นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อไทยเกิดแน่ เพราะบรรดาขุนพลช่วยกันปรับ-แก้-ดัน ยิ่ง ‘นายใหญ่’ ออกมาบัญชาการเอง ‘ถอย-ช้า’ ไม่ได้อีกแล้ว เผยถ้าถอยเลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อไทยดับแน่ ส่ง ‘พิชัย ชุณหวชิร’ คนรู้ใจมานั่งเป็นขุนคลัง ใช้ความเชี่ยวชาญทางบัญชี ไล่ตรวจสอบทุกหน่วยงานห้ามซ่อน หรือหมกเม็ดงบประมาณ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจของรัฐ ต้องส่งเพิ่มขึ้น หมายตากลุ่มพลังงานธนาคาร ไม่เว้นแม้แต่แบงก์กรุงไทย รวมถึงการจัดเก็บภาษีต่างๆ ต้องหาวิธีดึงเงินมาหนุนดิจิทัลวอลเล็ตให้ได้ ส่วนหน่วยราชการ โครงการลงทุนไหนแค่เซ็นสัญญา ยึดคืนเข้างบกลางเพื่อใช้โครงการนี้ทั้งหมด แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของวินัยการเงินการคลังของรัฐทั้งสิ้น!
นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ให้ประชาชนทุกคนอายุ 16 ปีขึ้นไป วงเงิน 500,000 ล้านบาท ของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ช่วงหาเสียง จนถึงวันนี้ แม้จะมีเสียงคัดค้านจากหลายฝายก็ตาม แต่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่าถึงวันนี้จบแล้ว เคาะแล้ว โดยประชาชนที่อยู่ในหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขได้รับแน่ๆ หลังผ่านการปรับเปลี่ยนทั้งวิธีการทางงบบระมาณ และช่องทางการใช้เงินมาอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญโครงการนี้ได้ผ่านการอนุมัติหลักการจาก ‘ครม.เศรษฐา 1’ โดยพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคยังออกมายืนแถลงข่าวร่วมกัน เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา นั่นย่อมหมายความถึงหากเกิดวิกฤตใดๆ จากผลของโครงการนี้ ตามที่บรรดาหน่วยงานรัฐ แบงก์ชาติ หรือนักวิชาการได้คัดค้านไว้แล้ว ครม.นี้ต้องรับผิดชอบร่วมกันใช่หรือไม่?
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย บอกว่า เรื่องแจกเงินดิจิทัล 10,000บาทนั้น จริงๆ จะต้องดำเนินการแจกให้ได้ตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ๆ ไม่ใช่ปล่อยให้ทุกอย่างสับสน เนิ่นนานมาจนถึงวันนี้ เนื่องเพราะเป็นนโยบายสำคัญของพรรคที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เมื่อมีเสียงคัดค้านพรรคก็ต้องมาทบทวนและหาทางแก้โดยเฉพาะเรื่องที่มาของเงิน เมื่อมีรายจ่ายตามโครงการถึง 5 แสนล้านบาท เราต้องรู้ว่างบประมาณรายรับจะได้มาจากแหล่งใดบ้างที่จะจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมไปถึงการจัดเก็บภาษีต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ มาใช้จ่ายในโครงการและไม่เป็นปัญหาอย่างที่หลายฝ่ายกังวลกัน
“จะเห็นว่าพรรคศึกษาเรื่องนี้ พร้อมปรับเปลี่ยนตลอด กู้-ไม่กู้ ใช้งบประมาณแผ่นดิน เงื่อนไขต่างๆ ช่องทางใช้เงินระหว่างใช้เป๋าตัง หรือ Super App “แอปทางรัฐ’ ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างต้องได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด”
ขณะเดียวกัน พรรคมีบทเรียนจากสถานการณ์ต่างๆ ที่พรรคเพื่อไทยเคยเป็นรัฐบาลมาแล้ว ดังนั้น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ เพื่อไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องและผู้ปฏิบัติทุกคนต้องเสี่ยงต่อคดีความต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ‘นายใหญ่’ ของพรรคคอยตรวจสอบและชี้แนะว่าจะต้องทำอะไร อย่างไร เพื่อให้โครงการนี้ถึงมือประชาชนตามที่พรรคหาเสียงไว้
