รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ตีแผ่พฤติกรรม ‘ทักษิณ’ ฮึกเหิม จนทำให้สังคมแตกแยกและเข้าข่ายครอบงำ พรรคเพื่อไทยแนะเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้ง ‘นายกฯ-รองนายกฯ-รัฐมนตรี-ปลัดกระทรวง-อธิบดี-หน่วยงานต่างๆ’ ที่สนับสนุนให้ทักษิณลอยนวลไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว ต้องยื่นศาล รธน.พิจารณาขัดมาตรา 3 มาตรา 5 ในรัฐธรรมนูญ ยกเลิกระเบียบ ข้อบังคับที่ ‘ทวี สอดส่อง’ อ้างถึง พร้อมส่ง ป.ป.ช เอาผิดตามมาตรา 172 แจ้งความตำรวจ ผิดมาตรา 157 และยื่นส่งศาลปกครอง ดำเนินการต่อเพื่อให้ ‘ทักษิณ’ กลับมาติดคุกแบบนับ 1 ใหม่ ขณะเดียวกัน ยื่น กกต.ยุบพรรคเพื่อไทยเพราะมีหลักฐานครอบงำชัดเจน คาดอีกไม่นานอาจได้เห็นทักษิณ เข้าทำเนียบจริงหรือไม่!?
สังคมกำลังจับจ้องการเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร ว่าการกระทำเหล่านี้เป็นการฮึกเหิม เชื่อมั่นอำนาจในตน จนดูเหมือนว่า เขาเท่านั้นที่สามารถทำได้ใช่หรือไม่? เพราะตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.2566 ที่กลับเข้ามารับโทษ กลับปรากฏว่าไม่ต้องนอนอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว กรมราชทัณฑ์ส่งตัวนายทักษิณ เข้ารับการรักษาที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่บัดนั้น
โดยเข้าพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ เป็นเวลากว่า 180 วัน และกลับออกมาหลังได้รับการพักโทษเมื่อวันที่ 18 ก.พ.2567 ใส่หน้ากาก พร้อมสวมเฝือกที่คอและแขน เพื่อกลับไปบ้านจันทร์ส่องหล้า และในวันที่ 19 ก.พ.ได้เห็นรูปนายทักษิณ นั่งสวมเฝือกที่คออยู่ริมสระน้ำ
จากนั้นมีกิจกรรมให้สังคมได้เห็นต่อเนื่อง ตั้งแต่สมเด็จฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรี เดินทางมาเยี่ยม นายทักษิณ เป็นการส่วนตัว เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ต่อด้วยไปทำกิจกรรมต่างๆ เป็นเวลา 3 วันที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีทั้งรัฐมนตรี ส.ส. ข้าราชการ และประชาชนรอต้อนรับ รวมทั้งมีภาพนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน นั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วย
พร้อมวลีเด็ด “วันนี้กลับมา ใครไม่ชอบหน้า ก็ต่างคนต่างอยู่ไป”
ส่วนวันที่ 24 มี.ค. นายทักษิณ เดินทางไปตัดผมที่ร้านแถวถนนสีลม มีประชาชนเข้ามาขอถ่ายรูป พูดคุยและสอบถามถึงเรื่องเงินเดือน และแสดงความห่วงใยถึงสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นอย่างไร
26 มี.ค. นายทักษิณ เดินทางไปที่พรรคเพื่อไทย มีบรรดารัฐมนตรี ส.ส. และมวลชนที่รักนายทักษิณ ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และจะมีกิจกรรมอื่นๆ ตามมาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยที่นายทักษิณ และคนเพื่อไทย ไม่ได้เหนียมอายว่าสังคมจะคิดอย่างไร เหมาะสมหรือไม่ ทั้งที่ยังมีชนักติดหลังต้องโทษจำคุกอยู่ 1 ปี แม้จะได้รับการพักโทษแล้วก็ตาม
ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังให้ความเห็นในเรื่องการเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ที่เดินทางไปที่พรรคเพื่อไทยว่า กรมราชทัณฑ์และกรมคุมประพฤติไร้อำนาจจำกัดการเคลื่อนไหว เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในระเบียบที่มีข้อห้ามต่างๆ ไว้
“มีแค่กรมคุมประพฤติให้มารายงานตัว ส่วนจะไปไหน พบใคร ในกฎกระทรวงไม่ได้พูดถึงเรื่องการเมือง”
