“ทนายเจมส์” แจงกฎหมาย “ฟ้องชู้” ที่แก้ไขใหม่ หลังคำวินิจฉัยของศาล รธน.เพิ่มสิทธิให้ “เมียหลวง” สามารถฟ้องได้ทั้งชู้ที่เป็นหญิงและชาย ฟ้องได้ทั้งกินกันลับๆ และเปิดเผย รวมทั้งให้สิทธิคู่สมรส LGBT ฟ้องชู้ได้ ยันแม้หย่าแล้วก็ฟ้องชู้ได้ แต่ต้องฟ้องภายใน 1 ปีที่รู้ พร้อมระบุความเจ็บช้ำน้ำใจของเมียหลวง-ผัวหลวง จะถูกตีเป็นมูลค่าที่ชู้ต้องจ่าย ยิ่งระรานก็ยิ่งจ่ายหนัก แนะ “เมียหลวง” มีสิทธิเรียกคืนทรัพย์สินที่ “สามี” เปย์ให้ “เมียน้อย” ขณะที่ยังไม่ได้หย่า เนื่องจากถือเป็น “สินสมรส”
เป็นประเด็นที่สร้างความตกใจให้สังคมไม่น้อยทีเดียวเมื่อมีข่าวออกมาว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า “กฎหมายฟ้องชู้ขัดรัฐธรรมนูญ”ส่งผลให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา กระทั่งผู้รู้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงกันจ้าละหวั่น ส่วนว่าข้อเท็จจริงของเรื่องนี้จะเป็นเช่นนั้นต้องไปฟังคำชี้แจงจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
"ทนายเจมส์" นิติธร แก้วโต ทนายความชื่อดัง อธิบายถึงกรณีดังกล่าว ว่า สืบเนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1523 วรรค 2 ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย” ตามคำร้องของ พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในฐานะหน่วยงานซึ่งได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเห็นว่ามาตราดังกล่าวมีปัญหาเรื่องความเท่าเทียมระหว่างสามีและภรรยาในการฟ้องชู้ เพราะเงื่อนไขในการฟ้องไม่เป็นธรรม โดยกฎหมายเดิมระบุว่า สามีสามารถเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาในทำนองชู้สาวได้ และภรรยาสามารถเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวได้
ซึ่งจากบทบัญญัติดังกล่าวแปลว่า “สามี” จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากชู้เพศใดก็ได้ โดยไม่ต้องดูว่าภรรยาสมัครใจที่จะมีความสัมพันธ์หรือไม่ และไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าเป็นการแสดงความสัมพันธ์โดยเปิดเผยหรือเปล่า
ในขณะที่หากเป็นฝ่าย “ภรรยา” จะฟ้องเรียกร้องค่าทดแทนจากคนที่มาเป็นชู้กับสามีของตนได้เฉพาะกรณีที่ชู้เป็น “ผู้หญิง” เท่านั้น แต่หากผู้ที่เป็นชู้กับสามีของตนเป็นผู้ชายก็ไม่สามารถฟ้องร้องได้ อีกทั้งยังมีเงื่อนไขว่าหญิงที่เป็นชู้นั้นต้องแสดงความสัมพันธ์ในทางชู้สาวโดยเปิดเผย ถ้าคบกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่เปิดเผยก็ไม่สามารถเรียกค่าทดแทนได้เช่นกัน
ทั้งนี้ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตราดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญแล้ว ขั้นตอนต่อไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการแก้ไขข้อกฎหมายให้มีความเท่าเทียม โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 360 วัน ซึ่งหลังจากแก้ไขกฎหมายดังกล่าวแล้วจะส่งผลให้ทั้งสามีและภรรยาสามารถฟ้องชู้เพศใดก็ได้ ไม่ว่าชู้นั้นจะมีความแบบลับๆ หรือเปิดเผย
