พระอาจารย์ดุษฎี เมธังกุโร เผยวงสนทนาของพระสงฆ์ ‘ครูกายแก้ว’ คือเปรตมีฤทธิ์เพราะได้ฝึกสมาธิ มีมิจฉาสมาธิ อาฆาตพยาบาท ยังอยู่ในกามคุณ ห่วงใครผ่านไปมาบริเวณรัชดา-ลาดพร้าวนึกว่าสังคมไทยนับถือ ‘ภูตผีปีศาจ” ยิ่งจะทำให้สังคมเสื่อมลงไปเรื่อยๆ หากเทียบกับ ‘องค์จตุคาม-ไอ้ไข่-ท้าวเวสสุวรรณ-เจ้าแม่กวนอิม’ ล้วนแต่อยู่ใกล้ชิดองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนครูกายแก้วในระดับต่ำเป็นมนต์ดำ ไสยเวทย์ ส่วนใครจะเชื่อและศรัทธาก็เป็นเรื่องแต่ละบุคคล แนะให้สังคมไทยยึดหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่ระดับสูงสุดซึ่งเป็นพุทธคุณและเกราะคุ้มภัยที่ดีที่สุด ใครคิดร้ายจะย้อนกลับไปที่เขาทันที อย่าไปเสียเงินกับการบวงสรวง ‘ครูกายแก้ว ผู้เปลี่ยนคนให้เป็นผี’ เพราะนี่คือการตลาด เดี๋ยวก็มีรูปปั้นใหม่ออกมาปั่นกระแสให้บูชากันอีก
กระแสครูกายแก้ว กำลังมาแรงเป็นที่สนใจของบรรดาสายมูเตลู และคนที่ไม่ใช่สายมู เพียงแต่ว่าแต่ละคนที่สนใจก็มีความเชื่อและศรัทธาที่แตกต่างกัน คนที่เลื่อมใสจะแห่ไปบวงสรวง กราบไหว้และแสวงหาเครื่องรางของขลังมาบูชาหรือสะสมไว้ ส่วนคนที่ไม่เชื่อและมองเป็นเรื่องงมงายไปบูชาภูตผีปีศาจ ที่มีแต่ความน่าเกลียด น่ากลัวจะนำความอัปมงคลเข้ามาหรือไม่?
ดังนั้น เราจะเห็นคนที่เชื่อก็พากันพูดถึงแต่สิ่งดีๆ ว่าเป็นอสูรเทพแห่งโชคลาภ ค้าขาย ร่ำรวย ให้โชค ให้ลาภ มั่งมีศรีสุข หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะข่าวเช้าวันที่ 17 ส.ค. ปรากฏมีการโพสต์กันสนั่นว่า เลขทะเบียนรถที่บรรทุกครูกายแก้ว คันที่ติดที่สะพานลอยให้โชค พร้อมๆ กับมีเหล่าดารา นักแสดง พิธีกร ที่ศรัทธาและรู้จักครูกายแก้ว มานานออกมาสนับสนุนในสิ่งที่ตัวเองขอและสมหวัง
ขณะที่พ่อค้า แม่ค้าที่ขายของไหว้ หรือของบวงสรวงครูกายแก้ว ก็ขายดิบขายดี ถือว่านี่คือสิ่งดีๆ ที่เกิดตามมาจากการตั้งรูปปั้นนี้บริเวณพื้นที่แยกรัชดา-ลาดพร้าว
อย่างไรก็ดี การตั้งรูปปั้นครูกายแก้ว ในมุมของคนที่รู้สึกถึงความน่าเกลียด น่ากลัว คล้ายอสูร อาจมีวิญญาณร้ายมาสิงอยู่บริเวณนี้ และในยามค่ำคืน คนที่สัญจรไปมาถ้าเหลือบไปเห็นจะรู้สึกตกใจหรือไม่ และควรหรือไม่ที่จะต้องย้ายรูปปั้นเหล่านี้ออกไปจากพื้นที่ตรงนี้ และเหตุใดสังคมไทยจึงพากันไปศรัทธาและพึ่งพิงครูกายแก้ว ซึ่งเป็น ‘มหิทธิกาเปรต’ แทนที่จะยึดเหนี่ยวคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะคุ้มครองเราตลอดไป
