“ดร.สมภพ มานะรังสรรค์” เตือนเศรษฐกิจไทยปีหน้าเจอศึกหนัก เหตุเศรษฐกิจโลกหดตัว มูลค่า GDP หายไปกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ หลายประเทศมีเลือกตั้งการเมืองจึงผันผวน สงครามยังคงยืดเยื้อ อาจทำราคาน้ำมันพุ่งสูง ขณะที่เศรษฐกิจจีนมีปัญหา ส่งผลนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดหลักของไทยลดลง อีกทั้งคนจีนเปลี่ยนเทรนด์ หันไปเที่ยวญี่ปุ่น แนะรัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดทุน เร่งดำเนินการโครงการคมนาคม ทั้งรถไฟฟ้า-รถไฟรางคู่ เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ชี้ปี 67 จำเป็นต้อง “แจกเงินดิจิทัล” หากตัวเลข GDP ต่ำกว่า 1%
หลังจากที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศปรับลดตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2566 เหลือ 2.5% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.5-3% ขณะที่รายได้หลักของประเทศอย่างการส่งออกยังติดลบ และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวรายใหญ่ที่เดินทางมาไทยมีแนวโน้มลดลง ทำให้หลายฝ่ายเริ่มวิตกว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะไปในทิศทางไหน? และควรจะรับมืออย่างไร?
รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ได้วิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ว่า เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก และต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลกใน 3 ด้านหลักๆ คือ 1.ด้านการค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะการส่งออก 2.ด้านการลงทุนจากต่างประเทศ และ 3.ด้านการบริการ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ดังนั้นไม่ว่าโลกขยับไปในทิศทางไหนก็ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยจากการพยากรณ์ของ IMF ระบุว่า ในปีหน้า GDP โลกทั้งปีจะโตแค่ 2.6% ซึ่งถือว่าลดลงมาก เพราะปกติ GDP โลกจะอยู่ที่ 3.5% การที่ GDPโลกหายไป 1% ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกชะลอตัวลงจากสาเหตุต่างๆ ทั้งจากตัวเศรษฐกิจเอง และเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองและความมั่นคง โดยในปีหน้าต้องระวังแรงกระเพื่อมของการเมืองและความมั่นคงของโลกมากเป็นพิเศษเนื่องจากในปี 2567 จะมีการเลือกตั้งในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน อินโดนีเซีย รัสเซีย อินเดีย และที่สำคัญจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อทั่วโลก ทั้งนี้ ในช่วงที่มีการเลือกตั้งนักการเมืองจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มคะแนนสียงให้ตัวเอง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของประเทศ เราจึงเห็นบางพรรคหรือผู้สมัครบางคนชูนโยบายที่สร้างความขัดแย้งกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งมักจะตกเป็นเป้า ขณะที่หลังการเลือกตั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายระหว่างประเทศ
“ในปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะหดตัวลง โดยทั้ง World bank ทั้ง IMF ต่างประสานเสียงกันว่าปีหน้าเศรษฐกิจโลกโตไม่ถึง 3% ซึ่งน้อยกว่าปี 2566 ถึง 1% หรือเท่ากับหายไป 1 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงมาก และย่อมส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนอย่างแน่นอน” รศ.ดร.สมภพ กล่าว
รศ.ดร.สมภพ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น IMF ยังระบุว่าในปี 2567 เศรษฐกิจจีนจะโตแค่ 4.6% ซึ่งลดลงจากปี 2566 ที่คาดว่าจะโต 5% นิดๆ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดหลักของไทยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ที่สำคัญตอนนี้คนจีนใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากตอนนี้เศรษฐกิจของจีนไม่ค่อยดีนัก แม้แต่การจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศก็ลดลงอย่างมาก ทำให้เกิดแรงกดดันของภาวะเงินฝืด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือน ต.ค.2566 ติดลบ แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของจีนลดลงอย่างมาก