“สาเหตุที่มีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนว่ากฎหมายฟ้องชู้ไม่เป็นธรรมสำหรับผู้หญิงเพราะว่าสามีสามารถฟ้องชู้ได้ไม่ว่าชู้จะเป็นเพศใด แต่ภรรยาจะฟ้องชู้ได้เฉพาะกรณีที่ชู้เป็นผู้หญิงเท่านั้น ในขณะที่ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป ชายชู้อาจจะมามีสัมพันธ์กับสามีคนอื่นก็ได้ หรือผู้หญิงอาจจะมาเป็นชู้กับภรรยาคนอื่นได้เช่นกัน ซึ่งการกระทำเหล่านี้ส่งผลให้ครอบครัวแตกแยก และมีผลกระทบต่อลูกและผู้ที่เป็นภรรยาหรือสามี จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไข ที่ผ่านมา ผู้หญิงเสียเปรียบเยอะเพราะ ผู้ชายสามารถฟ้องชู้ได้หมด แค่มีคนอื่นมาล่วงเกินภรรยา ไม่ต้องถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์ด้วยนะ มากอด จับมือ หอมแก้ม ฟ้องได้หมด ไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานว่าไปนอนกันที่ไหน มีใบเสร็จโรงแรมหรือเปล่า แต่ภรรยานี่นอกจากจะฟ้องชายชู้ไม่ได้แล้ว การจะฟ้องหญิงชู้ได้ก็ต่อเมื่อหญิงนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผย แต่ถ้าเขาแอบแซ่บกันก็ฟ้องไม่ได้ แต่หลังจากแก้ไขกฎหมายดังกล่าวแล้ว ไม่ว่าชู้จะเป็นเพศใด จะกินกันในที่ลับหรือคบกันแบบเปิดเผยก็ฟ้องได้หมด ซึ่งการแก้ไขกฎหมายนี้จะเป็นการรองรับการฟ้องชู้ของคู่สมรสที่เป็น LGBT ด้วย ดังนั้นต่อไปกฎหมายฟ้องชู้อาจจะไม่มีคำสามีภรรยาแล้ว อาจจะใช้คำว่าคู่สมรสแทน” ทนายเจมส์ ระบุ
ทนายเจมส์ยังได้แนะนำวิธีเก็บหลักฐานเพื่อการฟ้องชู้ ว่า จะต้องมีหลักฐานว่าชู้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคู่สมรสของเรา ซึ่งประกอบด้วย 1.ภาพถ่ายที่ทั้งสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันและได้แสดงออกเยี่ยงคนรัก ไม่ว่าจะไปด้วยกันสองต่อสองหรือไปเป็นหมู่คณะ โดยสามารถหาได้จากสื่อโซเชียลของทั้งสองคน รวมถึงบุคคลใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น Facebook อินสตราแกรม X หรือทวิตเตอร์ ซึ่งสื่อให้เห็นว่าทั้งสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา 2.ภาพคู่ที่ทั้งสองคนโพสต์ลงสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นจุดที่สามารถชี้ให้เห็นว่าทั้งสองคบกันแบบเปิดเผย 3.หลักฐานที่แสดงว่าทั้งสองคนอยู่กินด้วยกันหรือมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน เช่น เช่าบ้าน เช่าห้อง เช่าคอนโดฯ อยู่ด้วยกัน เข้าโรงแรมด้วยกัน ซึ่งอาจจะเป็นภาพถ่ายหรือใบเสร็จต่างๆ 4.ภาพหลักฐานที่ทั้งสองคนไปร่วมงานหรือกิจกรรมสำคัญๆ ด้วยกัน โดยเฉพาะงานสำคัญที่เอาผู้หญิงหรือผู้ชายไปเปิดตัว เช่น งานวันเกิดของแม่ฝ่ายชาย แล้วเอาผู้หญิงไปแนะนำให้ญาติๆ รู้จัก งานรับปริญญาของฝ่ายหญิง งานบวชของฝ่ายชาย ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน
