คดีคุกคามทางเพศ ส.ส.ก้าวไกล พรรคตัดสินจบ-กระแสสังคมไม่จบ แม้ ส.ส.ในก้าวไกลยังไม่เห็นด้วย 3 นิ้ว กดดันลาออก งานนี้ย้อนศรเต็มๆ เท่าเทียมทางเพศ ตั๋วช้างในพรรค คนไม่เท่ากัน แถมปิยบุตร-ช่อกลายเป็นคนรุ่นเก่าไม่มีใครฟัง งานนี้พิสูจน์ว่าพรรคใหญ่กว่าคน หรือประชาชนใหญ่กว่าพรรค
ดูเหมือนพรรคก้าวไกลจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้อย่างไม่เต็มกำลังความรู้ความสามารถ ด้วยมาตรฐานของพรรคการเมืองที่ครองใจคนรุ่นใหม่จนกลายเป็นพรรคอันดับหนึ่งที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา แต่โชคชะตาส่งผลให้พรรคก้าวไกลต้องทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
แทนที่ก้าวไกลจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลเพื่อไทยอย่างเข้มข้น หลังจากพรรคเพื่อไทยปล่อยมือจากก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาล กลายเป็นว่าคนในสังคมพุ่งเป้ามาตรวจสอบคนของพรรคก้าวไกล ทั้งระดับสมาชิกพรรค ว่าที่ผู้สมัคร ไปจนถึงระดับ ส.ส.ของพรรค ที่มีเรื่องฉาวให้ต้องจับตามองไม่เว้นแต่ละวัน เรียกว่าช่วงเวลานี้คนในสังคมกำลังตรวจสอบพรรคฝ่ายค้านอย่างก้าวไกลโดยเฉพาะประเด็นการคุกคามทางเพศ ที่ก้าวไกลใช้เป็นจุดขายในการหาเสียงมาตลอด
ผิดเหมือนกันโทษไม่เท่ากัน
ช่วงค่ำของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล และ ส.ส.พรรคก้าวไกล มีมติขับนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา ส.ส.ปราจีนบุรี ออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกล เพราะถือว่าเป็นการผิดวินัยร้ายแรง และกรณี นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ส.ส.กทม. ที่ประชุมออกเสียงไม่ถึง 3 ใน 4 ให้ขับพ้นสมาชิกพรรค จึงให้มีการรอคาดโทษไว้ก่อนเพื่อให้มีการยอมรับผิด และขอโทษจากการกระทำ
ส่งให้เกิดแรงกระเพื่อมจากบุคคลภายในพรรคก้าวไกลและกลุ่มที่เคยเคลื่อนไหวร่วมกับพรรคก้าวไกล ต่างออกโรงแสดงความไม่เห็นด้วยกับมติที่เกิดขึ้นจากการโหวตของ ส.ส.ก้าวไกล โดยโฟกัสไปที่กรณีของ ส.ส.ปูอัด ไชยามพวาน ที่ไม่ถูกขับออกจากพรรค
เฉพาะมติครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามมากมาย ทั้งเรื่องกระทำความผิดเหมือนกันแต่โทษไม่เหมือนกัน เรื่องของ ส.ส.ต่างจังหวัดกับสส.กทม. มีเส้น/ไม่มีเส้น จนนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ต้องออกมาปฏิเสธ นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องให้เปิดเผยรายชื่อ ส.ส.ที่ช่วยอุ้มนายไชยามพวาน
อยู่ต่อ-อยู่ยาก
