xs
xsm
sm
md
lg

“ดิจิทัล วอลเล็ต” เพื่อไทยเหมือนจะทำ-ที่แท้คือถอย?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หลายสำนักกังขาตัวเลขเศรษฐกิจ สศค.คาดเศรษฐกิจ 66 ทรุดเหลือ 1.8% ทั้งๆ ที่เคยประเมินไว้ 2.7% เข้าทางต้องกระตุ้นเศรษฐกิจแจกดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท คนการเมืองประเมินเพื่อไทยทำให้ดูเหมือนดันดิจิทัล วอลเล็ต แต่เป็นวิธีถอยในทางการเมือง แค่รอให้มีแรงค้าน หลังคนใกล้นายใหญ่บอกนายไม่เดินหน้าต่อ

ยังคงถูกตั้งข้อสังเกตจากหลายฝ่ายถึงการที่ตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2566 ที่หลุดออกมาเมื่อ 23 มกราคม 2567 และแถลงโดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เผยแพร่เอกสารการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และปี 2567 ของกระทรวงการคลังที่ประทับตราลับ โดยระบุว่า GDP ของไทยในปี 2566 เติบโตเพียง 1.8% เทียบกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์เอาไว้เมื่อต้นปี 2566 ว่าจะเติบโตถึง 3.6%

ตามมาด้วยการแถลงของนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 ว่า “เศรษฐกิจไทยปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.6 ถึง 2.0) ชะลอลงจากปี 2565 ที่ขยายร้อยละ 2.6” โดยมีปัจจัยสำคัญจากการหดตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรมสะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าในหมวดยานยนต์ และคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์

ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งปี 2566 คาดว่าจะหดตัวที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ขณะที่มูลค่าการนำเข้าจะหดตัวที่ร้อยละ 1.9 ในส่วนของสถานการณ์ค่าเงินบาทในปี 2566 พบว่า ค่าเงินบาทมีความผันผวนโดยอ่อนค่าในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 และแข็งค่าขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจจีน และนโยบายการเงินผ่อนคลายของญี่ปุ่น โดยค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปี 2566 เฉลี่ยที่ 34.81 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากค่าเฉลี่ยปี 2565 ที่ร้อยละ 0.7

นอกจากนั้น ยังพบว่าตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตรของไทยในปี 2566 ที่ผ่านมา มีกระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดทุนไทยสุทธิ 3.3 แสนล้านบาท เป็นผลจากกระแสเงินทุนสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่ไหลออกจากทั้งตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตรไทยที่ 1.9 และ 1.4 แสนล้านบาท ตามลำดับ โดยนักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิหลักทรัพย์ไทยต่อเนื่องตลอดทั้งปี

สำหรับในปี 2567 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 2.8 ต่อปี

การพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพในระยะยาวนั้นควรให้ความสำคัญใน 3 ประเด็น ดังนี้

1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนาการใช้พลังงานที่ยั่งยืน การลงทุนในด้านดิจิทัล และการพัฒนาด้านคมนาคมเชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ จะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ และทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางในระดับภูมิภาคได้

2) การพัฒนาทักษะ การเตรียมแรงงานให้มีทักษะที่จำเป็นสำหรับเศรษฐกิจโลกมีความสำคัญและจะส่งเสริมความสำเร็จในระยะยาวได้ดี

3) การรักษาเสถียรภาพทางการคลัง มุ่งมั่นในการบริหารจัดการการคลังอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงการใช้จ่ายของรัฐและระดับหนี้สาธารณะอย่างรับผิดชอบ เพื่อรักษาความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายต่างๆ ในอนาคตได้


ปริศนาเศรษฐกิจทรุด

เรียกได้ว่าตรงเป๊ะกับเอกสารที่หลุดออกมาก่อนหน้า 1 วัน ตัวเลขดังกล่าวถือว่าเศรษฐกิจปี 2566 ของประเทศไทยต่ำกว่าที่หน่วยงานหลายแห่งได้คาดการณ์เอาไว้ ไม่เว้นแม้แต่ สศค.เองที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าเศรษฐกิจปี 2566 ของไทยจะโต 2.7% สอดคล้องกับหลายหน่วยงานที่ประเมินตัวเลขที่ใกล้เคียงกันคือราว 2.5% + -

ตอนนี้ตัวเลขที่ออกมาเป็นของ สศค. คงต้องรอให้หน่วยงานอื่นออกตัวเลขมาเพื่อเปรียบเทียบกันว่าจะใกล้เคียงกันหรือไม่ ซึ่งช่วงปลายปี 2566 หลายหน่วยงานที่ประมาณการเศรษฐกิจก็ปรับลดตัวเลข GDP ลงมาอยู่แถวๆ 2.5-2.7% แต่ไม่คิดว่าตัวเลขจะทรุดลงไปอยู่ที่ 1.8% แถมเป็นตัวเลขของหน่วยงานสำคัญอย่าง สศค.ที่มีความน่าเชื่อถือ ยิ่งมองได้หลายมิติ ถ้าจริงก็น่าห่วงเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ ต้องย้อนกลับไปดูที่นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ที่หาเสียงด้วยนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท จนทำให้พรรคเพื่อไทยกลายเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี มีความพยายามผลักดันนโยบายนี้ แต่หลายฝ่ายไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะฝั่งแบงก์ชาติและนักเศรษฐศาตร์หลายคน อีกทั้งตัวโครงการได้ปรับเปลี่ยนไปจากเดิม กลายมาใช้วิธีการกู้เงินแทน และเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีรายได้น้อยแทน

