ฝรั่งเตะหมอปลุกคนไทยลุกฮือรักชาติก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเกิดจากปัญหาที่หมักหมม จนต่างชาติมีอิทธิพลเหนือคนไทย ขณะที่แนวรบบนโลก Social ไทย-กัมพูชา ไม่แผ่ว “แม่ณุน” หนังเขมรฉายในไทยแป้ก ส่วนวันกะเทยผ่านศึกระหว่างไทย-ปินส์ เจ็บทั้ง 2 ฝ่าย นักวิชาการประเมินอาจดูเหมือนกระแสรักชาติแต่ทุกกรณีมีปัญหาเก่าที่สะสมมาเป็นทุนเดิม
ในช่วงนี้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของคนไทย มีลักษณะคล้ายๆ กันถึง 3 เหตุการณ์ แต่ละเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องระหว่างคนไทยกับต่างชาติ เริ่มกันที่เหตุการณ์ฝรั่ง (สวิตเซอร์แลนด์) เตะคุณหมอที่ภูเก็ต ตามมาด้วยเหตุการณ์ปะทะกันบนโลก Social ระหว่างฝ่ายไทยกับกัมพูชา และเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนคือการปะทะกันของสาวประเภทสองไทยกับ
สาวสองฟิลิปปินส์
เหตุการณ์ฝรั่งแตะหมอ เหตุเกิดเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 19.30 น. แพทย์หญิงธารดาว จันทร์ดำ หรือหมอปลายไปกินข้าวกับเพื่อนผู้หญิงที่เป็นหมอด้วยกัน ที่ร้าน Taste Yamu หลังกินเสร็จก็ชวนกันไปเที่ยวหาดสาธารณะแถวใกล้บ้านบริเวณ Cape Yamu
คุณหมอกับเพื่อนเดินดูดวงจันทร์บนชายหาดกันสักพัก รู้สึกเมื่อยและอยากนั่งพัก จึงเดินไปนั่งตรงบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาดที่ต่อลงมาจากวิลล่า หมายเลข 23 เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด
ขณะที่นั่งอยู่รู้สึกเหมือนมีใครเดินมาข้างหลัง จึงหันไปพูดกับเพื่อนว่า รู้สึกเหมือนมีคนเดินมา จากนั้นพลันก็รู้สึกสะเทือนหนักหน่วงไปทั้งร่าง เมื่อได้สติทำให้รู้ว่า เกิดจากหน้าแข้งที่กระหน่ำเตะลงมาที่กลางหลังจากชายชาวต่างชาติตัวใหญ่น้ำหนักราว 100 กิโลกรัม ในสภาพหน้าแดง เหงื่อท่วม กำลังถือโทรศัพท์เพื่ออัดวิดีโอ และสบถด่าคำหยาบออกมาสารพัด
ยกเลิกวีซ่า-คนภูเก็ตอัดอั้น
โดยเรื่องของคุณหมอปลายได้เผยแพร่บน Social ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ทำให้ผู้คนให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทั้งพฤติกรรมของฝรั่งชาวสวิส และภรรยาชาวไทย ที่มีการอ้างถึงนายตำรวจระดับรองผู้บังคับการ และลูกชายที่เป็นตำรวจเช่นกัน จนมีการวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์ และมีการแจ้งความดำเนินคดี จากนั้นฝรั่งและภรรยาชาวไทยออกมาขอโทษเมื่อ 1 มีนาคม 2567
เรื่องราวบานปลายไปถึงเรื่องการรุกล้ำที่สาธารณะ จนต้องรื้อบันไดที่คุณหมอไปนั่งในวันเกิดเหตุออก รวมไปถึงการตรวจสอบปางช้างของนายเดวิด ที่หนักไปกว่านั้นคือมีการยกเลิกวีซ่าของนายเดวิด ส่งผลชาวภูเก็ตออกมาเรียกร้องให้ตรวจสอบชายหาดต่างๆ ในภูเก็ต
