“มือปราบหูดำ” เผยผู้มีอิทธิพลเปลี่ยนรูปแบบจากเจ้าพ่อมาเฟีย เป็นนักการเมืองเจ้าของธุรกิจ มีตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จนถึงนักการเมืองระดับประเทศ ตีสนิทตำรวจและข้าราชการในพื้นที่เพื่อเอื้อประโยชน์-เสริมบารมี บ้างรามือจากธุรกิจสีเทาแต่ยังคุ้มครอง-ไล่เคลียร์ให้ลูกน้องที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย พบกลุ่มอิทธิพลค้ายา-เปิดบ่อน-พนันออนไลน์เพียบ ขณะที่ซุ้มมือปืนย้ายเข้าสังกัด “บ้านใหญ่” อาศัยบารมีการเมืองคุ้มหัว
ความเหิมเกริมของ “กำนันนก” ประวีณ จันทร์คล้าย หนึ่งในผู้กว้างขวางของ จ.นครปฐม ที่ก่อเหตุสั่งลูกน้องยิง “สารวัตรแบงค์” พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สารวัตรประจำสถานีตำรวจทางหลวง 1 ต่อหน้าตำรวจกว่า 20 นาย โดยไม่ถูกจับกุม แถมมีตำรวจพาหนีในช่วงแรก ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นแรงกดดันให้ตำรวจทุกหน่วยต้องเร่งสะสางคดี ขณะที่นายเศรษฐา ทวีศิลป์ นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้ปราบปรามผู้มีอิทธิพลอย่างจริงจัง
ณ เวลานี้หลายคนอยากรู้ว่าประเทศไทยมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลอยู่มากน้อยเพียงใด บุคคลเหล่านี้มีอิทธิพลขึ้นมาได้อย่างไร และเจ้าหน้าที่จะสามารถปราบปรามได้จริงหรือ?
เรื่องนี้คงฟังความเห็นจากมือปราบระดับพระกาฬอย่าง “พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ” หรือผู้การแต้ม อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เจ้าของฉายา “มือปราบหูดำ” ซึ่งมีประวัติการทำงานด้านนี้มาอย่างโชกโชน
“ผู้การแต้ม” ชี้ว่า ปัจจุบันรูปแบบของผู้มีอิทธิพลนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต แต่ก่อนผู้อิทธิพลอาจจะทำธุรกิจผิดกฎหมายโดยตรง เปิดบ่อน ค้าไม้เถื่อน ค้ายา บ้างมีธุรกิจปกติบังหน้า โดยจะดูแลธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆเองหมด ซึ่งรุ่นนั้นล้มหายตายจากไปเยอะแล้ว บางรายมีฐานะร่ำรวยขึ้นมาก็เลิกธุรกิจผิดกฎหมาย มุ่งขยายธุรกิจทั่วไปอย่างเดียว แต่บางรายยังมีธุรกิจสีเทาแฝงอยู่ ส่วนใหญ่จะส่งลูกส่งหลานเรียนสูงๆ เรียนจบกลับมาทำธุรกิจปกติ ซึ่งมีผู้มีอิทธิพลจำนวนไม่น้อยที่ร่ำรวยจากธุรกิจสีเทาแล้วลงเล่นการเมือง เริ่มจากระดับท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. อบจ. ส.ท.(สมาชิกสภาเทศบาล) ส.จ.(สมาชิกสภาจังหวัด) ไปจนถึงการเมืองระดับชาติ เพราะเขามองว่าถ้ามีทั้งเงินทั้งอำนาจก็ไม่มีใครกล้าแตะ มาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานก็ให้ลงเล่นการเมืองด้วย