พระอาจารย์ดุษฎี เมธังกุโร เจ้าอาวาสวัดทุ่งไผ่ อ.เมือง จ.ชุมพร และเป็นพระอาจารย์บรรยายธรรมตามสถาบันการศึกษาต่างๆ บอกว่า การบูชาครูกายแก้ว เป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องตระหนัก จริงๆ แล้วเป็นเรื่องของผู้มีอาคมในสมัยโบราณ เคยมีชีวิตอยู่แล้วมีชื่อเสียง แต่เมื่อตายไปแล้ววิญญาณยังมีเรื่องของการอาฆาตพยาบาท ซึ่งการที่มีคนเชื่อและศรัทธากันมากเพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจที่ไปที่มา และที่น่าอายที่สุดการไปตั้งอยู่ในบริเวณตรงนี้ที่มีคนสัญจรผ่านไปมาก็เห็นรูปปั้นนี้ได้ชัดเจน
“คนที่ผ่านไปมาจะคิดว่าเมืองไทยนับถือภูตผีปีศาจกันแล้วหรือ แม้จะเป็นเสรีภาพ แต่ต้องไม่ลืมนะประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ยิ่งถ้ามุสลิมเห็นรูปปั้นแบบนี้ยิ่งจะต่อต้านหนักเพราะไม่ได้เป็นการสอนธรรมะ และถ้ามีการนำสัตว์มาบูชายัญครูกายแก้ว จริงก็จะยิ่งผิดเพี้ยนไปกันใหญ่”
พระอาจารย์ดุษฎี ย้ำว่า “ใครจะบูชาครูกายแก้ว อาตมาไม่ว่าหรอก แต่อยากจะบอกว่าประเทศไทยมีสิ่งยึดเหนี่ยวที่ดีกว่านี้ตั้งเยอะ โยมไม่รู้จักกันหรือไม่ อีกทั้งรูปปั้นแบบนี้ถ้าเด็กเห็น เด็กจะตกใจและร้องไห้ได้ เพราะเขาไปเทียบกับผี”
อย่างไรก็ดี ในกลุ่มพระมีการสนทนาถกเถียงกันในเรื่องของครูกายแก้ว ซึ่งมีการไปเทียบว่าถ้าเป็นของไทยจะเหมือนผีกะหัง ผีกองกอย คือมันน่ากลัว แต่จริงๆ ผีพวกนี้ไม่ได้เก่งกว่าถ้าเรามีธรรมะยึดเหนี่ยว แต่พระบางรูปว่าเป็นเรื่องของไสยเวทจากเขมร และถ้าคนในสังคมหันไปเชื่อและศรัทธาหรือมุ่งเดินทางนี้คือไปบูชาภูตผีปีศาจกันมากๆ ก็จะทำให้สังคมเสื่อมลงเรื่อยๆ
“อาตมาจะบอกคนที่มีภูมิปัญญา แต่ไม่เข้าใจธรรมะ และยิ่งมีความกลัว ก็ยิ่งบูชา ยิ่งกลัวก็ยิ่งต้องบวงสรวง ซึ่งจริงๆ ครูกายแก้ว ไม่ได้เก่งจริง ไม่ได้วิเศษอะไร เหมือนคนเล่นกล หากเราศรัทธาคนเล่นกล ถามว่าเราจะรวยจริงหรือ แต่ถ้าเรามีสติรู้ว่าเขาเล่นกลให้ดู ก็จะรู้ว่าแค่เล่นกลให้ดูเท่านั้น”
โดยเฉพาะคนที่อยากรวยแล้วยอมจ่ายเงินไปซื้อเครื่องบวงสรวงนั้น พระอาจารย์ดุษฎี บอกว่าอยากให้คนเหล่านี้เก็บเงินที่ไปใช้ในการบวงสรวง ค่าเดินทาง ค่าเครื่องบูชาแค่ปีเดียวจะเห็นว่าเรามีเงินเก็บเป็นหมื่นๆ เป็นแสนๆ และบางคนรวมกับเงินออมที่ได้จากการทำงานสามารถนำไปซื้อรถได้ทั้งคัน แต่ถ้าเราเชื่อว่าขอแล้วจะได้ พร้อมกับมีเครื่องบนบาน คงต้องจ่ายกันไม่จบ
“ในกลุ่มพระที่สนทนาเรื่องครูกายแก้ว เชื่อว่าเป็นมหิทธิกเปรต คือเปรตที่มีฤทธิ์มาก คือไตรภูมิ มี 4 ภูมิ สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ถ้าเราพูดแบบภาษาธรรมที่ท่านพุทธทาสสอน ถ้าเราโง่ มึนเมา เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเราโกรธ เป็นสัตว์นรก ถ้าเราโลภ เป็นเปรต ถ้าเรากลัว เป็นอสุรกาย”