แหล่งข่าวจากพรรครัฐบาล ระบุว่า การออกมาเคลื่อนไหวต่างๆ ของนายทักษิณ จะมีคนที่ไม่ชอบนายทักษิณ และตระกูลชินวัตร จะรู้สึกว่านายทักษิณ ต้องการท้าทายอำนาจ และต้องการแสดงให้สังคมได้รู้ว่า เขานี่แหละคือนายกรัฐมนตรีตัวจริง ที่จะสามารถกดปุ่มสั่งการทั้งรัฐมนตรี และข้าราชการให้ทำทุกอย่างโดยมีเป้าหมายเพื่อจะนำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับเข้ามาให้เร็วที่สุด โดยที่ไม่ต้องติดคุกเช่นเดียวกับที่นายทักษิณ กระทำให้เห็นมาแล้ว
ในข้อเท็จจริงรัฐมนตรี และ ส.ส.เชื่อว่าสิ่งที่นายทักษิณ กระทำนั้นต้องการนำประสบการณ์มาช่วยผลักดันรัฐบาลให้มีผลงาน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ และการกระทำใดๆ ฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยต้องดูแล้วว่าจะผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะพรรคมีเป้าหมายที่จะกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป
แต่ในมุมมองของนักกฎหมายอย่าง รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย ระบุว่า สังคมต้องคิด พร้อมชี้แนะทางออกต่อเรื่องนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะสิ่งที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ให้ความเห็นว่า กฎหมายราชทัณฑ์ ปี 2560 และกฎกระทรวงต่างๆ ที่ออกเป็นแพกเกจใหม่ ที่นำมาใช้กับนายทักษิณ ล้วนออกมาในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการแยกรักษาพยาบาล การไปคุมขังที่อื่น หรือการพักโทษ ซึ่งสังคมไม่ได้รับรู้หรอกว่า เป็นการเขียนเตรียมไว้ให้นายทักษิณ หรือไม่ อย่างไร
“พูดแบบนี้มันขว้างงูไม่พ้นคอ เพราะถ้าไม่ใช่รัฐบาลบิ๊กตู่ นายทักษิณ ไม่ได้กลับมาหรอก เรื่องกฎหมายถ้าจะถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ต้องบอกว่ากฎหมายเขียนเตรียมไว้ จะเตรียมเพื่อให้คุณทักษิณโดยเฉพาะหรือไม่ ไม่รู้ แต่ขว้างงูไม่พ้นคอ คือ รัฐบาลชุดที่แล้วเขียนไว้ก็ตาม แต่ท้ายสุด ที่เรียกว่า ดีลลับ ไม่รู้ ใครดีลกับใคร ที่เรียกว่า เกี้ยเซียะกัน ไม่รู้ใครคุยกับใคร แต่สิ่งที่ชัดเจน คือ ใช่ คุณทักษิณกลับมา และได้ถวายฎีกาตอนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ”
สิ่งที่สำคัญไปกว่าข้อกฎหมายคือข้อเท็จจริง แบบนี้มันผิดกฎหมายหรือไม่ผิดกฎหมายอย่างไร ข้อกฎหมายว่าอย่างนี้ เมื่อมีข้อเท็จจริงว่าไว้อย่างนี้ ถือว่าข้อเท็จจริงนั้นมันเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ เมื่อไม่มีข้อเท็จจริง
โดยข้อเท็จจริงที่จะอธิบายตามกฎหมายได้ว่านายทักษิณ เข้าคุกไปแล้วหรือยัง อีกทั้งสถานพยาบาล สามารถเป็นสถานที่กักขังได้ มันมีความจำเป็น โดยข้อเท็จจริง ที่ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยหนักหนาสาหัสขนาดไหน ถึงต้องไปใช้ที่อื่น นอกเรือนจำมั้ย มีข้อเท็จจริงเช่นนี้หรือไม่?
ที่สำคัญ ที่เป็นข่าวว่าไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ก็ไม่รู้ว่า ไปอยู่จริงหรือไม่ มันไม่มีข้อเท็จจริง
“ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนที่สุดคือ คุณทักษิณ ไม่ป่วย ไม่ได้เป็นอะไรเลย ไม่มีปลอกคอปลอกแขน ไปตะลอนตะลอนได้ทุกที่ ทำทุกอย่างที่คนทั่วไปทำกันปกติ”
สิ่งที่ต้องตระหนักในเรื่องข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง คือ การพักโทษ ไม่ใช่การพ้นโทษ นั่นแปลว่า การพักโทษไปในหนนี้ ถ้าเหตุของการพักโทษที่ข้อเท็จจริงที่อ้างกันทั้งหลายมันไม่มี ก็ต้องกลับเข้าไปอยู่ในเรือนจำ!