ซึ่งในกรณีที่ชู้อ้างว่าโดนกลั่นแกล้ง ถูกตัดต่อภาพ ชู้ก็ต้องไปหาภาพต้นฉบับมายืนยัน และเมื่อมีการฟ้องร้อง โจทก์จะต้องมีการยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวไปร่วมงานนั้นงานนี้ในวันที่เท่าไหร่ รวมถึงอาจมีพยานในเหตุการณ์มายืนยันด้วย ส่วนผู้ที่ถูกฟ้องชู้ก็ต้องหาหลักฐานมายืนยันว่าถ้าไม่ได้อยู่ในงานแล้ววันดังกล่าวอยู่ที่ไหน หรือถ้าบอกว่าเป็นภาพตัดต่อก็ต้องมีการส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นภาพตัดต่อจริงหรือไม่ อย่างไร แต่ถ้าฝ่ายโจทก์บอกว่าไปแคปมาจาก Facebook ของผู้ที่ถูกฟ้องชู้นั่นแหละ ก็เสร็จเลย
“ยิ่งเป็นภาพที่ลงในสื่อออนไลน์ของทั้งคู่ก็ยิ่งชัดเจนว่าคบกันแบบเปิดเผยเพราะถ้าไม่เปิดเผยก็คงไม่โพตส์ หรือแม้ว่าจะแอบคบกันแบบลับๆ ไม่เปิดตัว ก็สามารถพิสูจน์ได้ ผมเคยทำอยู่เคสหนึ่ง เก็บข้อมูลอยู่ 2 ปี ฝ่ายชายกับชู้ไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองเลย แต่ภาพที่ได้จากเฟซบุ๊กของผู้หญิงจำนวนร้อยกว่ารูปเนี่ยผมสามารถชี้ให้ศาลเห็นได้ว่าสองคนนี้ไม่เคยยืนห่างจากกันเลย คือคุณไปด้วยกันสิบ-ยี่สิบคน แต่คุณยืนคู่กันตลอด ดังนั้น ไม่จำเป็นว่าจะฟ้องชู้ได้ต้องมีหลักฐานถึงขั้นที่ทั้งสองคนมีสัมพันธ์ทางเพศกัน เพราะกฎหมายใช้คำว่าคุณมีสัมพันธ์กัน ไม่ได้ใช้คำว่ามีสัมพันธ์ทางเพศกัน เพราะฉะนั้นหลักฐานแค่นี้ก็ฟ้องได้แล้ว ถ้าภาพที่สื่อออกมามันชี้ว่าเป็นการจับมือ โอบกอดที่เกินกว่าเพื่อน พี่น้อง หรือแฟนคลับ ฟ้องได้หมด เคยมีเคสที่ฝ่ายชายอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกัน ผมก็เลยถามว่าพี่มีหุ้นส่วนที่เป็นผู้หญิงกี่คน เขาบอกว่า 3 คน ผมเลยแย้งว่า อ้าว..แล้วทำไมหุ้นส่วนคนอื่นพี่ไม่ไปรับไปส่งแบบนี้บ้าง เขาบอกอีกว่าไปโรงแรมด้วยกันจริงแต่พักคนละห้อง ผมเลยบอกว่างั้นขอดูหลักฐานการเข้าพักอีกห้องหนึ่งหน่อย ปรากฏว่าไม่มี เขาบอกว่าไปๆ มาๆ ที่คอนโดฯ ผู้หญิงแต่ไม่ได้อยู่ประจำ ผมก็แย้งว่าถ้าไม่ได้อยู่ประจำแล้วขอบัตรจอดรถจากทางโครงการทำไมทุกเดือน คือมันมีหลักฐานแวดล้อมที่ชี้ให้เห็นว่าคนสองคนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน” ทนายเจมส์ กล่าว
ส่วนที่หลายคนสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าควรเรียก “ค่าเสียหาย” จากการฟ้องชู้เท่าไหร่? และใช้หลักเกณฑ์ใดในการพิจารณานั้น “ทนายเจมส์” ชี้แจงว่า มูลค่าความเสียหายที่ฝ่ายโจทก์เรียกในการฟ้องชู้นั้น ประเด็นสำคัญจะดูจากพฤติการณ์ที่ชู้แสดงออก ยิ่งชู้ระราน โพสต์แซะ โพสต์แขวะ หรือใช้วาจาให้โจทก์ซึ่งก็คือเมียหลวงหรือสามีที่มีทะเบียนสมรสเจ็บช้ำน้ำใจ ยิ่งเจ็บช้ำน้ำใจมากเท่าไหร่ ยิ่งโพสต์ทำคลิปแซะ ยิ่งโพสต์แขวะมากเท่าไหร่ “ค่าเสียหาย” ที่ต้องจ่ายในการฟ้องชู้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งระรานมาก ก็ยิ่งต้องจ่ายค่าเสียหายมาก เนื่องปกติคู่สมรสที่ถูกแย่งสามีหรือภรรยาไปก็เจ็บช้ำมากพออยู่แล้ว ยังโดนชู้ระรานให้เจ็บช้ำน้ำใจมากขึ้นไปอีก
