จับตา ‘พิธา-ก้าวไกล’ โอกาสจะหลุดเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และถูกยุบพรรคเป็นไปได้ทั้งสิ้น! ด้าน ‘เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ’ เดินหน้าแสวงหาข้อมูลหลักฐานเชื่อมโยงหักล้าง ระหว่างการถือหุ้นสื่อ-ขายที่ดิน 6.5 ล้านบาท ที่ อ.ปราณบุรี กลายเป็นพยานแวดล้อมที่อาจทำให้พิธา ต้องพ้นสมาชิกภาพตามมาตรา 98 (3) หลุดทั้งเก้าอี้นายกฯ และรัฐมนตรี แนะประชาชนเกาะติดการยื่นบัญชีทรัพย์สินของนายพิธา 3 ครั้ง แตกต่างกันอย่างไร และหากพบพิรุธในเอกสารจะยื่น ป.ป.ช.สอบกรณีแจ้งหลักฐานเป็นเท็จ มีความผิดตัดสิทธิการเมือง 5 ปี พร้อมเกาะติดการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ ที่ กอ.รมน.ภาค 4 สน.แจ้งดำเนินคดีอาญาผู้เกี่ยวข้อง หากพบคนใน ‘ก้าวไกล’ เข้าไปเอี่ยวจะยื่นร้อง กกต.ตามกฎหมายพรรคการเมือง ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคต่อไป
ยังเป็นคำถามในแวดวงการเมืองมาอย่างต่อเนื่องว่าถึงวันนี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จะมีโอกาสได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หรือไม่? รวมทั้งจะเกิดวิกฤตอะไร กระทั่งต้องถูกสั่งยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่? โดยเฉพาะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับนายพิธา นั่นเปรียบเสมือนถูกกลไกต่างๆ ค่อยๆ ‘ทุบให้น่วม’ แต่ทั้งหมดอยู่ที่ ‘พิธา-ก้าวไกล’ จะสามารถเดินฝ่าด่านไปได้หรือไม่
ประเด็นปัญหาตั้งแต่กรณีการถือหุ้นสื่อ ITV จำนวน 42,000 หุ้น ตามด้วยรายการขายที่ดินโฉนดที่ดินหมายเลข 13543 ต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา ได้ยื่นแสดงในบัญชีรายการทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ช่วงรับตำแหน่ง ส.ส.ปี 2562 ระบุเป็นทรัพย์ที่ได้รับมรดก มูลค่าปัจจุบัน (ประมาณ) 18,000,000 บาท แต่จดทะเบียนขายในราคา 6,500,000 บาท โดยทำสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ 27 มี.ค.2566 หลังจากยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 20 มี.ค.2566 ได้เพียง 7 วัน
อย่างไรก็ดี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นผู้เปิดประเด็นร้องเรียนทั้งเรื่องหุ้นสื่อและการขายที่ดิน 6.5 ล้านบาท ระบุว่า พยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงที่ได้รวบรวมไว้และข้อคำถามที่ส่งไปถึงนายพิธา นั้นหากได้รับคำตอบมาจะเป็นพยานหลักฐานที่สอดคล้องและเพียงพอที่จะส่งให้ศาลไต่สวนและวินิจฉัยนายพิธา ได้ อีกทั้งยังติดตามประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวพัน หากได้ข้อสรุปที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่การใส่ความเห็น จะดำเนินการยื่นทั้ง ป.ป.ช.และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต่อไป