ส.ส.ต่างพรรคที่มองถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกลว่า ที่จริงมติขับนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา ส.ส.ปราจีนบุรี ออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกลเป็นโทษที่แรงกว่าของ ส.ส.ปูอัด แต่กลายเป็นว่าคนที่ยังอยู่กับถูกกดดันอย่างหนัก คุณยังเป็น ส.ส.อยู่ในก้าวไกลอยู่ก็จริง แต่คำตัดสินออกมาแล้วว่าผิดจริง แล้วคุณจะทำงานร่วมกับเพื่อนๆ ในพรรคที่ชูนโยบายเรื่องความเท่าเทียมทางเพศอย่างไร ดีที่สุดคือคุณต้องลาออกจากการเป็น ส.ส. ไม่เช่นนั้นปัญหาจะไม่จบ
ส่วน ส.ส.แจ้ วุฒิพงศ์ ต้องหาพรรคสังกัดใหม่ ถามว่าพรรคไหนจะกล้ารับเพราะก้าวไกลตีตราไปแล้วว่าผิดเรื่องคุกคามทางเพศ ถ้าจะย้ายไปพรรคเป็นธรรมเช่นเดียวกับนายปดิพัทธ์ (หมออ๋อง) สันติภาดา อาจไม่ง่าย เพราะกรณีหมออ๋องไม่มีเรื่องความผิด เป็นแค่เรื่องการใช้เทคนิคทางกฎหมายเพื่อรักษาเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และแบ่งเก้าอี้ผู้นำฝ่ายค้านให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่
ย้อนศรเข้าพรรค
ถ้าพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกลในเวลานี้ให้ดี จะพบว่าหลายเรื่องที่ก้าวไกลเคยวางมาตรฐานไว้กับพรรคอื่น ตอนนี้เรื่องถูกย้อนศรกลับเข้ามาที่พรรคของตัวเองแล้ว พรรคชูนโยบายสร้างความเท่าเทียมทางเพศ แต่ ส.ส.ชายในพรรคกลับทำเสียเอง ทั้งทำร้ายร่างกาย และคุกคามทางเพศฝ่ายหญิง
แถมโทษที่ถูกตัดสินออกมาทำให้เกิดความรู้สึกได้ว่า งานนี้มีตั๋วช้างในพรรคก้าวไกลหรือไม่ เพราะผู้ถูกกล่าวหาบางคนสนิทสนมกับคนที่เป็นเบอร์ใหญ่ในพรรค แม้จะมีการปฏิเสธแต่สิ่งที่เห็นก็ชัดเจนว่า บทลงโทษแตกต่างกันระหว่าง ส.ส.เมืองกรุงกับ ส.ส.ต่างจังหวัด แล้วนโยบายที่ปลุก “คนเท่ากัน” มีอยู่จริงหรือไม่
จนเกิดคำถามว่านโยบายที่ก้าวไกลประดิษฐ์ขึ้นมานั้น แท้ที่จริงทำได้หรือไม่ เพราะขนาดคนในพรรคยังทำไม่ได้แล้วจะไปผลักดันให้เป็นจริงได้อย่างไร หรือมีข้ออ้างว่าพรรคเป็นแค่ฝ่ายค้านไม่สามารถผลักดันได้อย่างนั้นหรือ
สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังสอนคนในพรรคก้าวไกลว่า โลกของความเป็นจริงกับโลกของอุดมการณ์นั้นเป็นอย่างไร อย่างการลงมติขับหรือไม่ขับ ส.ส.พ้นพรรค ก็มีทั้งที่ไม่ผิดก็ขับออกเพราะเป็นเกมทางการเมือง อย่างหมออ๋อง ปดิพัทธ์ ฝากพรรคเป็นธรรมไว้ก่อน เพราะหัวหน้าพรรคต้องการตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน แต่หมออ๋องไม่อยากเสียตำแหน่งรองประธานสภา มันเป็นไปตามอุดมการณ์สวยหรูของก้าวไกลหรือไม่
หรืออย่าง ส.ส.แจ้กับ ส.ส.ปูอัด ขับคนหนึ่ง-ไม่ขับคนหนึ่ง แค่นี้ต่างกันแล้วทั้งๆ ที่กรรมการบริหารพรรคสรุปว่าผิดทั้งคู่ เราเชื่อว่ากองเชียร์ของพรรคก้าวไกลที่มีใจเป็นธรรมก็เห็นเช่นกัน ถามว่าต่างกับพรรคอื่นๆ ที่เคยด้อยค่าไว้หรือไม่ มันก็ไม่ต่างกันเพราะเป็นการชิงจังหวะกันทางการเมือง คุณตราหน้าคนอื่นได้เพราะตอนนั้นคุณยังไม่ได้ทำ แต่ตอนนี้พรรคคุณทำไม่ต่างจากพรรคที่คุณด้อยค่าเอาไว้