ประเด็นต่อมาคือ ชื่อเสียงของคู่สมรสทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เป็นโจทก์หรือคู่สามีภรรยาผู้ที่มีชู้ ยิ่งมีชื่อเสียงมาก มีคนรู้จักมาก เช่น เป็นนักธุรกิจ เป็นข้าราชการระดับสูง เป็นศิลปินดารานักร้อง ค่าเสียหายที่ชู้ต้องจ่ายให้โจทก์ก็จะยิ่งมากตามไปด้วย เนื่องจากยิ่งมีคนรู้จักเยอะจะยิ่งอับอายมากขึ้น เพราะแต่ละวันต้องเจอคนรู้จักเยอะ ต้องออกงานสังคมบ่อยๆ ถูกถามถึงหรือถูกซุบซิบนินทาเกี่ยวกับเรื่องราวที่คู่สมรสนอกใจบ่อยๆ ก็ยิ่งถูกตอกย้ำทำให้อับอายและเสียใจมากขึ้น
“ยกตัวอย่าง เมียน้อยโทร.ไปบอกเมียหลวงว่าตอนนี้ผัวพี่อยู่กับหนูนะ หรือเอามือถือผัวโทร.ไปหาเมียหลวง ตามหาผัวไปเจอก็โทร.ไปตามกับเมียหลวงว่าขอคุยกับพี่เขาหน่อย พี่เขาไม่รับสาย หรือโพสต์แขวะเมียหลวงโดยไม่ระบุชื่อแต่เข้าใจได้ว่าหมายถึงใคร บางทีก็นอนกับผู้ชายแล้วผู้ชายหลับไปก็ถ่ายรูปคู่กันตอนไม่มีเสื้อผ้าแล้วส่งไปให้เมียหลวงดู นี่คือการระรานทั้งสิ้น เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เมียหลวงเจ็บช้ำใจ ซึ่งมีราคาที่ต้องจ่าย” ทนายเจมส์ ระบุ
ทนายเจมส์ ยังได้แนะนำผู้ที่ตกอยู่ในฐานะเมียหลวง ว่า เนื่องจากการที่ถือทะเบียนสมรสนั้นเท่ากับว่ารายได้ของสามียังคงเป็น “สินสมรส” อยู่ ซึ่งการจะจัดการทรัพย์สินใดๆ นั้นสามีต้องได้รับการยินยอมจากภรรยาที่จดทะเบียนสมรสด้วย ดังนั้น หากพบว่าสามีมีการนำทรัพย์สินใดๆ ไปให้เมียน้อย เมียหลวงก็สามารถ “ฟ้องเพิกถอน” เพื่อเรียกคืนได้กึ่งหนึ่ง เพราะครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินที่เมียน้อยได้ไปมันคือทรัพย์สินของเมียหลวง นอกจากนั้น เมียหลวงจะหย่าก่อนที่จะฟ้องชู้เสร็จ หรือฟ้องชู้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยหย่า หรือฟ้องชู้เสร็จแล้วไม่ต้องหย่าก็ได้ หรือตอนแรกหย่าให้โดยไม่ได้คิดจะฟ้องชู้ แต่เมื่อหย่าเสร็จแล้วอีกฝ่ายมาเยาะเย้ยให้เจ็บใจจะลุกขึ้นมาฟ้องชู้ก็ได้ สามารถทำได้หมดเพราะนี่คือ “สิทธิในทะเบียนสมรส” แต่มีเงื่อนไขคือต้องยื่นฟ้องชู้ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่รู้ว่าคู่สมรสมีชู้
“ถ้าพบว่าสามีโอนเงินหรือซื้ออะไรให้เมียน้อย เมียหลวงฟ้องเพิกถอนได้หมด เรียกคืนได้กึ่งหนึ่ง เพราะตอนซื้อสามีไม่ได้ของอนุญาตเมียหลวง เว้นแต่ว่าเมียน้อยสามารถพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นซื้อมาด้วยเงินตัวเอง โดยเมียน้อยต้องแสดงรายได้หรือที่มาของเงินให้ได้ แต่ส่วนใหญ่จะไม่รอด เพราะเมียน้อยส่วนมากอาจจะมีรายได้ไม่เยอะ เมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินกับความสามารถทางการเงินแล้วอาจจะไม่สอดคล้องกัน และถึงจะฟ้องชู้เสร็จแล้วเมียหลวงจะไม่หย่าก็ได้เพราะตราบใดที่ยังมีทะเบียนสมรสรายได้กึ่งหนึ่งของสามีก็ยังคงเป็นสินสมรส ใบหย่ามันมีมูลค่านะถ้าคุณอยากหย่าคุณก็จ่ายมา เมียน้อยอยากมีตัวตนก็ต้องดิ้นรนให้ผู้ชายหย่า ก็จ่ายมา นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของทะเบียนสมรส” ทนายเจมส์ กล่าว
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j