xs
xsm
sm
md
lg

คดี 112 ของ “ทักษิณ” คดีที่ท้าทายความมั่นคง!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รศ.ยุทธพร” เชื่ออาจมีการนำตัว "ทักษิณ" มาดำเนินคดีอีกครั้ง เหตุยังมีคดีค้าง ด้าน “รศ.ดร.เจษฎ์” ชี้กรณี "ทักกี้" กระทบความรู้สึกประชาชน หากขอพักโทษยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ จี้ ป.ป.ช.-สตช. เร่งรัดดำเนินการอีก 3 คดีที่เหลือ โดยเฉพาะ “คดี 112” ซึ่งอัยการสั่งฟ้องไปแล้ว เตือนหากเพิกเฉยอาจเปิดช่องให้บางกลุ่มออกมาเรียกร้องขอเว้นโทษบ้าง เพราะตอนนี้ชนวนได้ถูกจุดแล้ว! ขณะที่ “แยม ไฟเย็น” แฉ “พ่อแม้ว” ให้เงินช่วยเหลือกลุ่มล้มเจ้าที่ลี้ภัยในลาว

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกลับมารับโทษ แต่ไม่ยอมนอนคุกแม้แต่เพียงนาทีเดียวของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีคอร์รัปชันไปนานถึง 17 ปี ได้สร้างความขุ่นข้องใจให้แก่สังคมอย่างมาก บ้างก็ว่าคุกมีไว้ขังคนจน บ้างก็ว่า นี่คือการทำลายกระบวนการยุติธรรมของไทยแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม!

อย่างไรก็ดี แม้ทักษิณจะได้รับพระราชทานอภัยโทษใน 3 คดี จากโทษจำคุกรวม 8 ปี เหลือโทษจำคุก 1 ปีเท่านั้น และคาดกันว่าเขาอาจจะขอพักโทษกรณีพิเศษ กลับไปอยู่บ้านกับลูกกับหลานอย่างสบายใจ แต่อย่าลืมว่าทักษิณยังมีอีกหลายคดีรออยู่ และแม้พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นรัฐบาล ทำให้หลายหน่วยงานต้องเกรงอกเกรงใจ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้!


ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าปัจจุบันมีคดีของทักษิณที่อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ 2 คดี ซึ่งจะหมดอายุความในปี 2569 ได้แก่

1.คดีที่นายทักษิณ ถูกร้องเรียนกล่าวหาเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามแร่เถื่อน โดยทักษิณถูกร้องเรียนพร้อมกับพวก กรณีลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบทำเหมืองแร่ดีบุก ที่ จ.พังงา ซึ่งปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ยังไม่มีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน

2.คดีกล่าวหานายทักษิณ กับพวก กรณีอนุมัติให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.สนับสนุนบริษัท แอร์เอเชีย จำกัด (มหาชน) ให้เข้ามาทำธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำ ในขณะที่กลุ่มชินคอร์ปถือหุ้นในแอร์เอเชียอยู่ 51% โดย ทอท.มีการแก้ไขข้อบังคับหลายกรณีเพื่อเอื้อให้แอร์เอเชียทำธุรกิจ รวมทั้งยกเส้นทางการบินบางเส้นทางของการบินไทยให้แอร์เอเชียด้วย ซึ่งบอร์ด ทอท.ขณะนั้นมี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยนายทักษิณ เป็นบอร์ดอยู่ด้วย โดย ป.ป.ช.มีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีนี้ และอยู่ระหว่างสรุปข้อเท็จจริง

สำหรับคดีของนายทักษิณ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของ ป.ป.ช. ทั้ง 2 คดีนั้น ล่าสุด พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่า เรื่องที่อยู่ระหว่างกระบวนการของ ป.ป.ช.ต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน โดยต้องดูว่าติดขัดอะไร ต้องเร่งรัดให้ชัดเจน

“ขณะนี้ได้มอบหมายให้ท่านเลขา (นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช.) ให้ไปดูในเรื่องที่เกี่ยวข้องแล้วว่าเราจะเร่งรัดได้อย่างไรบ้าง ส่วนจะไปสอบปากคำ (ทักษิณ) ที่โรงพยาบาลตำรวจหรือไม่นั้น พนักงานไต่สวนที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบเขาจะดูว่าจำเป็นที่จะต้องอาศัยเป็นหลักฐาน จะต้องมีการสอบปากคำหรือเปล่า” ประธาน ป.ป.ช. กล่าว

พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ นอกจากคดีที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช.แล้ว ทักษิณยังมีอีก 1 คดี ซึ่งอัยการสูงสุด (อสส.) ได้สั่งฟ้องไปแล้ว นั่นคือ คดีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายมาตรา 112 และเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร ในช่วงปี 2558 ซึ่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ.ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในขณะนั้น ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่กรมพระธรรมนูญ ไปแจ้งความเอาผิดนายทักษิณกรณีที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ประเทศเกาหลีใต้ และพูดพาดพิงสถาบัน โดยได้มีการออกหมายจับนายทักษิณไปแล้ว

ซึ่งขั้นตอนการดำเนินคดีดังกล่าวต่อจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะต้องไปอายัดตัวนายทักษิณ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความควบคุมตัวของกรมราชทัณฑ์ และแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ จากนั้นจึงทำการสอบปากคำ และส่งสำนวนไปให้อัยการสูงสุดอีกครั้ง ซึ่งหากอัยการสูงสุดมีความเห็นยืนยันสั่งฟ้องจะทำสำนวนส่งให้ศาลพิจารณา ถ้าศาลรับฟ้อง จะต้องมีการเบิกตัวนายทักษิณมาขึ้นศาลอีกครั้ง!