“ถ้าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ไม่เกิด บอกได้เลยเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยไม่มีที่ยืน พรรคพูดแล้วต้องทำได้ ยิ่งนายใหญ่กลับมาแล้วยิ่งต้องเกิด ทำได้จริง”
แหล่งข่าวย้ำอีกว่า ที่มีเสียงพูดกันในพรรคและนอกพรรคว่า การที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะไม่นั่งควบกระทรวงการคลัง ใน ‘ครม.เศรษฐา 1/1’ เป็นเพราะนายเศรษฐา ไม่ต้องการเซ็นชื่อรับรองโครงการนี้ในฐานะรัฐมนตรีคลัง เพราะกลัวเกิดปัญหาภายหลังจะต้องรับผิดชอบเต็มๆ ไม่ใช่เรื่องจริงเพราะถึงอย่างไร นายเศรษฐา ต้องรับผิดชอบในฐานะหัวหน้ารัฐบาลอยู่แล้ว
แต่การที่มีโผออกมาว่า นายพิชัย ชุณหวชิร จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ พร้อมนั่งควบรองนายกรัฐมนตรี ดูแลด้านเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับสถานการณ์ อีกทั้งความรู้ ความสามารถของนายพิชัย จะช่วยหารายได้และผลักดันให้โครงการดิจิทัลเดินหน้าได้โดยไม่สะดุด
“ไปดูประวัติการศึกษา การทำงาน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทยมาตลอด โดยเฉพาะความเชี่ยวชาญเรื่องการตรวจสอบบัญชี จะช่วยหาเงินเข้ารัฐได้จริงๆ ที่เคยหมกเม็ดในการส่งเงินเข้ารัฐของบางหน่วยงานจะเกิดขึ้นยาก”
ไม่เพียงเท่านั้น นายพิชัย ยังมีส่วนสำคัญในการนำบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) PTT เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 2544 จนทำให้หลายคนได้ประโยชน์จากหุ้นตัวนี้มหาศาล อีกทั้งเขายังมีชื่อปรากฏว่าเป็นพยานช่วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชี้แจงข้อกล่าวหาคดีทุจริตจำนำข้าวต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งนายทักษิณ ชินวัตร เพิ่งประกาศว่าจะพายิ่งลักษณ์กลับบ้าน (เมืองไทย) คาดว่าปลายปีนี้หลังต้องหลบหนีคดีออกไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน
ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่า นายพิชัย และครอบครัวชินวัตร รวมทั้งพรรคเพื่อไทยมีความสนิทและน่าจะรู้ฝีมือกันดีอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่ขุนคลังคนใหม่ต้องเป็นนายพิชัย และการจะให้ใครมานั่งในตำแหน่งสำคัญๆ ต้องผ่านการพิจารณาของนายใหญ่อยู่แล้ว และก็ไม่แปลกอีกเช่นกัน ที่นายพิชัย พร้อมแต่งตัวรอนั่งเก้าอี้ขุนคลังเช่นกัน
อีกทั้งนายพิชัย ยังมีส่วนสำคัญในโครงการดิจิทัล 10,000 บาท จากการให้สัมภาษณ์สื่อที่ผ่านมา และยังมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ด้วยเช่นกัน ปัจจุบันนายพิชัย ยังเป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 18 ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี นายพิชัย จบการศึกษาบัญชีบัณฑิต (การบัญชี) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท บริหารธุรกิจ Master of Business Administration, Indiana University of Pennsylvania, USA ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาบริหารการเงิน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม
นอกจากนี้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น กรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทย นายกสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปัจจุบันมีตำแหน่งสำคัญในบริษัทจดทะเบียน เช่น ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประธานกรรมการ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ประธานกรรมการ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน)
สำหรับกิจการอื่นที่ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียน เช่น ที่ปรึกษา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรรมการ คณะกรรมการกลั่นกรองกรรมการรัฐวิสาหกิจ กรรมการ คณะกรรมการติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหา บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
แหล่งข่าวบอกอีกว่า ภารกิจสำคัญที่รัฐมนตรีคลังคนใหม่ต้องเร่งทำหากจะพูดภาษาบ้านๆ ก็คือ จะต้องใช้ความรู้ ความสามารถและความเชี่ยวชาญเข้ามากวาดสายตา ตรวจสอบว่าจะมีช่องทางหาเงินตรงไหนที่มีอยู่ทั้งหมดมาใช้สนับสนุนโครงการดิจิทัล 1 หมื่น ให้ตรงกับที่รัฐกำหนดแหล่งที่มาของเงินใช้ในโครงการนี้ทั้ง 3 แหล่ง วงเงิน 5 แสนล้านบาทได้บ้าง
“งบปี 2567 ช่วง มี.ค.-สิ้น ก.ย. มีงบค้างท่อเท่าไหร่ดึงมาเป็นงบกลางให้หมด ว่ากันว่า ใกล้ๆ จะมีหลักเกณฑ์ออกมา หน่วยงานไหนคิดจะกั๊กเงิน โดยเซ็นสัญญาจ้างไปก่อน แต่ยังไม่ได้ลงมือทำงาน งบนั้นจะถูกดึงมาเป็นงบกลางให้หมด คาดว่าจะมีหลักเกณฑ์ออกมาว่าต้องลงมือปฏิบัติกี่เปอร์เซ็นต์ถึงจะเก็บงบนั้นไว้ได้ เราต้องดูใกล้ๆ สิงหาคม จะเห็นงบค้างท่อ ซึ่งคิดว่าเยอะแน่”
พร้อมกันนั้น จะเข้าไปดูรายได้ของรัฐวิสาหกิจและการส่งเงินรายได้เข้ารัฐของรัฐวิสาหกิจต่างๆ จะต้องส่งให้มากขึ้น จะหมกเม็ดหรือซ่อนทางบัญชีไม่ได้แน่ ซึ่งรัฐวิสาหกิจหลายแห่งต้องการเก็บเงินไว้ขยายการลงทุน ก็ต้องดูความเหมาะสม ซึ่งวิธีการนี้จะดำเนินการภายใต้กรอบของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐแน่นอน
“งบปี 68 ที่จะนำมาใช้ในโครงการดิจิทัล เราต้องการ 152,700 ล้านบาท ที่จะดำเนินการผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณเพื่อเสนอสภาต่อไป แต่ตอนนี้เราคาดว่ามีแค่แสนล้านเหมือนกัน ก็ต้องหารายได้เข้ามา ซึ่งมองรายได้รัฐวิสาหกิจที่มีกำไรมากๆ แล้วส่งเข้ารัฐ มันเพิ่มได้ ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 67 ไปใช้ทั้งในส่วนโครงการใช้งบปี 67 เสริมงบค้างท่อ และใช้ในปี 68 เป้าที่มองๆ คือ ปตท.กลุ่มพลังงานทั้งหมด ธนาคารก็มีบ้าง อย่างธนาคารกรุงไทย ไตรมาส 1 ปี 2567 กำไร 11,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 % จากปีก่อน รัฐถือหุ้นอยู่ผ่านกองวายุภักษ์ ต้องไปคิดว่าจะดึงเงินตรงนี้มาช่วยงานนี้ได้หรือไม่ อย่างไร”
ในส่วนการใช้เงิน ธ.ก.ส.นั้น และ ธ.ก.ส.มีอำนาจในการให้เงินเพื่อโครงการดิจิทัลนี้หรือไม่นั้น อยากให้ทุกฝ่ายไม่ต้องกังวลเพราะเป็นเรื่องที่มีการหารือกับกฤษฎีกาและต้องให้เป็นไปตามมาตรา 28 ว่าด้วยวินัยการเงินการคลังอยู่แล้ว และจะต้องไม่ทำให้เสถียรภาพหรือฐานะของ ธ.ก.ส.มีปัญหาแน่
ดังนั้นโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Super App ‘แอปทางรัฐ’ เกิดขึ้นแน่นอน คาดว่าจะเปิดให้ลงทะเบียนไตรมาสที่ 3 และเปิดใช้ได้ในไตรมาส 4 ปีนี้!!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j