งานนี้ไม่ใช่แค่ชาวภูเก็ตเท่านั้นที่การเลือกยืนข้างคุณหมอ แต่ชาวไทยส่วนใหญ่ก็เลือกยืนข้างคุณหมอเช่นกัน เพราะเหตุที่เกิดนั้นผู้ก่อเหตุเป็นชาวต่างชาติ มีพฤติกรรมในลักษณะที่มองได้ว่ามีอิทธิพล รู้จักกับคนใหญ่คนโตในภูเก็ตตามที่เคยกล่าวอ้าง แล้วมารังแกคนไทย หลายคนจึงรับไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่าว แถมก่อนหน้านี้ฝรั่งรายนี้มีหลายวีรกรรมที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม
นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ มองปรากฏการณ์ฝรั่งเตะหมอที่ภูเก็ตว่า อาจมองได้ว่าเป็นกระแสรักชาติ แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปมันมีสาเหตุที่มากกว่านั้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในภูเก็ตมันสะท้อนถึงอิทธิพลของชาวต่างชาติที่มีเหนือคนไทยในพื้นที่ ซึ่งไม่ได้มีแค่ฝรั่งชาวสวิสที่เป็นข่าว แต่ยังมีชาติอื่นที่มีทั้งอิทธิพลและอำนาจทางเศรษฐกิจ
บางธุรกิจเข้าข่ายสีเทา ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องเร่งช่วยกันแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กัน เรื่องนี้ระดับจังหวัดเอาไม่อยู่ต้องเป็นระดับประเทศถึงจะแก้ปัญหาได้
ไม่จบ! สงคราม Social ไทย-เขมร
เรื่องการตอบโต้กันบนโลก Social ระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นมีมาตลอด เดิมเป็นเรื่องของวัฒนธรรม เสื้อผ้าและชุดแต่งกายที่อ้างกันไปมา แต่ที่เริ่มเป็นที่สนใจในวงกว้างคือช่วงที่มีการปลุกกระแสมวยกุนขแมร์และกีฬาซีเกมส์ เมื่อการเลือกตั้งในกัมพูชาเสร็จสิ้นลง แนวปะทะก็ลดลงแต่ยังมีอยู่
ช่วงที่ผ่านมามีการพูดกันถึงเรื่องพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา และดรามาไก่ทอดที่ KFC กัมพูชา ออกไก่ทอดสูตรใหม่อย่าง “SAN THAI CRUNCH” หรือไก่ทอดสูตรไทย สร้างความไม่พอใจให้ชาวกัมพูชาบนโลกออนไลน์ไม่น้อย
จากนั้นจึงมาถึงเรื่องภาพยนตร์กัมพูชา “แม่ณุน” ที่มาฉายในประเทศไทยเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2567
วอนหน่วยงานรัฐดูแล
Admin รายหนึ่งจากเพจกลุ่ม Amazing world culture club (AWCC) ที่ปะทะกับชาว Social Media ฝั่งกัมพูชา มาจนถึงเวอร์ชันที่ 4 กล่าวว่า
1) กลุ่มคนไทยไม่พอใจคนเขมรจากวิธีคิดเรื่องวัฒนธรรมที่ทำการคัดลอกงานศิลปะวัฒนธรรมไทยนั้นมีอยู่จริง ทั้งคนที่อยู่ในกลุ่ม awcc และไม่ได้อยู่ เมื่อมรดกชาติไทยถูกละเมิด ดังนั้นถ้าเรียกการแสดงออกของคนกลุ่มนี้ว่า เป็นกิจกรรมสลายสีเพื่อแสดงออกถึงความรักชาติก็ย่อมได้ เพราะหลักๆ คือ คนไทยให้คุณค่าต่อคำว่า ลิขสิทธิ์ & ทรัพย์สินทางปัญญา
