงไม่อยากให้ลูกสาวมาเผชิญความเสี่ยงเพราะมีความเป็นไปได้ที่คุณอุ๊งอิ๊งจะมีชะตากรรมเดียวกับพ่อและอา แต่ก็เร็วไปที่จะบอกว่าจะเป็นการนับถอยหลังของตระกูลชินวัตรหรือเปล่า เพราะเมื่อมีบทเรียนมาแล้วเขาก็ต้องระมัดระวัง คุณอุ๊งอิ๊งก็คงไม่ทำอะไรที่สุ่มเสี่ยง” รศ.ดร.พิชาย ระบุ

ด้าน ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่า ถ้าตามคุณสมบัติและหลักการ ทั้งนายชัยเกษม และ น.ส.แพทองธาร ต่างมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ แต่ปัจจัยสำคัญคือสภาพแวดล้อมในขณะนี้ ต้องถามว่า น.ส.แพทองธารพร้อมหรือยังที่จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะสุ่มเสี่ยงที่จะเผชิญกับปัญหารอบด้าน ถ้าให้ น.ส.แพทองธารดำรงตำแหน่งนายกฯ ก็เท่ากับเป็นการเดิมพันอะไรหลายๆอย่างในตระกูลชินวัตร เดิมพันต่ออนาคตและชื่อเสียงของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่พรรคทุ่มเทอย่างมาก ที่ผ่านมาเพื่อไทยดันนายเศรษฐาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี 4 ปี เพื่อรอเวลาส่งไม้ต่อให้ น.ส.แพทองธาร แต่เมื่อนายเศรษฐาเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองต้องลงจากตำแหน่งก่อนกำหนด และนายชัยเกษมไม่รับตำแหน่งก็อาจจำเป็นที่ต้องยอมให้ น.ส.แพทองธารขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

ผศ.ดร.วันวิชิต กล่าวต่อว่า ส่วนตัวเห็นว่า “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อาจจะมีความพร้อมที่จะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมากกว่า น.ส.แพทองธาร เพราะมี ส.ว.สายสีน้ำเงินให้การสนับสนุนอยู่ข้างหลัง แม้การเลือกนายกฯ ครั้งนี้ ส.ว.จะไม่มีสิทธิโหวตเลือกเหมือนครั้งที่ผ่านมา แต่ในอนาคตหากรัฐบาลจะผลักดันกฎหมายต่างๆ ต้องพึ่งเสียง ส.ว. หากมีเสียงของสมาชิกวุฒิสภาคอยสนับสนุนทุกอย่างก็ง่าย แต่หากพรรคเพื่อไทยจะผลักดันกฎหมายก็อาจจะยากกว่า ดังนั้นจะทำอะไรจึงต้องเกรงใจพรรคภูมิใจไทย รวมถึงการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีด้วย ดังนั้นหากนายชัยเกษมไม่รับตำแหน่งนายกฯ ก็เป็นโอกาสที่เก้าอี้นายกจะตกเป็นของภูมิใจไทย

และแม้นายอนุทิน จะไม่ได้เป็นนายกฯ แต่การตั้งรัฐบาลครั้งนี้ภูมิใจไทยคงได้กระทรวงสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลน่าจะได้อะไรจาก “ปฏิญญาเขาใหญ่” มากพอสมควร หากมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ แต่ละพรรคน่าจะได้กระทรวงที่ดีขึ้น แต่หากเกิดการเปลี่ยนแปลงในพรรคร่วมรัฐบาลโดยให้ภูมิใจไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเชื่อว่าน่าจะมีการดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลได้สะดวกใจมากขึ้น อย่างไรก็ดี ในสมการนี้พรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นพรรคขนาดกลางก็ต้องเผชิญอะไรมากพอสมควร และไม่แน่ว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระหรือไม่เพราะอย่าลืมว่าพรรคภูมิใจไทยก็ถูกร้องยุบพรรคด้วยเหมือนกัน