“ผมเข้าใจที่ กกต.ตีตกเรื่อง ITV เพราะช่วงเวลาในการร้อง ทำให้ กกต.ต้องรับรองสิทธินายพิธา ไปก่อน แต่สิ่งที่ร้องไปมีรายละเอียด ข้อเท็จจริง กกต.จึงพิจารณาตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ซึ่งถ้าผิดจะมีโทษจำคุก ตัดสิทธิเลือกตั้ง เป็นเรื่องของ กกต.ดำเนินการฟ้องไป”
นอกจากนี้ นายเรืองไกร ยังได้ขอให้ กกต.ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายพิธา สิ้นสุดลงหรือไม่ ตามมาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้นสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (3) (5) (6) (7) (8) (9) (10) หรือ (12) หรือมาตรา 111 (3) (4) (5) หรือ (7) แล้วแต่กรณี
“ศาลจะไต่สวนใหม่ จะดูว่าคำร้องมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 หรือไม่ เมื่อศาลรับไว้แล้วเป็นหน้าที่ผู้ร้องและผู้ถูกร้องแก้ข้อกล่าวหากัน อยากฝากถึงบรรดาศาสตราจารย์ อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักกฎหมายทั้งหลาย หากอยากช่วยคุณพิธา ก็ช่วยทำความเห็น ยื่นพยานหลักฐานไปให้ กกต.หรือจะยื่นศาล น่าจะเป็นการช่วยที่ดีกว่ามาถล่มผมนะ”
ขณะที่นายเรืองไกร ได้สืบค้นข้อมูลต่างๆ ที่จะทำให้พยานหลักฐานแน่นขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการขายที่ดิน 6.5 ล้านบาท ซึ่งได้ระบุเป็นทรัพย์ที่ได้รับมรดกมีมูลค่าประมาณ 18 ล้านบาท จะเป็นพยานแวดล้อมที่ทำให้พยานหลักฐานแน่นขึ้น โดยนายพิธา แจงว่าโอนหุ้นให้น้องเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมาในฐานะผู้จัดการมรดกและสละมรดก
“ปี 2562 ยื่นบัญชีทรัพย์สินทำไมที่ดินบอกว่าได้รับจากการแบ่งมรดก จะทำให้เห็นว่า จริงๆ หุ้น ITV แบ่งแล้วหรือยังไม่แบ่งกันแน่ เพราะถ้ายังไม่แบ่ง ทำไมบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นถึงไม่วงเล็บว่าเป็นผู้จัดการมรดก มันเป็นชื่อนายพิธา ไม่มีวงเล็บต่อท้าย จะคล้ายกับที่ดินแปลงนี้ใช่หรือไม่”
ทั้งนี้ที่ดินแปลงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3) เพียงแต่ต้องการเทียบเคียงให้เห็นว่า คำแก้ต่างของนายพิธา ระหว่างทรัพย์ที่เป็นหุ้น ITV กับทรัพย์ที่เป็นที่ดินเท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องไปสืบค้นทรัพย์อื่นๆ มาเทียบเคียงอีกก็ได้
‘เรื่อง ITV เขาบอกว่าเป็นผู้จัดการมรดก ไม่ใช่หุ้นของเขา สละให้น้องชายเป็นการโอนให้ไม่ได้ขาย อยากถามว่าแล้วที่ดินที่ได้รับทรัพย์มรดกมาเวลาที่สละให้ต้องคืนที่ดินหรือไม่ แต่เขาเอาไปขายได้ 6.5 ล้าน เมื่อเราต้องการให้พยานหลักฐานสอดคล้อง ต้องหาจุดที่ว่าทำไมตรงนี้ทำแบบนี้ เพราะทรัพย์สินมรดกก็ต้องมีทั้งที่ดิน หุ้น เพื่อชี้ให้เห็นว่าหุ้น ITV มีลักษณะต้องห้ามหรือไม่ตาม98(3) เท่านั้นก็เพียงพอให้ศาลไต่สวนและวินิจฉัยได้แล้ว โดยไม่ต้องไปสืบค้นทรัพย์สินมรดกทุกชิ้นมาเทียบเคียง”
ดังนั้น หากศาลตัดสินว่ามีความผิด นายพิธา จะต้องพ้นสมาชิกภาพตามมาตรา 98 (3) และไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีได้แล้ว!