2) ปรากฏการณ์แม่ณุน ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจเริ่มต้นมาจากการขับเคลื่อนของกลุ่มคนในกลุ่มข้อ 1) ที่เห็นว่าเขมรฉวย คอสซูมแบบโบราณ ซึ่งเป็น 1 ในกระบวนการผลิตละคร-ภาพยนตร์ไทยแนวพีเรียด โดยที่ตนเองไม่ต้องทำวิจัยให้เสียเวลา
ภาพยนตร์นางนากของไทยผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน ทั้งการตีความวิถีชีวิตชาวบ้านตามเนื้อหาสมัย รัชกาลที่ 4 บท เรียบเรียง ตัดต่อ ทำรายได้พุ่งเกิน 150 ล้านบาทเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
จู่ๆ เขมรตวงเอาผลงานที่คนไทยทำสำเร็จแล้วเอาไปใช้ในปี 2024 นี่คือ ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รูปแบบชุดวัฒนธรรมโบราณสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นในกระบวนการผลิตภาพยนตร์ไทย
3) แต่ข้อ 2) นี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไม่ไปดู ’แม่ณุน’ สาเหตุหลักที่ผลัก ‘แม่ณุน‘ ให้ล้มคว่ำ ไม่ใช่เพราะคนไทยมุ่งต่อต้านเขมรด้านวัฒนธรรม แต่เพราะบริษัทผู้ผลิตเองที่อ่อนการโฆษณาประชาสัมพันธ์พื้นฐาน ไม่เข้าใจคำว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์
4) ความจริงคนไทยเปิดใจให้ภาพยนตร์ต่างประเทศอยู่แล้ว
แต่ความจำเจที่เขมรผลิตซ้ำกับภาพจำเดิมๆ ของคนไทย บวกกับความเบื่อในคำว่า วัฒนธรรมร่วม ที่มีคนพยายามชี้นำผ่านสื่อแบบผิดๆ โดยที่ทางการไทยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนิ่งเฉย จนทำให้คนไทยรู้สึกเหมือนถูกข่มขืนอยู่ทุกวี่วัน
นี่แหละสาเหตุที่แม่ณุนสอบไม่ผ่าน
5) สุดท้ายนี้ อิชั้นมองว่าความขัดแย้งด้านวัฒนธรรมระหว่างไทย-เขมร ที่อยู่บนเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา มันเป็นปัญหาที่ควรอยู่ในวาระทางการทูตไปแล้วด้วยซ้ำ
พร้อมยกตัวอย่างและตั้งคำถามว่า สถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ เห็นตำตาว่าเขมรจัดงานชื่อ “สงกรานต์ อังกอร์ ” 2022 ทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็สามารถสอบถามให้กระทรวงวัฒนธรรมเขมรอธิบายมาได้ แต่ก็ไม่ทำ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงวัฒนธรรม เห็นเขมรทำคลิปโปรโมตประเทศ ด้วยรูปแบบชุดสไบ งานลอยกระทง มวยไทย การไทย ทำไมไม่ท้วง?
สมาคมสถาปัตยกรรมไทยเห็นเขมรก่อสร้างสถานที่ราชการเป็น ‘โครงสร้างรูปแบบไทย‘ แล้วบิดเบือนข้อมูลเป็นศิลปะอังกอร์ ทำไมไม่ออกมาแย้ง?
