จับตาเงินดิจิทัล 10,000 บาท แท้งแน่! คนในชี้ ‘นายใหญ่’ ไม่ผลักดันต่อเพราะผิดเงื่อนไขเดิมจากเหรียญดิจิทัลรูปของ Token ซึ่งเป็น UtilityToken ระบบ Blockchain รับประกันโดยรัฐบาลไม่มีการกู้เงิน-ไม่ขึ้นภาษี จำนวนคน-พื้นที่ถูกปรับเงื่อนไขทำให้พายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เป็นตามเป้าหมาย แถมต้องมาผลักดันออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านเพื่อมาแจก ก็ต้องเจอแรงต้านมากมายทั้งนักวิชาการ แบงก์ชาติ กฤษฎีกา ป.ป.ช. ถึงขั้นอาจติดคุก ล่าสุดมีข่าวสะพัดในวง ส.ส.ว่ารัฐมนตรีและส.ส.พรรคร่วมอาจไม่โหวตให้งานเข้า ‘เศรษฐา-เพื่อไทย’ ต้องเร่งหาทางแก้ จะดันหรือถอย ไม่งั้นพรรคเสียฐานเสียงแน่ เชื่อสิงหาคมนี้ เปลี่ยนอุ๊งอิ๊ง นั่งนายกฯ แทนเศรษฐาไม่สำเร็จ เพราะโพลภายในเพื่อไทยชี้มวลชนยังไม่คลิกแม้ ‘อุ๊งอิ๊ง’ นั่งประธานฯ ซอฟต์เพาเวอร์ก็ตาม!
นโยบายแจกเงินดิจิทัลวงเงิน 10,000 บาท ให้ประชาชนทุกคนอายุ 16 ปีขึ้นไป วงเงิน 560,000 ล้านบาท ของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ช่วงหาเสียง กระทั่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี กระทั่งทุกวันนี้มีทั้งแรงสนับสนุนและกระแสคัดค้านจากหลายกลุ่มที่มีหลักฐานทางวิชาการอ้างอิงได้ ถึงเหตุผลและความไม่เหมาะสม ซึ่งพรรคเพื่อไทยในฐานะเจ้าของนโยบายแม้จะมีการปรับเงื่อนไขจากที่หาเสียงไว้หลายเรื่อง โดยเฉพาะตั้งเป้าแจกคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป มีการปรับเป็นแจกคนจนยกเว้นคนรวย หรือแจกงวดเดียว เพื่อสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ อีกทั้งแหล่งที่มาของเงินที่เดิมประกาศชัดว่าไม่ต้องกู้และไม่ขึ้นภาษีแต่อย่างใด
สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าจะออก พ.ร.บ.กู้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาแจกในโครงการดังกล่าว ซึ่งการออก พ.ร.บ.กู้เงินยิ่งเจอแรงต้านสูงขึ้นทั้งอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์นับ 100 คน ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายนี้เพราะมองว่าประโยชน์ที่ประเทศจะได้น้อยกว่าต้นทุนที่เสียไปอย่างมาก พร้อมๆ กับกระแสต่อต้านที่แรงขึ้นว่าใครกล้าทำก็ต้องรับผิดชอบเพราะมีความเสี่ยงถึงขั้นติดคุก และบางกระแสบอกว่านี่แหละคือโอกาสทองที่พรรคเพื่อไทยจะใช้เป็นข้ออ้างในการถอยหรือยุติโครงการนี้ไปได้ อยู่ที่ว่าพรรคเพื่อไทยจะเลือกดันทุรังต่อไปหรือไม่?