มองสวนทางเรื่องปกติ

อย่างไรก็ตาม ถ้าติดตามข่าวสารด้านเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2567 นายกรัฐมนตรีแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมาอยู่ที่ 2.5% สวนทางกับอัตราเงินเฟ้อที่เติบโตติดลบ จนต้องมีการหารือปรับความเข้าใจกัน

ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลกับแบงก์ชาติอาจมองสวนทางกัน รัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจดี นโยบายทางการเงินควรเอื้อต่อการฟื้นตัว เพราะถ้าภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลหากสร้างความกินดีอยู่ดีกับประชาชนได้ ย่อมเป็นผลบวกต่อพรรคการเมืองฝั่งรัฐบาล ขณะที่แบงก์ชาติที่ดูแลเรื่องความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเงิน ในบางครั้งจึงมีนโยบายที่สวนทางกับฝ่ายการเมืองบ้าง

ตอนนั้นหลายฝ่ายมองไปถึงขั้นที่ว่าอาจมีการปลดผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ แต่ถ้าปลดจริงย่อมไม่เป็นผลดีต่อสถานะความเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย


ปูทางดิจิทัล วอลเล็ต

นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย ช่วงที่หาเสียงกำหนดแจกประชาชนทุกคนอายุ 16 ปีขึ้นไป ต้องใช้เงิน 560,000 ล้านบาท กำลังถูกจับตาว่าจะสามารถผลักดันนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นในรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำได้หรือไม่ แม้จะผ่านความเห็นของกฤษฎีกา แต่ก็ไม่ฟันธงว่าการออกพระราชบัญญัติกู้เงินได้หรือไม่ กลายเป็นสิ่งที่คนที่ต้องการผลักดันต้องกังวลอยู่ไม่น้อยว่าถ้าเดินหน้าต่อไปจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่

สิ่งที่เราได้เห็นตัวเลขเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 23-24 มกราคม 2567 ที่มาจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ที่คาดว่าเศรษฐกิจ 2566 จะเติบโตเพียง 1.8% คล้ายๆ กำลังจะบอกว่าเศรษฐกิจแย่กว่าที่คาด จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นด้วยมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลตามความเหมาะสม หนึ่งในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีอยู่คือแจกเงินดิจิทัล

“ตอนนี้หน่วยงานที่ประเมินตัวเลขเศรษฐกิจหลายค่ายก็ถกเถียงกันในเรื่องตัวเลขของ สศค. ว่าเศรษฐกิจปี 2566 ต่ำไปหรือไม่”


ดูดีๆ จะทำหรือจะถอย

เท่าที่เห็นเพื่อไทยพยายามผลักดันนโยบายแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ให้เกิดขึ้นให้ได้ แม้จะผิดแผนไปจากเดิมก็ตาม เพราะถ้าโครงการนี้ถูกพับไปไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ผลลบเกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน และจะกลายเป็นแผลให้ถูกโจมตีถึงความล้มเหลวสำหรับการหาเสียงในครั้งต่อไป ที่สำคัญไปกว่านั้นคือจะต้องมีฝ่ายที่ออกมาเรียกร้องให้นายกฯ เศรษฐาออกมาแสดงความรับผิดชอบ ส่วนจะถึงขั้นเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้นคงต้องรอดูสถานการณ์กันต่อไป

สิ่งที่สำนักงานกฤษฎีกาให้คำตอบกลับมา หรือตัวเลข สศค.ที่ออกมา เป็นไปได้ทั้งหนทางเดินหน้าและเป็นทางถอยของโครงการนี้ในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าออกมายอมรับตรงๆ ว่าจะถอยโครงการนี้ ซึ่งในทางการเมืองแล้วการถอยโครงการสำคัญที่ไม่สามารถทำได้ ต้องทำอย่างมีชั้นเชิง ต้องแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะผลักดันโครงการนี้ก่อน แต่เจอกับอุปสรรคต่างๆ โดยอาศัยฝ่ายที่คัดค้านนำมาใช้เป็นบันไดให้ฝ่ายการเมืองเดินลงจะเป็นแนวทางที่สวยที่สุด แม้อาจเสียหายไปบ้างแต่อ้างเหตุผลได้ว่าไม่เดินหน้าต่อเป็นเพราะอะไร

ก่อนหน้านี้ มีคนใกล้ชิดนายใหญ่ออกมาให้ข่าวว่า นายใหญ่ไม่ผลักดันโครงการนี้ต่อ ดังนั้นสิ่งที่เราจะได้เห็นนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต จากนี้ไปมีความเป็นไปได้ทั้งการพูดถึงเรื่องนี้ให้น้อยลง หรืออาจหาหน่วยงานบางแห่งเข้ามาเป็นตัวเบรกโครงการนี้ เพื่อให้พรรคเพื่อไทยไม่เสียหายจากการถอยโครงการนี้

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่

Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น