ขณะนี้สังคมจึงจับตาว่า “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” จะดำเนินการกับนายทักษิณตามขั้นตอนของกฎหมายหรือไม่? และทักษิณจะขออภัยโทษอีกหรือเปล่า?

อีกทั้งระยะเวลารับโทษ 1 ปีที่เหลือของ 3 คดีเดิมนั้น นายทักษิณจะยอมรับโทษอยู่ในเรือนจำ หรือจะนอนอยู่โรงพยาบาลโดยอ้างว่าป่วย หรือจะขอพักโทษ กลับไปนอนดูเน็ตฟิกซ์อยู่ที่บ้าน

รศ.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
รศ.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ชี้ว่า เป็นไปได้ว่าอาจมีกระบวนการนำตัวนายทักษิณ มาดำเนินคดีอีกครั้ง ซึ่งต้องรอดูว่าแต่ละคดีผลการพิจารณาจะออกมาอย่างไร ศาลจะรับฟ้องหรือไม่ และถ้ารับฟ้องผลการตัดสินจะออกมาแบบไหน ซึ่งก็จะไปเกี่ยวข้องกับคดีเดิม คือถ้าศาลติดสินเลยและมีโทษจำคุกก็อาจจะนับโทษต่อ แต่ถ้าตัดสินหลังจากนายทักษิณ รับโทษจำคุก 1 ปีที่เหลือไปแล้ว ก็เริ่มนับโทษใหม่ ส่วนนายทักษิณจะขออภัยโทษอีกได้หรือไม่ต้องไปดูระเบียบที่เกี่ยวข้อง

“คดีของคุณทักษิณถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่พรรคเพื่อไทยต้องสร้างความเชื่อมั่นให้สังคม ต้องพิสูจน์ว่าพรรคโปร่งใส สามารถอธิบายสังคมได้ ถ้ามีคดีใหม่แล้วคุณทักษิณไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อันนี้ทำไม่ได้ การตั้งคำถามต่อความชอบธรรมของรัฐบาลเกิดขึ้นแน่นอน การเมืองบนท้องถนนมีโอกาสที่จะกลับมาได้ตลอดเวลาถ้าสถานการณ์สุกงอม” รศ.ยุทธพร ระบุ

ขณะที่ “รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย มองว่า กรณีของนายทักษิณนั้นส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็กระทบต่อคะแนนนิยมที่มีต่อรัฐบาลซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่มองว่าทักษิณคือเจ้าของพรรคตัวจริง ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้จะปะทุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องระมัดระวังนับจากนี้คือ

1) ระยะเวลารับโทษ 1 ปีที่เหลือของนายทักษิณนั้น ทักษิณจะอยู่ที่ไหน จะรับโทษอยู่ในเรือนจำ หรือบอกว่าป่วยเพื่อจะได้นอนอยู่ในโรงพยาบาล หรือยื่นเรื่องขอพักโทษเพื่อกลับไปอยู่ที่บ้าน เพราะแน่นอนว่าเรื่องนี้กระทบต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างมาก ยังมีนักโทษอีกไม่น้อยที่แก่และป่วยมากกว่านายทักษิณ แต่เขายังต้องอยู่ในเรือนจำ ยิ่งทักษิณอยู่สบายมากเท่าไหร่ ความรู้สึกเหลื่อมล้ำของประชาชนจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน

รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย
2) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไรกับคดีที่เหลือของนายทักษิณ โดยเฉพาะคดี ม.112 ซึ่งอัยการสั่งฟ้องไปแล้ว ซึ่งหาก ป.ป.ช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม ปล่อยปละละเลย หรือเกรงอกเกรงใจไม่กล้าดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา ความเชื่อมั่นต่อระบบระบบยุติธรรมของไทยจะยิ่งเสื่อมถอยลง

3) หากศาลตัดสินว่านายทักษิณมีความผิดและต้องติดคุก ทักษิณจะยังทำเหมือน 3 คดีแรกหรือไม่ คือ ไม่ยอมนอนคุก บอกว่าป่วยเพื่อจะนอนอยู่โรงพยาบาล และขออภัยโทษ ซึ่งถ้าทำแบบเดิมความรู้สึกไม่พอใจของประชาชนทั้งกลุ่มที่สนับสนุนเพื่อไทย กลุ่มที่เฉยๆ กับเพื่อไทย และกลุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเพื่อไทย จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