ทั้งหมดที่ปรากฏออกมานั้น ข้อกฎหมายไม่ได้ช่วยอะไร เพราะข้อเท็จจริงมันไม่มีอยู่ หรือ ไม่สามารถระบุได้ว่ามันมีอยู่จริง และท่าทีนายทักษิณ นั่งที่ริมสระวันแรกที่บ้านจันทร์ส่องหล้า มันคือท่าเย้ยฟ้าท้าดินจริงๆ
“กลับมาก็ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษ ได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษ ในพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยโทษ ลดโทษ ระบุว่า ต้องรับผิด รับโทษ และทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ก็ไม่มีการรับผิด ไม่มีการรับโทษ ไม่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ และบรรดาผู้เกี้ยเซียะทั้งหลายที่บอกว่า มีการทำดีลลับ ทำการตกลง ก็มีนัยว่า จะทำให้เกิดความปรองดอง แก้ปัญหาความขัดแย้งให้บ้านเมือง มันก็ยิ่งขัดแย้ง ทะเลาะกันไปใหญ่”
รศ.ดร.เจษฎ์ ย้ำว่า สิ่งที่นายทักษิณทำทั้งหมด คือ เย้ยฟ้าท้าดิน สร้างความขัดแย้งให้บ้านเมือง ทำร้าย ทำลายบ้านเมืองให้มันร้าวลึกไปอีก เพราะเขาแสดงออกแบบไม่เห็นหัวใคร ไม่ว่าสูง ต่ำ อยู่ที่ไหน จะไม่ติดคุกแม้สักวันเดียว และจะทำทุกอย่างแบบที่จะทำ และอาจจะกลับมา และเข้าสู่อำนาจทางการเมืองด้วยซ้ำไป
“ผมว่าทั้งหมดเหล่านี้ต้องมีใครสักคนไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ว่า สิ่งที่บรรดาผู้คนทั้งหลาย ตั้งแต่นายกฯ เศรษฐา รองนายกฯ รัฐมนตรีที่ดูกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้ดำเนินการไปมันขัดกับหลักยุติธรรม และไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม”
ประเด็นสำคัญคือขัดกับรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 3 วรรค 2 ระบุว่ารัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม
ทั้งนี้ ให้ไปอาศัยมาตรา 5 รัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญบทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้
“มาตรา 5 ระบุไว้ชัดเจน การกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ อันนี้ใช้บังคับไม่ได้ ต้องถูกยกเลิกไป ต้องไปใช้มาตรา 5 ถ้าศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกเลิกจะเท่ากับว่าทั้งหมดมันจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย คุณทักษิณต้องกลับไปติดคุกเต็มด้วย”
รศ.ดร.เจษฎ์ อธิบายว่า ในเมื่อนายทักษิณ ไม่เคยติดคุก จะไปนับ 180 วันแล้วพักโทษได้อย่างไร คือต้องไปติด 1 ปี ตามที่ได้รับการอภัยลดโทษมาแล้ว อีกทั้งต้องมีคนไปยื่นเรื่อง ที่ ป.ป.ช.เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องมีความผิดตามมาตรา 172 ขัดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 คือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากละเลยไม่ทำอะไรเลย
รวมทั้งให้ไปแจ้งความตำรวจดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าว ตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา ข้อหาเดียวกัน ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหาย
จากนั้นให้ไปยื่นฟ้องศาลปกครอง ว่า คำสั่งทั้งหมดของบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในกรณีนายทักษิณ ชินวัตร เป็นคำสั่งทางปกครองที่มิชอบ ให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
“สุดท้าย คุณทักษิณ ต้องกลับไปรับโทษ สิ่งที่เราก้าวล่วงไม่ได้ คือ การที่คุณทักษิณ ได้ยื่นถวายฎีกา และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษ จาก 8 ปี เหลือ 1 ปี อันนี้ 7 ปีที่หายไป เราไม่ก้าวล่วง แต่ 1 ปีที่เหลืออยู่ต้องรับผิด รับโทษ และทำตัวให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ตามที่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าไว้ ไม่ใช่ทำตัวให้เป็นปัญหากับบ้านเมือง สร้างความร้าวฉานให้บ้านเมือง”