ด้าน สมชาย แสวงการ วุฒิสมาชิก โพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องเงินดิจิทัลอย่างต่อเนื่องเพื่อเตือนให้พรรคเพื่อไทยถอยดีกว่า #เงินดิจิทัลกู้เงินมาแจก 5 แสนล้าน #ทำไม่ได้ #เสี่ยงคุก พร้อมระบุว่า โปรดอ่านความเห็นกฤษฎีกาให้ดี ถ้ารัฐบาลจะออก พ.ร.บ.กู้มาเพื่อแจกในโครงการแจกดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท ต้องเข้าเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 53 เป็นที่ประจักษ์คือ 1.เร่งด่วน 2.วิกฤต 3.ต่อเนื่อง 4.ทำ พ.ร.บ.งบประมาณไม่ทัน
โดยมีคำอธิบายประกอบชัดเจนมากว่าไม่เร่งด่วน เศรษฐกิจประเทศไม่ได้วิกฤตตามมาตรฐานธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เหมือนคราววิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง 2540-2543 และวิกฤตโควิด อีกทั้งยังต้องมีเงื่อนไขให้คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด ตาม ม.57, 6, 7, 9 และ 49 ด้วย
ทั้งนี้ ส.ว.สมชาย สรุปว่า การออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านทำไม่ได้ แต่ถ้าใครดื้อดึงออก พ.ร.บ.มาแจกให้ได้ คณะกรรมการทั้งฝ่ายการเมืองในรัฐบาล ข้าราชการประจำ และสภาควรตรวจสอบให้มั่นใจว่าทำถูกต้องครบถ้วนทุกกระบวนการตามมาตราต่างๆ ในกฎหมายแล้วหรือยัง เพราะวันหน้าคดีไปถึงศาล คงยากแก้ไขหรือแก้ตัว # เตือนมาเพื่อความหวังดี # เลิกดันทุรังเถอะครับ
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ระบุว่า เรื่องนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท นั้น คนใกล้ชิดที่ถือว่าเป็นระดับวงในของเครือข่ายชินวัตรนั้นยอมรับว่าได้ข้อยุติแล้ว คือ ‘นายใหญ่’ ไม่ผลักดันต่อ เพราะวันนี้ไปไกลถึงการออก พ.ร.บ.เงินกู้ จึงไม่ได้เป็นไปตามเป้าประสงค์เดิมที่มีการพูดคุยกับ นายเศรษฐา ทวีสิน และระดับแกนนำทีมเศรษฐกิจนั้น โครงการดิจิทัล 1 หมื่นบาทจะใช้ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีระบบบล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูงที่เอื้อต่อระบบชำระเงินในรูปแบบใหม่
“ตอนนั้นรูปเงินดิจิทัลที่จะนำมาใช้ในโครงการจะเป็นในรูปของ Token ซึ่งเป็น Utility Token ที่สามารถชำระหนี้ได้ แต่มีเรื่องของกฎเกณฑ์ต่างๆ ทั้ง ก.ล.ต.และขัดกฎหมายแบงก์ชาติ ต้องมีการหารือกันจนทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ และมาถึงขั้นต้องออก พ.ร.บ.กู้เงิน ที่ ป.ป.ช. แบงก์ชาติ กฤษฎีกา นักวิชาการคัดค้านกันตามเหตุผลต่างๆ”
แหล่งข่าวบอกอีกว่า เงินดิจิทัลที่ตั้งเป้าหมายไว้คือเหรียญ หรือสิทธิการใช้เงินที่ใช้บล็อกเชน ไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซี ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ และไม่สามารถแลกเปลี่ยนด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้ ไม่มีราคาขึ้นลง เนื่องเพราะทุกเหรียญมีค่าเท่ากับเงินบาท รับประกันโดยรัฐบาล