“ปิยบุตร-ช่อ” คนรุ่นเก่าไร้ความหมาย
อีกประการหนึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าพรรคที่ส่งเสริมให้เชื่อมั่นในตัวเองในความเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่เน้นเรื่องกฎระเบียบที่มองว่าเป็นเรื่องล้าหลังและขัดต่อหลักสิทธิและเสรีภาพ ตอนนี้กำลังย้อนกลับเข้าไปที่พรรคก้าวไกลแล้วเช่นกัน หลายบ้านอาจเจอปัญหาลูกหลานไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่
ตอนนี้นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำในการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง จนมาเป็นคณะก้าวหน้า พรรคอนาคตใหม่แปลงสภาพเป็นพรรคก้าวไกล ทุกวันนี้นายปิยบุตรพูดถึงพรรคก้าวไกลทีไรจะถูกด้อมส้มเข้าไปต่อว่าจนประกาศถอยว่าจะไม่พูดถึงพรรคก้าวไกลอีก ทั้งที่ทั้ง 2 เป็นผู้ช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
ทั้งอาจารย์ปิยบุตร ช่อ พรรณิการ์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ร่วมกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อก้าวไกลมีหัวหน้าพรรคเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่สร้างด้อมส้มขึ้นมาและพาก้าวไกลมาเป็นอันดับ 1 และส่งไม้ต่อให้นายชัยธวัช ตุลาธน ดังนั้น ไม่ว่าช่อจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ก็ไม่มีใครใส่ใจ จนปิยบุตรต้องออกโรงทวงความมีน้ำใจและท้ายที่สุดก็โดนฤทธิ์ด้อมส้มจนต้องถอยห่าง
คงโทษใครไม่ได้เพราะพรรคนี้ส่งเสริมกันมาแบบนั้น วันนี้โดนเข้ากับตัวเองคงรู้สึกเจ็บไม่น้อย
ไม่ต่างไปจากการโหวตขับ ส.ส.ในพรรค ถูกผิดแยกไม่ออก ขอให้เป็นพวกเดียวกันพร้อมยกมือให้ ทุกอย่างเลยกลายเป็นอย่างที่เห็นทั้งสายตาของคนในและนอกพรรค สุดท้ายคือภาพลักษณ์ของพรรคเสื่อมลง ซึ่งไม่ต่างจากสิ่งที่พวกคุณเคยเป็นเคยทำกันมา วันนี้ทุกอย่างมันย้อนเข้าหาตัวเองแทบทั้งสิ้น
แกนนำ 3 นิ้วยังเอือม
สำหรับแฟนคลับที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลวันนี้คงได้เห็นแล้วเช่นกันว่า ที่ผ่านมาพรรคก้าวมีนโยบายที่ดี โดนใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วนโยบายเหล่านั้นสามารถผลักดันให้ทำได้จริงหรือไม่ ขนาดคนในพรรคยังกระทำผิดเสียเองแล้วจะเป็นแบบอย่างที่ดีต่อไปได้อย่างไร
แม้กระทำคนที่เดินเคียงข้างกับก้าวไกลมาตลอดอย่างน้องๆ ที่ทำม็อบ 3 นิ้ว เขายังออกมาเรียกร้องให้พรรครับผิดชอบอย่าง รุ้ง ปนัสยา แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ทวีตข้อความระบุว่า ปูอัดต้องลาออก อย่าหน้าด้าน เมาไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไปกระทำเลวต่อคนอื่น ก้าวไกลต้องแก้ปัญหาเรื่องเพศให้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ เรื่องอื่นก็สู้ไม่รอด
