เสียงต้าน “ครูกายแก้ว” ดังขึ้นเรื่อยๆ รูปลักษณ์ทำเอาหลายคนกลัว ที่มาไม่ชัดเริ่มถูกมองเป็นพวกมนต์ดำที่ไปไม่ได้กับสายพุทธ โอกาสไปต่อยาก ต่างจากเทพจากสายฮินดู ชี้เป็นความตกต่ำของพุทธศาสนา ทั้งวัดและพระพึ่งไม่ได้ คนต้องหันไปพึ่งภูตผี ชี้ถ้าคนไทยมีภูมิความรู้ รูปเคารพเหล่านี้ไม่มีทางเกิดได้
เรื่องของครูกายแก้วถูกแทรกขึ้นมาในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองรอความชัดเจนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย จนเป็นกระแสที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นวงกว้าง มีทั้งฝ่ายที่เลื่อมใส และฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ จนถึงขั้นทำเรื่องต่อกรุงเทพมหานครเพื่อขอให้ย้ายรูปปั้นครูกายแก้ว
จากการที่รูปปั้นครูกายแก้วติดใต้สะพานลอย ขณะที่อยู่บนรถ 6 ล้อเครน เมื่อเช้าวันที่ 9 สิงหาคม 2566 เพื่อจะนำไปติดตั้งที่โรงแรมเดอะบาร์ซา ถนนรัชดาภิเษก ด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกไปจากสิ่งกราบไหว้หรือรูปเคารพที่เคยเห็นกันมา ทำให้เกิดเป็นกระแสขึ้นมาในสังคมไทย พูดง่ายๆ ว่าดังขึ้นมาทันที และเป็นที่พูดถึงกันทั่วประเทศ ทั้งๆ ที่ครูกายแก้วมีมานานแต่รับรู้กันในวงจำกัด
ที่มาที่ไปไม่มีอะไรชัดเจนจากผู้ที่สร้างและผู้ศรัทธา ทราบเพียงเกิดจากนิมิตของอาจารย์สุชาติ รัตนสุข ผู้ที่สร้างเทวาลัยพระพิฆเนศ ย่านห้วยขวาง บางใหญ่ และที่เชียงใหม่ นับว่าครูกายแก้วเป็นอีกหนึ่งสิ่งกราบไหว้ของคนไทยในช่วงนี้ เพียงแต่รูปลักษณ์อาจแปลกไปจากรูปแบบเดิมๆ ที่เคยมีมา
สารพัดองค์เทพ
แหล่งข่าวด้านพุทธศาสนากล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของความเชื่อถือ ใครจะเคารพศรัทธาหรือไม่ เป็นสิทธิส่วนบุคคล แค่อยากดึงสติของคนไทย ประเทศไทยเป็นเมืองแห่งพุทธศาสนา เราควรหันมาพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ
พร้อมตั้งคำถามว่า ตกลงคนพุทธยังนับถือหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่หรือไม่ ถ้าเอาตามตำราสิ่งเคารพบูชาบางอย่างก็เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เรานับถือพระพุทธเจ้า เราขอพรจากท่านแล้วเราก็ขอพรจากสาวกของท่านด้วยหรือ
ในเมืองไทยรูปเคารพทั้งหลายที่อิงกับศาสนาพราหมณ์ ฮินดู มักจะได้รับความนิยมค่อนข้างสูง ถือว่าเป็นองค์เทพ มีความเป็นสากลและรู้จักกันในวงกว้าง เช่น พระพรหม พระศิวะ พระพิฆเนศ ส่วนพุทธมหายานจะมีเจ้าแม่กวนอิม ในเมืองไทยทุกคนคงเคยเห็นปรากฏการณ์จตุคามรามเทพมาแล้ว ดังเร็วแต่ไม่นานก็คลายความศรัทธาลงไป เห็นได้ชัดว่าในระยะหลังเป็นกระบวนการทางธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีไอ้ไข่ องค์สี่หูห้าตา และอื่นๆ อีกหลายรายการ
ไม่ใช่สายพระ
ส่วนความกังวลที่เห็นคนไทยกราบไหว้บูชาครูกายแก้วว่า ทำไมเราไม่เห็นมีใครออกมาเตือนหรือดึงสติคนไทยกันบ้าง ได้รับคำตอบจากผู้รู้รายหนึ่งว่า ถ้าหมายถึงพระ และว่ากันตามกฎระเบียบสงฆ์เรื่องครูกายแก้วนี้ไม่เกี่ยวกับพระปกครอง หรือมหาเถรสมาคม
พระบางรูปก็ไม่กล้าพูดหรือเตือน เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล อีกทั้งถ้าพูดไปแล้วเป็นลบกับตัวเองจะมีปัญหาได้ในภายหลัง พระหลายรูปจึงเลือกที่จะเงียบ
มีเพียงพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า อยากให้อาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ และหนักแน่นในพุทธศาสตร์ช่วยมาให้สติคนไทย เพราะอีกไม่นานจะได้เงินเป็นพันล้าน หมื่นล้านจากครูกายแก้ว และความเชื่อนี้ไม่เกิน 6 เดือน ถึง 1 ปี เดี๋ยวก็จะหายไปเหมือนจตุคามรามเทพ ไอ้ไข่ ส้มฉุน
ถ้ามาจากพระหรือวัดไปต่อง่าย
ผู้ที่คลุกคลีกับวงการพระพุทธศาสนากล่าวว่า ที่มาของรูปเคารพบูชาส่วนใหญ่จะเริ่มมาทางวัดหรือพระเป็นจุดกำเนิด อย่างไอ้ไข่ช่วงแรกๆ ยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่พอดังเรื่องการขอโชคลาภ และพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างตอนนี้ก็เงียบไปบ้าง