“ดูแล้วปีหน้าจะเหนื่อยกว่าปีนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวต่ำกว่าเป้าเพราะคนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่าย โดยเฉพาะประเทศที่เป็นตลาดการท่องเที่ยวหลักของไทย อย่างจีน ซึ่งหากเศรษฐกิจจีนตกลงกว่านี้รัฐบาลของจีนอาจจะออกมาตรการห้ามคนจีนออกไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อสงวนเงินตราไม่ให้ไหลออกนอกประเทศ อีกทั้งปัจจุบันคนจีนไม่ได้มองว่าไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ อีกต่อไป ตอนนี้แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของจีนคือญี่ปุ่น ซึ่งในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปเที่ยวญี่ปุ่นถึง 2.5 ล้านคน ส่วนไทยตกไปอันดับที่ 5-6 ในสายตาของจีนแล้ว เนื่องจากลักษณะการท่องเที่ยวต่างประเทศของคนจีนเปลี่ยนไปจากเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ ส่วนใหญ่จะเที่ยวด้วยตัวเองแบบกลุ่มเล็กๆ อีกทั้งคนที่มาเที่ยวก็มีอายุน้อยลง ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้น ไม่ได้เจาะจงว่าจะไปเที่ยวประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ” รศ.ดร.สมภพ ระบุ
ส่วนผลกระทบจากการสู้รบระหว่างประเทศต่างๆ นั้น “รศ.ดร.สมภพ” มองว่า ตัวแปรสำคัญอยู่ที่ 2 สมรภูมิ คือ
1.การสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ ยูเครนยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนาโตที่นำโดยสหรัฐฯ ขณะที่รัสเซียก็ตั้งหลักสู้ ซึ่งรัสเซียเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตพลังงานที่สำคัญ ดังนั้น หากถึงหน้าหนาวแล้วอากาศหนาวมากแต่การสู้รบยังไม่ยุติ ราคาพลังงานทั้งก๊าซและน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้น ประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะได้รับผลกระทบไปด้วย
2.การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ในปาเลสไตน์ ซึ่งแม้ขณะนี้ดูเหมือนสถานการณ์ดีขึ้นแต่ยังเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เนื่องจากมีตัวแปรมากมาย มีหลายประเทศที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งหากสถานการณ์บานปลาย มีประเทศในแถบตะวันออกกลาง อย่างอิหร่าน เลบานอน เยเมน เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นอย่างแน่นอน
“เนื่องจากทั้งสองสมรภูมิต่างเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของโลก ดังนั้นถ้าเศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่ราคาน้ำพุ่งพรวดขึ้นมาอันนี้อันตรายมาก” รศ.ดร.สมภพ กล่าว
สำหรับแนวทางในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในปีหน้านั้น “รศ.ดร.สมภพ” แนะนำว่า ในปี 2567 รัฐบาลไทยจำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเศรษฐกิจซบเซามาก การค้าต่างประเทศลดลง การบริโภคในประเทศลดลง ไทยจะได้รับผลกระทบตามมา ช่วงนั้นรัฐบาลอาจจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใส่เงินเข้าไปในระบบซึ่งจริงๆ แล้วการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องดูเหตุผลว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงไหน ด้วยเหตุผลอะไร ถ้าจีดีพีลดลงมาก ทำท่าจะติดลบ หรือการบริโภคลดลงมากย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจตามมาเป็นลูกโซ่