ถือว่าแรงกดดันทุกสารทิศโหมกระหน่ำมาที่พรรคก้าวไกล แม้ว่าจะเป็นเรื่องภายในพรรคและ ส.ส.ก็ลงมติไปแบบนั้นแล้ว ถ้าไม่ต้องการให้พรรคเสียหายไปมากกว่านี้ มีทางเลือกคือลงมติใหม่ ขับ ส.ส.ปูอัดออกจากพรรคเหมือน ส.ส.แจ้ หรือกดดันไปที่ ส.ส.ปูอัดเรียกร้องให้ลาออก เพราะถ้ายังอยู่ย่อมไม่เป็นผลดีกับพรรคก้าวไกล
ไหนว่า “ประชาชนใหญ่กว่าพรรค”
ทุกอย่างดูย้อนแย้งไปหมด เคยพูดหรือเคยทำอะไรไว้ตอนนี้ย้อนมาที่พรรคทั้งหมด การประดิษฐ์คำพูดที่สวยหรูถือว่าเป็นคุณสมบัติเด่นของพรรคก้าวไกล จำได้หรือไม่ว่าเมื่อครั้งที่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งใหม่ๆ มีการเชิญพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วมรัฐบาล แต่ถูกแกนนำม็อบ 3 นิ้ว อย่างเพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ปลุกกระแส #มีกรณ์ไม่มีกู จนพรรคต้องยอมถอย พร้อมด้วยการขอโทษและยกข้อความ “พรรคใหญ่กว่าคนประชาชนใหญ่กว่าพรรค”
วันนี้หลายฝ่ายเรียกร้องให้ ส.ส.ปูอัดแสดงความรับผิดชอบ ทั้งพรรคเดียวกัน ต่างพรรคและภาคประชาชน หลายคนในพรรคก้าวไกลเริ่มหยิบเอาข้อความที่พรรคก้าวไกลเคยใช้ “พรรคใหญ่กว่าคนประชาชนใหญ่กว่าพรรค” กลับมาย้ำเตือนทางพรรคอีกครั้ง ขณะนี้เสียงเรียกร้องให้พรรคแสดงความรับผิดชอบด้วยเสียงของประชาชน จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าครั้งนี้พรรคใหญ่กว่าคนหรือประชาชนใหญ่กว่าพรรค
กระแสมา-คุณภาพคนไม่มา
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกล ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งเกิดจากกระแสก้าวไกลที่ปลุกติดจนไม่คิดว่าจะส่งใครลงก็ได้รับการเลือกเข้ามาเป็น ส.ส. ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการคัดกรองคุณสมบัติของ ส.ส. ประการต่อมาคือเรื่องของการวางภาพลักษณ์ของพรรคก้าวไกล มีนโยบายที่ตรงใจ วางมาตรฐานสูง แต่ ส.ส.ในพรรคอาจไปไม่ถึงในนโยบายเหล่านั้น
เรื่องคุกความทางเพศเป็นเรื่องใหญ่ระดับสากล ก้าวไกลก็ใช้เรื่องนี้เป็นนโยบายหลักในการหาเสียง แต่ ส.ส.ชายในพรรคกลับสร้างเรื่องเหล่านี้เสียเอง จะเห็นได้ว่าบรรดาตัวตึงในพรรคก้าวไกล ที่เคยดาหน้าออกมาท้าชนในทุกปัญหา ตอนนี้ประหยัดคำพูดกันเป็นส่วนใหญ่ทั้งคุณวิโรจน์ รังสิมันต์ จนถึงเพชร กรุณพล
ถือว่าครั้งนี้ก้าวไกลเจอปัญหาหนัก ที่ผ่านมาอาจได้ที่นั่งอย่างมากมายจากกระแส Social แต่วันนี้ Social ก็ทำเอาก้าวไกลเสียหายไปไม่น้อยเช่นกัน แฟนคลับหรือด้อมทั้งหลายตาสว่างแล้วหรือยัง
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j