รศ.ดร.เจษฎ์ บอกต่อว่า ต้องมีใครไปยื่น กกต. หรือ กกต.เองต้องส่งคนตรวจสอบเพื่อยุบพรรคเพื่อไทย ตามมาตรา 28 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พรรคเพื่อไทยถูกคุณทักษิณ ครอบงำ ชี้นำ ควบคุม ไม่โดยตรง ก็โดยอ้อม ทำให้พรรค หรือบรรดาสมาชิกขาดความอิสระ
สำหรับที่ปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจนคือ หัวหน้าพรรคคืออุ๊งอิ๊ง ต้องฟังคุณทักษิณ ทุกอย่าง อย่าบอกว่าเป็นลูกสาว ถ้าคุณจะพูดอะไรกัน ในฐานะพ่อลูกคุณไปพูดในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็น เรื่องบ้านเรื่องเมืองอะไรก็ว่าไป แต่ถ้าพูดเรื่องพรรคคุณก็จำใจ จำเป็นแล้วล่ะ ว่า ในฐานะที่คุณเอาลูกสาวมาเป็นหัวหน้าพรรค และคุณเป็นคนนอกพรรค คุณไปบอกให้ลูกสาวทำโน่น ทำนี่ แล้วลูกสาวทำตาม ก็เป็นการชี้นำ ครอบงำ ควบคุม
ไม่ใช่แค่นั้น นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้ใช้รถประจำตำแหน่งคันใหม่ All NEW Lexus LM 350h Executive 4-Seater สีเงิน Sonic Titanium ป้ายทะเบียน สร 30 กรุงเทพมหานคร ไปพบนายทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ตรงนี้มันชัดเจนที่ว่าถูกครอบงำ ถูกชี้นำและถูกควบคุม
รศ.ดร.เจษฎ์ ระบุว่า สิ่งที่นายกฯ เศรษฐา กระทำนั้นเป็นการละเมิดต่อสถาบันหลักของบ้านเมือง ทั้ง 3 สถาบัน
1.ละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับเอารถประจำตำแหน่งไปหาคนที่ขัดพระบรมราชโองการ และคนที่ยังต้องโทษอยู่ในขณะนี้
2.ละเมิดสถาบันชาติ คือ คนทำให้คนในชาติแตกแยกกัน เกิดความร้าวฉาน คือ ให้คนเห็นว่า นี่มีความสัมพันธ์เป็นคนที่ปลุกปั้น ได้ตำแหน่งนายกฯ หากอยากจะทำอะไร อยากใช้กฎหมายไหนก็ทำได้เช่นกัน
3.ละเมิดสถาบันศาสนา คือ บรรดาท่านทั้งหลายที่เชื่อในศาสนา เทวนิยม เชื่อในพระเจ้า โดยการปฏิญาณ กับคุณงามความดี คุณธรรมว่าฉันจะทำดี เพื่อประเทศชาติ เป็นประโยชน์ต่อประชาชน นั่นก็ละเมิดด้วย
“ตรงนี้สะท้อนให้เห็นชัดแล้วว่า คุณทักษิณ ชี้นำ ครอบงำแล้วพรรคเพื่อไทยจะไม่ถูกคุณทักษิณชี้นำ ครอบงำ ควบคุมได้อย่างไร มันชัดยิ่งกว่า ศาลรัฐธรรมนูญไประบุว่า พรรคก้าวไกล ไปเซาะกร่อน ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เสียอีก ดังนั้น พรรคเพื่อไทย ต้องถูกยุบ”
รศ.ดร.เจษฎ์ ย้ำว่า ในความเป็นจริง นายทักษิณ ไม่ควรออกไปไหน เพราะเป็นการท้าทายองคาพยพทุกคนในสังคม ช่วงที่ไปเชียงใหม่ บินเครื่องบินส่วนตัว ให้พวกข้าราชการมาต้อนรับ ไปพูดเรื่องน้ำ กางแผนที่ แล้วไปปล่อยปลา อันนี้ปกติภาพที่พวกเราเห็นใครเป็นคนทำแบบนี้ เรียกว่าทำเกินเบอร์นายกฯ ไปแล้ว
ดังนั้น จึงต้องมีผู้ไปยื่นให้มีการตรวจสอบ ซึ่งก็คาดหวังว่า สมาชิกพรรคก้าวไกลควรดำเนินการตรวจสอบในเรื่องนี้ รวมทั้ง ป.ป.ช.และกกต.สามารถดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ได้เองตามกฎหมายด้วยเช่นกัน
รศ.ดร.เจษฎ์ ยังเชื่อว่า อีกไม่นานสังคมอาจจะได้เห็น นายทักษิณ ไปทำเนียบรัฐบาล และนายกฯ เศรษฐา อาจตั้งนายทักษิณ เป็นที่ปรึกษา ที่ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง
“จะตั้งคุณทักษิณ เป็นตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ เพราะเรื่องคดียังไม่จบ อาจตั้งที่ปรึกษาลอย เหมือนเป็นทีมงาน ที่ปรึกษาส่วนตัว ที่ปรึกษาอะไรก็ได้ แต่เข้าทำเนียบเป็นประจำ อาจให้เกียรติกัน นั่งหัวโต๊ะ เรียกข้าราชการมาคุยก็ได้ ผมว่า คุณทักษิณ ทำเกินเบอร์ไกลมาก”
นั่นคือภาพในอนาคตอันใกล้ที่สังคมจะได้เห็นจริงหรือไม่? ต้องติดตาม!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j