อีกแนวทางหนึ่งเป็นการปลุกเอาเทพของพราหมณ์ฮินดูขึ้นมา หรือเจ้าแม่กวนอิมจากจีนมหานิกาย ถือว่าเป็นสากล คนหลายประเทศรู้จักอยู่แล้ว ดังนั้นองค์เทพในตระกูลนี้จึงเป็นที่รู้จักมาเป็นระยะเวลายาวนาน
กรณีครูกายแก้วนั้นที่มาคนริเริ่มไม่ใช่วัดหรือพระ สะท้อนว่าไม่ได้มาจากฝ่ายพุทธ แต่มาจากฝ่ายทุน นอกจากนี้ เรื่องของรูปลักษณ์ที่มีส่วนอีกเช่นกัน ครูกายแก้วแม้จะไม่ชัดเจนเรื่องที่มาแต่มีการตีความกันว่าน่าจะอยู่ในกลุ่มไสยเวทย์สายดำ ภาพที่เป็นค่อนข้างน่ากลัว จึงเริ่มมีบางส่วนเริ่มปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม เรื่องของที่ตั้งครูกายแก้วถือเป็นที่ส่วนบุคคล จึงเป็นสิทธิของเจ้าของพื้นที่ ส่วนกรุงเทพมหานครจะพิจารณาอย่างไรถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เศรษฐกิจไม่ดีคนขอพรเยอะ
ถ้าเราสังเกตให้ดีจะพบว่าคนไทยที่แห่ไปกราบไหว้รูปเคารพบูชาต่างๆ มักจะเป็นในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี ทุกคนจึงหันไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จตามที่ขอพรไว้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาความทุกข์ในใจ สิ่งที่เราเห็นว่าไปขอพรกับที่นั่นที่นี่แล้วประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น คนขอพร 100 คน อาจสำเร็จตามที่หวัง 1 ราย 1 รายนั้นออกมาโพสต์บนโลกออนไลน์ เท่ากับชวนคนอื่นให้ไปบูชาตาม ส่วนอีก 99 คนที่ไม่สมหวังก็เงียบ สิ่งที่เห็นจึงกลายเป็นเรื่องเชิงบวกของรูปเคารพเหล่านั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเห็นมีทั้งเกิดขึ้นจากศรัทธาจริง และบางส่วนมาจากกระบวนการทางธุรกิจ ขึ้นอยู่กับว่าจะเริ่มต้นที่ขั้นตอนใด บางกลุ่มไปหารูปเคารพที่น่าสนใจทั้งประวัติและอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ แล้วนำมาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ ถ้าติดตลาดขึ้นมาก็เพิ่มโมเดลธุรกิจเข้าไป เช่น สร้างรูปหล่อ รูปเคารพบูชา หาที่ตั้ง เมื่อมีคนมากราบไหว้บูชามากๆ ก็มีเรื่องของดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องบูชาต่างๆ ทำเหรียญบูชาหรือองค์หล่อจำลองออกมา มีเรื่องค่าเช่าสถานที่ ที่จอดรถต่างๆ อีกมากมาย ทุกอย่างเป็นเงินทั้งสิ้น
เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง กระแสที่เคยสร้างไว้ก็จะค่อยๆ เงียบลง ขึ้นอยู่กับว่าจะไปต่อได้หรือไม่ บ้างก็อาจไปปั้นเทพองค์ใหม่ขึ้นมาทดแทนองค์เดิมที่ความนิยมลดลง
ครูกายแก้วไปต่อยาก
ความเชื่อและความศรัทธาเหล่านี้ถูกตีความว่าเป็น Soft Power ทั้งนี้เกิดขึ้นจากชาวจีนที่นิยมบูชาพระเครื่องของไทย หรือช่วงที่จตุคามหรือไอ้ไข่ดัง จะมีผลต่อเที่ยวบินหรือการเดินทางและธุรกิจในจังหวัดนครศรีธรรมราช แต่ไม่ใช่ทุกอย่างในด้านความเชื่อจะเป็น Soft Power ได้ทั้งหมด
ที่ไปได้ยาวๆ คือเทพของฮินดู เจ้าแม่กวนอิม ที่ไปได้ตลอด คือจะต้องมีความเป็นสากล มีที่มาที่ไปที่น่าเชื่อถือ
“เชื่อว่าครูกายแก้วคงไปได้ไม่ไกล อาจได้รับความนิยมในวงจำกัด เพราะสายดำเชื่อมไม่ได้กับพุทธศาสนา อีกทั้งในเมืองไทยไม่ยอมรับกับงานลักษณะนี้ ต่างจากพระพรหมที่ฮินดูแนบแน่นกับพุทธศาสนา”
การที่ประชาชนกราบไหว้บูชาครูกายแก้ว สะท้อนถึงวัดและพระในพุทธศาสนาเราพึ่งไม่ได้ ต้องพึ่งภูตผีปีศาจ เป็นความตกต่ำทางพุทธศาสนา บางทีพระเองนิยมจัดให้มีพิธีเหล่านี้ อีกประการหนึ่งคือหลักธรรมคำสอนเป็นเรื่องที่เข้าใจยากและเห็นผลช้า ต่างกับการขอพรถ้าสมหวังก็ถือว่ารวดเร็วทันใจ บางครั้งคำสอนของพุทธศาสนาไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติ ทำให้คนเราไม่มีภูมิคุ้มกัน ที่จริงถ้าชาวพุทธมีความรู้ พวกรูปเคารพบูชาเหล่านี้เกิดไม่ได้แน่
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j