“เวลานี้นายใหญ่นิ่งแล้ว ไม่เดินหน้าผลักดันต่อแน่นอน ผู้ที่เกี่ยวข้องของเพื่อไทย ทั้งนายกฯ และคนอื่นๆ ต้องเดินกันไปเอง จะดันให้เกิดหรือถอยก็ทำกันไปแต่ไม่มีการสั่งการจากนายใหญ่แน่ คิดจะปลดผู้ว่าฯ แบงก์ชาติที่ค้านตั้งแต่แรกก็ทำไม่ได้ หากจะตั้งคนอื่นมาแทน ก็ลำบากเพราะคนในแบงก์ชาติล้วนแต่ไม่เห็นด้วย ทำอะไรไปก็ลำบาก”
ขณะเดียวกัน ยังมีเงื่อนไขที่กฤษฎีกาให้กลับไปคิด ซึ่งไม่เข้าเงื่อนไขใดเลยที่จะออก พ.ร.บ.กู้เงิน รวมไปถึงมีข่าวลือว่ามีการพูดคุยกันระหว่างรัฐมนตรี และ ส.ส.ในพรรคร่วมรัฐบาล บอกว่าก่อนที่นายกฯ เศรษฐา จะเซ็นกฎหมายกู้เงินเพื่อผ่านเข้าไปในสภาได้ต้องให้ ครม.เห็นชอบกันก่อน บรรดาหัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีของพรรคที่ร่วมอยู่ใน ครม.จะมีหลายคนไม่เห็นชอบกับ พ.ร.บ.กู้เงิน เพราะประเมินแล้วว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะผิดกฎหมายและอาจติดคุกได้ ซึ่งการประชุม ครม.ต้องมีบันทึกทุกขั้นตอนไว้ ใครจะติดคุกตอนไหนไปดูได้ที่บันทึกการประชุม
“หัวหน้าแต่ละพรรคต้องนำเรื่อง พ.ร.บ.กู้เงินเข้าไปหารือในพรรค เพื่อให้ ส.ส.แสดงความเห็น บางคนเริ่มพูดกันแล้วว่าไม่เห็นด้วย และอยากให้พรรคทบทวนให้ดี ต้องไม่ให้ผ่าน ตั้งแต่ด่านนี้จะได้ไม่ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาเพื่อโหวตรับร่าง พ.ร.บ.กู้เงินฉบับนี้”
แหล่งข่าวย้ำว่า หากประเมินกันแล้ว เชื่อว่าที่สุดรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยน่าจะถอย เพราะนายใหญ่ไม่ผลักดันอะไรต่อ เพราะเมื่อไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายและการเดินต่อไปต้องเผชิญกับความเสี่ยงน่าจะหาทางลงกันให้ได้ ‘นายใหญ่’ ปล่อยให้นายกฯ เศรษฐา และแกนนำพรรคจัดการกันเอง
“มีการพูดกันว่าการทำนโยบายดิจิทัล 10,000 ไม่สำเร็จ จริงๆ นายกฯ เศรษฐา ต้องปิ๋ว หรือถูกเปลี่ยนตัวในช่วง ส.ค.67 เป็นช่วงที่ ส.ว.ไม่มีสิทธิโหวตนายกฯ และหาคนใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่งก็คืออุ๊งอิ๊ง แต่ด้วยความไม่พร้อม และมีการทำโพลภายในพบว่าอุ๊งอิ๊ง ยังไม่มีกระแสตอบรับที่ดีพอที่จะดันขึ้นไปแทน ทุกอย่างจึงยังคงเหมือนเดิม นายกฯ เศรษฐา ยังคงทำหน้าที่ต่อไป”
นอกจากนี้ ‘นายใหญ่’ เชื่อว่าสิ่งที่นายกฯเศรษฐา และพรรคเพื่อไทยต้องรีบดำเนินการ คือเร่งสร้างผลงาน เพราะหากโครงการดิจิทัล 10,000 ทำไม่สำเร็จแล้ว พรรคเพื่อไทยจะถูกต่อต้านจากประชาชนที่เลือกพรรคเพื่อไทย และหันไปเทคะแนนให้พรรคก้าวไกล ขณะที่กลุ่มธุรกิจการเมืองที่เคยคาดหวังที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายดิจิทัลคงไม่พอใจเช่นเดียวกัน การเลือกตั้งในสมัยหน้า พรรคเพื่อไทยเหนื่อยแน่ๆ เพราะแรงต่อต้านตระกูลชินวัตร กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร เข้ารักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โดยไม่ต้องติดคุก เริ่มจะกระพือขึ้นมาอีกแล้ว ขณะที่ตัวของแพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ ยังไม่สามารถเรียกแรงศรัทธาได้ตามที่คาดหวัง ตรงนี้จึงเป็นโจทย์ใหญ่ให้พรรคเพื่อไทยต้องเร่งจัดการ!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j