นายเรืองไกร บอกอีกว่า สิ่งที่สังคมต้องติดตามจากนี้ไปคือ นายพิธา จะยื่นบัญชีทรัพย์สินอย่างไรในเรื่องของการขายที่ดินแปลงนี้ ซึ่งยื่นครั้งแรกเมื่อปี 2562 ยื่นครั้งที่ 2 หลังยุบสภา เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2566 โดย ป.ป.ช. ยังไม่มีการเปิดบัญชีทรัพย์สินครั้งที่ 2 ที่ยื่นไปแล้วออกมา แต่ที่ดินแปลงนี้ขายไปเมื่อ 27 มี.ค.2566 ดังนั้น จึงต้องรอดูว่าการยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งที่ 3 เมื่อเข้ารับตำแหน่งหลังกล่าวคำปฏิญาณภายใน 60 วันตามที่กฎหมาย ป.ป.ช.กำหนดไว้จะเป็นเช่นไร
“ต้องดูว่านายพิธา จะอธิบายอย่างไร เพราะถ้าแจ้งบัญชีเท็จจะมีความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. เรื่องนี้ ป.ป.ช อาจจะมีการตรวจสอบอยู่หรือไม่? แต่ถ้ายังไม่มีการตรวจสอบ และมีการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินออกมา หากเห็นอะไรผิดปกติ และมีข้อเท็จจริงตามกฎหมายผมจะทำเรื่องร้อง ป.ป.ช.ให้ดำเนินการ เพราะกฎหมายระบุชัดว่าถ้าแจ้งบัญชีผิดจากความเป็นจริงจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง ตามกฎหมาย ป.ป.ช น่าจะประมาณ 5 ปี”
ไม่เพียงเท่านั้น นายเรืองไกร ยังติดตามและเก็บข้อมูลหลักฐานในเรื่องของการแบ่งแยกดินแดนที่ กอ.รมน.ภาค 4 สน.ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเวลานี้มีแต่กระแสข่าวลือว่ามีระดับแกนนำของพรรคก้าวไกลเข้าไปร่วม ดังนั้นจึงต้องดูรายงานของหน่วยงานภาครัฐว่ามีอะไรเข้าเงื่อนไขในเรื่องการแบ่งแยกดินแดน หรือมีนายกฯ จังหวัดที่จะเข้าองค์ประกอบหรือเข้าเงื่อนไขกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่?
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายพิธา แต่เกี่ยวกับพรรค คณะกรรมการบริหารพรรค มีส่วนรู้เห็นหรือไม่ เหมือนที่พรรคเล็ก เลขาฯ พรรครีบลาออก แต่ความผิดเกิดขึ้นไปแล้ว จะไปไล่ออก ปลดออกไม่เกี่ยวกัน ซึ่งเรื่องนี้ต้องรอดูเอกสารเพราะข้อกล่าวหาที่ กอ.รมน.แจ้งความไปเป็นเรื่องอาญา ซึ่งพยานหลักฐานต้องแน่น ส่วนข้อหาตามกฎหมายพรรคการเมือง เพียงเชื่อได้ว่าก็เอามาใช้ได้แล้ว ถึงบอกต้องดูหลักฐานเอกสารราชการก่อน”
นายเรืองไกร ย้ำว่า เรื่องแบ่งแยกดินแดน ถ้าพยานหลักฐานชัดจะยื่นเรื่องไปที่ กกต.เพื่อให้มีการยุบพรรค และถ้า กกต.เห็นหลักฐานเชื่อได้ว่ามีความผิดจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด ส่วนถ้าศาลจะสั่งยุบและตัดสิทธิแค่กรรมการบริหารพรรคเหมือนพรรคอนาคตใหม่ที่ให้ ส.ส.ยังมีสภาพอยู่ และย้ายสังกัดใหม่หรือจะเหมือนพรรคไทยรักษาชาติ สั่งยุบและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี และห้ามตั้งพรรคใหม่เป็นเวลา 10 ปีหรือไม่ หรือศาลจะเห็นว่าไม่ผิด อยู่ที่ดุลพินิจของศาลจะเป็นผู้ชี้ขาดทั้งสิ้น
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j