เมื่อมีเงิน มีบารมี ข้าราชการจากภาคส่วนต่างๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้าหา ขณะเดียวกัน ผู้มีอิทธิพลก็เข้าหาข้าราชการดังกล่าวด้วย บางเรื่องพึ่งพาอาศัยกัน คนพวกนี้ยิ่งมีบารมีมากขึ้น เพราะพอผู้มีอิทธิพลสนิทสนมกับหัวหน้าหน่วยราชการและนายตำรวจระดับผู้บังคับบัญชา ข้าราชการระดับล่างและตำรวจชั้นผู้น้อยก็ไม่กล้าแตะ ขณะที่ผู้มีอิทธิพลได้ประโยชน์จากตำรวจและข้าราชการที่อำนวยความสะดวกให้ทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย ด้านตำรวจและข้าราชการเองได้สินน้ำใจจากผู้มีอิทธิพลด้วย นานวันเข้าผู้มีอิทธิพลก็หมดความเกรงใจ มองว่าตำรวจและข้าราชการเหล่านี้เป็นลูกน้อง สั่งให้ทำโน่นทำนี่ได้ เหมือนกรณี “กำนันนก”
“ผู้มีอิทธิพลแบบที่สมัยก่อนเรียกกันว่าเจ้าพ่อ คือเป็นมาเฟียเต็มรูปแบบ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว แต่จะเป็นลักษณะของผู้กว้างขวาง บางคนทำธุรกิจสีเทามาก่อน พอมีเงินก็ลงเล่นการเมือง เล่นการเมืองแล้วบางคนก็เลิกธุรกิจสีเทาไป แต่บางคนก็ไม่เลิก บางคนตัวเองเลิกทำธุรกิจผิดกฎหมายแล้วแต่ยังให้ความคุ้มครองลูกน้องที่ทำธุรกิจสีเทาอยู่ ลูกน้องมีปัญหาอะไรก็ช่วยเคลียร์ให้ เพราะตัวเองรู้จักตำรวจ รู้จักข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ลิ่วล้อบางคนเป็นนักเลงหัวไม้ มีคดีติดตัว ก็มาอยู่กับนายที่ผันตัวเป็นนักการเมือง ขณะเดียวกัน ลูกน้องพวกนี้ก็ช่วยเสริมบารมีให้ผู้มีอิทธิพล มีอะไรก็เรียกใช้ได้ มีปัญหากับใครก็ส่งลูกน้องไป ถามว่าผู้กว้างขวางทำผิดกฎหมายไหม บางคนไม่ได้ทำผิด แต่ลูกน้องสีเทาทั้งนั้น ลูกน้องปล่อยเงินกู้นอกระบบ คนสงสัยว่าลูกน้องปล่อยกู้เอง หรือเจ้านายเอาเงินมาให้ปล่อย ผู้กว้างขวางบางคนลักษณะของธุรกิจไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ใช้อิทธิพลในการทำธุรกิจ จ่ายส่วยบ้าง ฮั้วประมูลบ้าง เวลาประมูลให้ลูกน้องไปข่มขู่บริษัทคู่แข่งจะได้ไม่กล้าลงประมูลสู้ ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย จึงเข้าข่ายผู้มีอิทธิพล” ผู้การแต้ม ระบุ
สำหรับธุรกิจสีเทาซึ่งเกี่ยวพันกับผู้มีอิทธิพลนั้น พล.ต.ต.วิชัย ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆ คือ ยาเสพติด และการพนัน ซึ่งมีทั้งแบบเปิดเป็นบ่อนและพนันออนไลน์ซึ่งสามารถเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มได้ง่ายมาก โดยเฉพาะวัยรุ่นวัยทำงาน ซึ่งผู้มีอิทธิพลเหล่านี้อาจจะไม่ได้ออกหน้าทำธุรกิจเอง แต่ให้ลูกน้องดูแลแทน หรือบางรายให้ความคุ้มครองลูกน้องที่ทำธุรกิจประเภทนี้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ายาเสพติดและบ่อนการพนั้นล้วนเป็นสิ่งที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ โดยปัจจุบันพบว่ายาเสพติดและการพนันเข้าถึงเยาวชนในระดับมัธยมแล้วซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก
“มันพัวพันกันไปหมด บางรายเคยค้ายาแล้วผันตัวมาเป็นนักการเมือง นักค้ายาบางคนก็มาพึ่งบารมีนักการเมืองกับผู้มีอิทธิพล จะเห็นว่าบางทีจับพนันออนไลน์รายใหญ่ได้ เขาก็ให้การว่าเป็นเด็กของ ส.ส.คนนั้นคนนี้ คือธุรกิจพวกนี้รายได้มันมหาศาล ตอนนี้มีคนไทยติดยาถึง 3 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก คิดดูว่าถ้ายาเม็ดละ 50 บาท มีคนเสพยา 1 เม็ดต่อคนต่อวัน ปีหนึ่งจะเป็นเงินเท่าไหร่ ขณะที่พนันออนไลน์ไม่ใช่เข้าถึงแค่เด็กมหา’ลัยนะ ตอนนี้ลงไปถึงระดับมัธยมแล้ว เพราะเปิดมือถือมาก็เจอเว็บพนันเต็มไปหมด มันถึงมีข่าวเด็กฆ่าตัวตายหนีหนี้พนัน” พล.ต.ต.วิชัย กล่าว
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมากคือเรื่องซุ้มมือปืน ซึ่ง “ผู้การแต้ม” บอกว่า ปัจจุบันมือปืนไม่ได้อยู่เป็นซุ้ม เป็นสังกัด มีนายหน้าคอยรับงานจากผู้มีอิทธิพลหรือผู้ว่าจ้างเหมือนในอดีต แต่มือปืนส่วนใหญ่จะเข้าไปอยู่ใต้ร่มเงาของ “บ้านใหญ่” เพื่ออาศัยบารมีทางการเมืองคุ้มหัว นักการเมืองต้องการมีมือปืนไว้คอยคุ้มกัน บางคนมีธุรกิจสีเทาจะให้มือปืนพวกนี้ไปคุ้มกันธุรกิจ มือปืนบางคนเคยติดคุกก็มาเดินตามนักการเมือง
“แต่ก่อนถ้าพูดถึงซุ้มมือปืน จะแบ่งเป็นภาค ภาคกลาง ดังสุดก็ซุ้มเพชรบุรี ตามด้วยประจวบคีรีขันธ์ ภาคตะวันตกต้องซุ้มราชบุรี ภาคตะวันออกมีซุ้มชลบุรี ภาคใต้คนก็จะนึกถึงซุ้มนคร (นครศรีธรรมราช) สุราษฎร์ฯ (สุราษฎร์ธานี) ชุมพร ถ้าภาคเหนือก็พิจิตร นครสวรรค์ แต่เดี๋ยวนี้มือปืนวิ่งเข้าหาบ้านใหญ่หมด บางคนก็หนีคดีมา บางคนเป็นมือปืนที่เคยติดคุก เรียกว่าเปลี่ยนจากสังกัดซุ้ม มาสังกัดบ้านใหญ่ ดูแลนาย ทำงานให้นาย ส่วนจะรับงานไหมก็แล้วแต่ จังหวัดไหนมีบ้านใหญ่บ้างก็ไปดูเอา” พล.ต.ต.วิชัย กล่าว
ส่วนการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งล่าสุด นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศนั้น “ผู้การแต้ม” ชี้ว่า จริงๆ แล้วปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลอยู่แล้ว เนื่องจากก่อนการเลือกตั้ง 2566 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมรายชื่อผู้มีอิทธิพลเพื่อป้องกันเหตุช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ดังนั้น รัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถนำข้อมูลตรงนี้มาใช้ได้เลย โดยอาจจะส่งเจ้าหน้าที่ไปพูดคุยทำความเข้าใจเพื่อป้องปราม และหากเกิดเหตุในพื้นที่ใดก็สามารถนำข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์
“บัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลเราเก็บเป็นความลับก็จริง แต่เมื่อมีบัญชีรายชื่อแล้วอย่าเก็บไว้เฉยๆ ต้องเอามาใช้ หากเกิดเหตุในพื้นที่ไหนก็ส่งตำรวจไปล้อม ตรวจค้นเลย เจอสิ่งผิดกฎหมาย เจอปืนเถื่อน เครื่องกระสุน อาวุธสงครามยึดให้หมด และดำเนินคดีผู้ครอบครอง หรือถึงจะเป็นปืนถูกกฎหมายแต่คนพกไม่มีใบอนุญาต ก็จับดำเนินคดีให้หมดทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ จับตรวจฉี่ว่าเสพยาไหม พร้อมทั้งสอบว่าเกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิดหรือเปล่า ถ้าพบว่าเกี่ยวก็ดำเนินการไปตามกฎหมาย ถ้าไม่เกี่ยวก็โดนเฉพาะกรณีพบสิ่งผิดกฎหมาย พวกนี้ก็จะไม่กล้าไปก่อเหตุ” ผู้การแต้ม ให้ความเห็น
พล.ต.ต.วิชัย ยังได้แนะนำกลยุทธ์ในการปราบผู้มีอิทธิพลที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ว่า ในส่วนของการค้ายาเสพติดนั้นต้องมุ่งไปที่เจ้าหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบในพื้นที่นั้นๆ โดยกำหนดว่าหากพบว่าผู้กระทำผิดครอบครองยาในปริมาณเกินเท่านั้นเท่านี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ไปจนถึงระดับภาคต้องรับผิดชอบ ทุกฝ่ายก็จะระดมกำลังกันปราบปราม
ส่วนธุรกิจพนันนั้นควรมุ่งไปที่การปราบปรามพนันออนไลน์ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อยู่ในขณะนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วการแก้ปัญหาง่ายมาก คือแม้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจะไม่สามารถปิดเว็บพนันได้เนื่องจากเว็บไซต์เหล่านี้จดทะเบียนในต่างประเทศ แต่สามารถดำเนินการบล็อกเว็บดังกล่าวได้ทันทีที่พบเห็น แม้บล็อกไปแล้วเจ้าของเว็บจะเปิดเว็บพนันใหม่ขึ้นมาอีก กระทรวงดิจิทัลพบก็ปิดอีก ไล่ปิดให้หมด ซึ่งวิธีการนี้ง่ายกว่ารอให้ตำรวจดำเนินการกวาดล้างจับกุม เพราะกว่าตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐาน กว่าจะสาวถึงเจ้าของเว็บตัวจริงต้องใช้เวลานานมาก ซึ่งกว่าจะจับกุมเจ้าของธุรกิจพนันออนไลน์รายใหญ่ได้ ความเสียหายขยายวงไปมหาศาลแล้ว อย่างเว็บพนันออนไลน์ที่ตำรวจกวาดล้างไปเมื่อต้นปีพบว่ามีมูลค่าหลายพันล้านบาท ซึ่งแปลว่ามีคนไทยที่หมดเนื้อหมดตัวไปกับพนันออนไลน์เหล่านี้ไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนคน
ผู้การแต้ม ยังได้ทิ้งท้ายว่า อยากให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมายอย่างจริงจัง โดยไม่สนใจว่าคนที่กระทำผิดจะสนิทกับใคร เป็นคนของนักการเมืองหรือไม่ เพราะถ้าทุกฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมายผู้มีอิทธิพลก็อยู่ไม่ได้
“การที่ท่านชาดา (นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย) มาดูแลเรื่องการปราบปรามผู้มีอิทธิพลถือเป็นเรื่องดี เพราะรู้ทางกัน เหมือนเกลือจิ้มเกลือ” พล.ต.ต.วิชัย ระบุ
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j