ถึงเวลานั้นภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญโดยการใช้นโยบายการคลัง เช่น จัดหาเงินมาให้ประชาชนมีอำนาจซื้อมากขึ้น มีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ถึงตอนนั้นการแจกเงินดิจิทัลอาจจะจำเป็น แต่ต้องดูจังหวะให้ดีว่าจังหวะไหนจำเป็นต้องใส่เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลต้องสร้างความชัดเจนในนโยบายการเงินการคลัง ต้องดูว่าดิจิทัลวอลเล็ตควรแจกให้กลุ่มไหนบ้าง ควรแจกท่าไหร่ และแจกตอนไหน ถ้าแจกผิดที่ผิดเวลาก็อาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากเป็นโครงการที่เงินใช้มหาศาล หากใช้ไปแล้วเกิดประโยชน์ไม่เต็มที่ก็น่าเสียดาย
“จะเห็นได้ว่าตอนนี้จีดีพีของไทยแผ่วลง ไตรมาสแรกของปี 66 จีดีพีโต 2.6% ไตรมาสสอง โต 1.9% สุดไตรมาสสาม โต 1.5% และมีแนวโน้มว่าจะลดลงอีก ดังนั้นปีหน้าโอกาสใช้เงินจากนโยบายแจกเงินดิจิทัลมีแน่นอน แต่ต้องดูจังหวะให้ดี ใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม อย่าใช้ก่อนหรือหลังเวลาที่จำเป็น ถ้าจีดีพีของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1% อาจจะต้องนำนโยบายแจกเงินดิจิทัลออกมาใช้ ต้องดูว่าจะแจกมากน้อยแค่ไหน หรือแจกแบบแยกเป็นหลายๆ กอง สมมติ แบ่งแจกเป็น 4 งวด ภาระการคลังจะน้อยลง ถ้าต้องกู้ก็อาจจะกู้น้อยลง ใช้เงินงบประมาณส่วนหนึ่ง ใช้เงินกู้ส่วนหนึ่ง แล้วต้องกระตุ้นให้ถูกจุดด้วย คือให้กลุ่มคนที่เขาเดือดร้อน ได้เงินแล้วเขาจับจ่ายใช้สอยทันที ถ้าทำแบบนี้ต่างชาติจะเริ่มเห็นว่าการบริหารจัดการนโยบายการเงินการคลังของเราเริ่มถูกทิศถูกทาง น่าจะสร้างศักยภาพของประเทศในระยะยาวได้ เพราะการก่อหนี้ไม่มากเกินไป ก่อหนี้แล้วรัฐบาลจัดการได้ ทำให้ต่างชาติเชื่อมั่นที่จะนำเงินมาลงในตลาดทุนของไทย” รศ.ดร.สมภพ ระบุ
ส่วนแนวทางในการส่งเสริมการลงทุนในปี 2567 นั้น “รศ.ดร.สมภพ” ชี้ว่า อันดับแรกที่รัฐบาลต้องทำคือการสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดเงินตลาดทุน ทั้งในส่วนของนักลงทุนชาวไทยและนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากเป็นการลงทุนที่สามารถขับเคลื่อนได้เร็วที่สุด ขณะที่การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมหรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นั้นแม้จะเป็นนโยบายที่ดีแต่ก็ต้องใช้เวลาหลายปี กว่าจะผ่านขั้นตอนต่างๆ กว่านักลงทุนจะย้ายฐานการผลิตเข้ามา รัฐบาลชุดนี้อาจจะหมดวาระไปแล้ว
อย่างไรก็ดี การกระตุ้นลงทุนในภาคอุตสาหกรรมยังมีความจำเป็น ข้อแนะนำคือรัฐบาลต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้เอกชนเชื่อมั่นในการลงทุนเนื่องจากปัจจุบันเอกชนไม่มีความเชื่อมั่นเพราะมองว่าภาครัฐไม่มีการลงทุน การดำเนินการในโครงการต่างๆ เป็นไปอย่างเชื่องช้า ที่สำคัญโครงการต่างๆ ใช้เงินลงทุนจำนวนมาก หากไม่มีความเชื่อมั่นเอกชนไม่กล้าลงทุน บางกรณีเอกชนก็ไม่สามารถลงทุนได้เองทั้งหมดเพราะใช้เงินเยอะ ภาครัฐต้องร่วมด้วย ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องนำร่องในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐวางแผนไว้แต่ยังไม่ได้ลงทุนทำต้องรีบดำเนินการ ซึ่งหากรัฐลงทุนด้วยจะช่วยลดต้นทุนของภาคเอกชน
“ตอนนี้รัฐบาลพยายามที่จะขายโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการทำโครงการนานมาก แต่มีโครงการที่ทำได้เร็วกว่าอย่างรถไฟรางคู่ โครงการรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินบนดิน โครงการโลจิสติกส์ต่างๆ ซึ่งหากรัฐบาลเร่งผลักดันให้โครงการเหล่านี้แล้วเสร็จและสามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันทีทั้งในภาคการค้า การขนส่ง การท่องเที่ยว อีกทั้งยังสามารถสร้างกิจกรรมต่อเนื่องทางธุรกิจได้ เช่น เมื่อโครงการรถไฟแล้วเสร็จ บริเวณสถานีรถไฟจะมีกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น โครงการอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวขึ้น ซึ่งโครงการเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว นอกจากนั้น รัฐยังสามารถใช้ประโยชน์จากโครงการรถไฟสายจีน-ลาว-ไทย ซึ่งตอนนี้ต่อมาถึงสถานีหนองคายแล้ว ซึ่งจะทำให้การค้าและการเดินทางสะดวกขึ้น” รศ.ดร.สมภพ กล่าว
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j