“เชื่อว่านายภูมิธรรม เวชยชัย จะรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่นาน พรรคร่วมรัฐบาลจะเร่งโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่โดยเร็ว ส่วนเพื่อไทยจะปล่อยเก้าอี้นายกฯ ให้พรรคอื่นหรือไม่ต้องดูว่าคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยมีอำนาจต่อรองมากน้อยเพียงใด ถ้าไม่ปล่อยเก้าอี้นายกฯ อำนาจต่อรองของพรรคเพื่อไทยน่าจะน้อยลง ถ้าจะให้พรรคร่วมรัฐบาลยกมือเมื่อสนับสนุนให้คุณชัยเกษม หรือคุณแพทองธารเป็นายกฯ ก็อาจต้องมีกระทรวงดีๆ เป็นข้อแลกเปลี่ยน จะเกิดปรากฏการณ์ได้คืบจะเอาศอก เพื่อไทยอาจจะต้องยอมเฉือนเนื้อตัวเอง” ผศ.ดร.วันวิชิต กล่าว


ขณะที่ รศ.ดร.พิชาย ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ขณะนี้มีการปล่อยข่าวว่าพรรครัฐบาลจะผลักดันให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และให้พรรคเพื่อไทยไปเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากพรรครวมไทยสร้างชาติมีขนาดเล็กมาก แม้จะรวมพรรคร่วมรัฐบาลเดิมและดึงพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลด้วย แต่ถ้าไม่มีพรรคเพื่อไทย รัฐบาลของรวมไทยสร้างชาติจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งอยู่ยากมาก

ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่นั้น “รศ.ดร.พิชาย” มองว่า หากพรรคเพื่อไทยยังคงเป็นแกนนำรัฐบาลและนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็ยังคงขับเคลื่อนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่จำเป็นต้องถอยหนึ่งก้าวด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการดำเนินการ และลดวงเงินลง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี เช่น แจกเป็นเงินสดให้ประชาชนแต่ลดวงเงินที่จะแจก

“ถ้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตยังคงใช้วงเงิน 5 แสนล้านบาทอยู่ ไม่ว่าใครเป็นนายกฯ ก็มีความเสี่ยงเพราะมีคนจ้องที่จะฟ้องอยู่แล้ว แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายเงินดิจิทัลก็จะเสียคะแนนนิยม ดังนั้น เพื่อคงคะแนนนิยมเอาไว้อาจจะมีการประนีประนอมกันโดยอาจจะลดขนาดของโครงการลง ลดวงเงินในการแจกเหลือแค่ 2-3 แสนล้านบาทก็สามารถใช้เงินจากวงเงินงบประมาณได้โดยไม่ต้องกู้ และเปลี่ยนรูปแบบโดยไม่แจกเป็นเงินดิจิทัล แต่แจกเป็นเงินสดแทน รวมถึงอาจเลือกแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เพื่อไม่ให้ถูกฟ้องร้อง” รศ.ดร.พิชาย กล่าว

ส่วนการเมืองนับจากนี้จะมีเสถียรภาพหรือไม่นั้น “รศ.ดร.พิชาย” ชี้ว่า ต้องดูการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะสามารถเจรจาได้ลงตัวหรือไม่ ช้าเร็วขนาดไหน หากแต่ละพรรคตกลงกันได้การเมืองจะมีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี แม้จะเจรจากันได้ บริหารประเทศได้ แต่คาดว่าคงไม่มีพลังในการขับเคลื่อนประเทศมากนัก เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ค่อนหน้างหนัก นายกรัฐมนตรีที่มาแทนนายเศรษฐา ไม่ว่าจะมาจากพรรคไหนก็คงทำอะไรไม่ได้มาก เพียงแค่ประคับประคองกันต่อไป

“โดยส่วนตัวเชื่อว่ารัฐบาลหลังจากนี้จะอยู่ไม่ครบ 4 ปี น่าจะมีการยุบสภาก่อน แต่ทั้งนี้เพื่อไทยคงพยายามยืดระยะเวลาการยุบสภาออกไปให้ได้นานที่สุดเพราะถ้ายุบสภาและเลือกตั้งใหม่ตอนนี้พรรครัฐบาลน่าจะแพ้กันระเนระนาด เพราะตอนนี้พรรคประชาชนกระแสแรงมาก” รศ.ดร.พิชาย กล่าว

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่

Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j