ในส่วนครูกายแก้ว อาจจะมีฤทธิ์เพราะได้ฝึกสมาธิ แต่เพราะเป็นมิจฉาสมาธิ หากจะเทียบกับคนที่มีปืนสามารถทำให้คนที่พบเห็นกลัวได้ และเมื่อเราไปเป็นลูกสมุนของเขาถามว่าจะมีประโยชน์เพียงใด เพราะจริงๆ ครูกายแก้วเป็นเพียงเปรตที่ฝึกสมาธิมาบ้างแต่เขาจะไม่สามารถช่วยเราได้จริง
“ครูกายแก้ว เป็นมหิทธิกเปรต จริงๆ แล้วคุณธรรมของเขายังสู้เราๆ ไม่ได้เลย”
พระอาจารย์ดุษฎี อธิบายว่า จริงๆ สิ่งยึดเหนี่ยวที่ดีที่สุด คือการยึดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เรารู้จักไหว้พระสวดมนต์ ทำตัวให้เป็นคนมีศีล มีธรรมะ ไม่เบียดเบียนใคร เพราะเมื่อมีจิตใจที่มั่นคง ศีลจะรักษาเราไม่ให้ใครมาครอบงำ แต่คนที่บูชาครูกายแก้ว จะเป็นคนที่จิตใจอ่อนไหว ไม่เชื่อมั่นตัวเอง ต้องไปอาศัยสิ่งนอกเหนือธรรมชาติมาช่วย
“อาตมาอยากบอก หากโยมไหว้พระสวดมนต์ประจำอยู่แล้ว ทำดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องกลัวพวกมนต์ดำ ไสยเวททำอะไรคนที่มีศีล มีธรรมไม่ได้ เพราะถ้าคิดจะทำร้ายเราสิ่งเหล่านี้จะย้อนกลับไปที่เขาทันที”
อีกทั้งสังคมควรจะได้เรียนรู้ด้วยว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่าการนับถือสิ่งต่างๆ ในสังคมมีการเปลี่ยนไป โดยพระอาจารย์ดุษฎี บอกว่า เดิมเรานับถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ต่อมาเราเริ่มนับถือพระสงฆ์
ตัวอย่างเช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) สร้างพระสมเด็จมาเป็นพระประธานในโบสถ์ ต่อมามีการสร้างพระบูชาเป็นรูปพระประธาน และมีรูปหลวงพ่อไว้ข้างหลัง ต่อมารูปพระประธานก็หาย เหลือแต่รูปหลวงพ่อผู้สร้าง จึงเป็นเหรียญหลวงพ่อนั้น หลวงพ่อนี้ไปแล้ว และมีการนำไปให้เช่าบูชากันต่อๆ มา
จากนั้นเป็นเรื่องของลูกศิษย์วัดเป็นผู้ดำเนินการต่อไป มีการสร้างปั่นกระแสบูชาสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจตุคามรามเทพ ไอ้ไข่ พระพิฆเนศ เจ้าแม่กวนอิม ท้าวเวสสุวรรณ มีพญานาค มาจนถึงที่กำลังโด่งดังคือครูกายแก้ว ที่จะออกไปทางไสยเวท จนสังคมไทยลืมหรือไม่รู้จักแล้วว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา
“จริงๆ พระพุทธเจ้ายกเลิกคัมภีร์พระเวทไปแล้ว เพราะมันทำให้คนงมงาย ไม่พัฒนาตัวเอง เพราะพระพุทธเจ้าเชื่อว่ามนุษย์พัฒนาตนเองอยู่ที่ความพยายามและเหนือกว่าอำนาจของเทพเจ้า เมื่อเรามีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เราพัฒนาตัวเอง เราเชื่อกฎแห่งกรรม ถ้าเราไม่ทำความดี ไม่อบรมตนเองมันไม่มีทางที่จะมีที่พึ่งที่ยั่งยืนได้ เพราะพระพุทธเจ้าอยู่สูงที่สุดแล้ว”