4) ตอนนี้ผลกระทบจากการดำเนินการในคดีของนายทักษิณเริ่มปรากฏแล้ว โดย รศ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และนักวิชาการบางท่าน ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันให้มีการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมคดีเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนทุกฝักฝ่าย ทั้งพันธมิตร นปช. กปปส. และกลุ่มเยาวชน และราษฎร ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน โดยเป็นการเรียกร้องที่ครอบคลุมไปถึงคดี ม.112 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

“อยากให้ทุกฝ่ายตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคดีคุณทักษิณนั้นกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม กระทบความรู้สึกของประชาชน กระทบความรู้สึกของพสกนิกร เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความศรัทธาของประชาชนต่อทุกองค์กรมีผลต่อความมั่นคงของชาติ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการเปิดช่องให้คนออกมาเรียกร้องว่าสิ่งที่คุณทักษิณได้นั้นทุกคนควรได้ด้วย ตอนนี้อาจยังไม่ถึงขั้นที่จะปลุกมวลชนลงถนน แต่ชนวนที่คุณปิยบุตร เริ่มจุดคือให้รัฐบาลเร่งผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม และทิ้งท้ายว่าคนยังรู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมนั้นอาจจะปะทุและขยายวงกว้างออกได้ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะมีกลุ่มไหนออกมาร่วมอีกหรือเปล่า”  รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว


ข้อสังเกตดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องคดี ม.112 กับการเคลื่อนไหวของนายปิยบุตร เนื่องจากนายทักษิณ มีคดี 112 ติดตัวอยู่เช่นกัน และล่าสุดเหมือนรู้คิว “แยม ไฟเย็น” หรือ รมย์ชลี สมบูรณ์รัตนกูล หนึ่งในผู้ต้องหาคดี 112 ที่หนีไปกบดานใน สปป.ลาว ก่อนที่ปัจจุบันจะขอลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส ได้ออกมาไลฟ์แฉทักษิณว่าให้เงินสนับสนุนกลุ่มที่หนีคดี 112 ไปอาศัยอยู่ใน สปป.ลาว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

“แยมรับปากกับผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยคนหนึ่งซึ่งเป็นคนสนิทคุณทักษิณ ว่า แยมจะรักษาความลับทุกอย่าง แยมไม่เคยหลุดพูดในโซเชียลเลยว่าเขาดูแลเราในลาวนะ คุณทักษิณส่งเงินให้พวกเราที่ลาวนะ คุณทักษิณดูแลผู้ลี้ภัย แยมไม่เคยพูด ถ้าแยมพูดคุณทักษิณเดือดร้อน เพราะตอนนี้เขาเล่นเกมสองหน้า หน้าหนึ่งเขาบอกเขาจงรักภักดี ถ้าอยู่ๆ แยมพูดว่าทักษิณส่งเงินมาให้เรา ดูแลผู้ลี้ภัยล้มเจ้า เขาเดือดร้อน......แต่สิ่งที่เขาทำมันกดดันให้แยมต้องพูด แยมไม่สามารถสนับสนุนคุณในการจับมือกับพวกเผด็จการ” บางช่วงบางตอนที่ แยม ไฟเย็น กล่าวในไลฟ์แฉทักษิณ

ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ทำให้นายทักษิณไม่อาจปฏิเสธต่อสังคมได้ว่าที่ผ่านมาเขาไม่มีส่วนรู้เห็นต่อขบวนการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน เพราะนอกจาก "แยม ไฟเย็น" แล้วยังมีคนเสื้อแดงอีกไม่น้อยที่สื่อสารไปในทิศทางเดียวกัน

ดังนั้น “คดี 112 ของนายทักษิณ” จึงเป็นคดีที่กระบวนการยุติธรรมของไทยไม่อาจเพิกเฉย เนื่องด้วยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในวงกว้าง เพราะหากทักษิณไม่ถูกดำเนินคดี จะเป็นเปิดช่องให้กลุ่มที่ต้องการลิดรอนอำนาจสถาบันออกมากดดันเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องโทษคดี ม.112 หรือยกเลิกการดำเนินคดีกับคนที่ให้ร้ายจาบจ้วงสถาบัน โดยอ้างถึงความเท่าเทียม ขณะเดียวกัน ขบวนการที่ขับเคลื่อนในสภาจะเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมไปพร้อมกัน และหากการเคลื่อนไหวดังกล่าวบรรลุผล แน่นอนว่าต่อจากนี้ไปการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะแม้จะมี ม.112 แต่กระบวนการยุติธรรมเอาผิดไม่ได้

ขณะนี้ถือเป็นก้าวที่สุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงในทุกองคาพยพ หากกระบวนการกฎหมายไม่เดินไปตามทำนองคลองธรรม อาจเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายจนไม่อาจควบคุมได้!

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH





กำลังโหลดความคิดเห็น