ฝ่ายระบบการศึกษา ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย หลายสถาบันไทยยังให้พื้นที่เขมรมาเผยแพร่ศิลปะ วัฒนธรรมที่เพิ่งคัดลอก และหาซื้อจากไทยไป ในโครงการ 2 แผ่นดิน
ณ วันนีั ความขัดแย้งลุกลามไปกระทบภาคธุรกิจไปแล้ว ดังตัวอย่างภาพยนตร์แม่ณุน ที่เขมรสร้างความเกลียดชังไปทั่วแผ่นดิน
จากการเข้าไปสังเกตการณ์การตอบโต้ระหว่างกันพบว่า มีการนำเอาผังผู้ชมแม่ณุนของโรงภาพยนตร์ในบางรอบนำมาเย้ยกันว่ามีผู้ชมน้อยมาก ซึ่งในระหว่างนี้มีภาพยนตร์ไทย พี่นาค 4 เข้าฉายที่กัมพูชาเช่นกัน แม้จะมีกระแสแบนหนังไทยแต่ชาวกัมพูชายังชมพี่นาค 4 ในแต่ละรอบไม่น้อย ซึ่งในระยะนี้ยังมีภาพยนตร์จากกัมพูชาเข้ามาฉายในไทยต่อจากแม่ณุน เช่น ฝังครรภ์ ปีศาจ เข้าฉายเมื่อ 7 มีนาคม 2567 ขณะภาพยนตร์เรื่องธี่หยด 2 ถูกพูดถึงว่ามีการใช้สถานที่ของกัมพูชา
4 มี.ค.วันกะเทยผ่านศึก
อีกกรณีเป็นการรวมตัวกันของสาวประเภทสองนับพันคน ที่ย่านสุขุมวิท 11 หลังจากที่มีคลิปสาวสองไทย ถูกสาวสองฟิลิปปินส์ยั่วยุ ตามมาด้วยการเข้าทำร้ายร่างกาย ช่วยเช้าวันใหม่ 4 มีนาคม 2567 เหตุการณ์ดังกล่าวถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก จนเกิดการรวมตัวกันช่วงค่ำวันที่ 4 เพื่อเอาคืนสาวสองฟิลิปปินส์ จนมีการทำร้ายร่างกายกัน
รตี แต้สมบัติ ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 ที่สุขุมวิท 11 ว่า ในนามของมูลนิธิฯ ขอแสดงความเสียใจกับทุกฝ่าย ไม่อยากเห็นความรุนแรง สังคมควรดูปรากฏการณ์นี้อย่างเข้าใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกเพศสภาพ
การใช้ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องเชื้อชาติ แต่ควรอยู่บนหลักการของกระบวนการยุติธรรม ยึดหลักการ หลักสิทธิมนุษยชนในเรื่องสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย
ขณะที่ตัวแม่ของวงการสาวประเภทสอง ที่มองด้วยสายตาของความเป็นผู้ใหญ่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นที่สุขุมวิท 11 ส่วนหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นเรื่องความรักชาติ แต่ตรงนี้เป็นเพียงแค่พื้นที่บางๆ ที่ทับซ้อนกันกับการปกป้องกลุ่มและพวกของทั้งไทยและฟิลิปปินส์
ไม่ปฏิเสธว่าวันนั้นเป็นการรวมตัวกันของกะเทยที่มากจริงๆ Social Media ทำให้เกิดการรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว จากคลิปที่ฝั่งฟิลิปปินส์ยั่วยุก่อนและเปิดฉากทำร้ายร่างกายสาวประเภทสองของไทย คนที่ไปรวมตัวกันในวันนั้นมีทั้งคนที่ทำงานในพื้นที่แถวนั้นและไม่ได้ทำงานในสถานบันเทิง เป็นเรื่องของการหยามคนไทย เป็นต่างชาติมาระรานคนไทยจึงทำให้เกิดความรู้สึกเป็นพวกพ้อง
เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นต้องยอมรับผลที่จะตามมาด้วยเช่นกัน ทุกคนรู้กันว่าพื้นที่แถบนั้นมีอาชีพอะไรกันบ้าง เมื่อพื้นที่ดังกล่าวรับรู้กันเป็นการทั่วไปเป็นแหล่งค้าประเวณี ยาเสพติด คราวนี้ทุกอย่างคงไม่สะดวกเหมือนเดิม ดังนั้นน้องๆ ที่ทำงานแถวนั้นคงต้องยอมรับสภาพ
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j