พระอาจารย์ดุษฎี บอกอีกว่า หากจะเทียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนนิยมหามาบูชา อย่างองค์จตุคามรามเทพ ก็คือเทพที่เฝ้าประตูทางเข้าวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งพระธาตุคือพระพุทธเจ้า ที่ยอดเจดีย์เป็นทองคำ หยาดน้ำค้าง คือเป็นนิพพาน
‘เมื่อไปไม่ถึงพระพุทธเจ้า ก็บูชาคนเฝ้าประตู ซึ่งมีประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา แต่ตัวธรรมะที่จะทำให้เรามีความสุขจริงๆ มันอยู่ข้างใน”
สำหรับ ‘ไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์’ จ.นครศรีธรรมราช คนไปขอโน่น ขอนี่ ก็อยู่ที่ความเชื่อ แต่เราไม่สามารถหลุดพ้น หรือพ้นทุกข์ได้ดั่งคำสอนของพระพุทธองค์
“จตุคามและไอ้ไข่ล้วนแต่อยู่กับพระ แต่ครูกายแก้วหลุดจากพุทธศาสนาไปแล้ว เป็นไสยเวท มนต์ดำ ต่ำกว่าเจ้าแม่กวนอิมที่สอนเรื่องเมตตา พรหมวิหาร 4 เป็นขั้นพระโพธิสัตว์ ที่ยังไม่บรรลุธรรม อยู่ในขั้นการบำเพ็ญเพียร”
ส่วนท้าวเวสสุวรรณ เป็นยักษ์ก็จริง แต่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า หรือพระอุปคุต อยู่ริมทะเล เป็นพระอรหันต์ระดับสาวก มีโอกาสใกล้ชิดพระพุทธเจ้า ได้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
“เทียบครูกายแก้ว อาตมาว่าระดับจิตต่ำกว่าพระพุทธเจ้าซึ่งสูงที่สุดแล้ว จึงไม่สามารถทำอะไรคนที่มีพุทธคุณหรอก เพราะยังมีกามคุณอยู่เลย แต่ไม่นานคงมีปั้นรูปอะไรที่ออกมาพิสดารน่ากลัวแทนครูกายแก้ว เพราะมันคือการตลาดที่สร้างรายได้ หากสังคมไม่ดี จะทำให้คนเป็นผี แต่ถ้าสังคมดี จะทำให้ผีเป็นคนได้”
พระอาจารย์ดุษฎี สรุปทิ้งท้ายว่า การ ‘บูชาครูกายแก้ว ซึ่งเป็นมหิทธิกเปรต ผู้เปลี่ยนคนให้เป็นผี’ จึงเป็นเรื่องที่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องรีบแก้ไขโดยเฉพาะต้องปรับปรุงเรื่องการศึกษาของพระสงฆ์ และต้องให้การศึกษาโดยตรงกับโยม เพราะถ้าโยมมีความรู้เรื่องธรรมวินัย โยมจะรู้เรื่องพระสอนผิด ก็จะมาติติงพระสงฆ์ได้
“อาตมาเองคงต้องไปจัดรายการวิทยุให้ความรู้เรื่องครูกายแก้ว เพราะไม่เช่นนั้นน่าห่วงสังคมไทยที่แห่บูชาภูตผีปีศาจกันแล้ว สังคมจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ แต่ควรยึดคำสอนของพระพุทธเจ้าจะทำให้ไสยเวทครอบงำเราไม่ได้ และมีความมั่นคงตลอดไป” พระอาจารย์ดุษฎี กล่าว
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j