xs
xsm
sm
md
lg

“ด้อมส้ม” ขี่คอก้าวไกล-ทวงสิทธิปั้นเป็นรัฐบาล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แค่เป็นว่าที่รัฐบาลแฟนคลับก้าวไกลเริ่มมีบทบาทคุมพรรค เริ่มที่#มีกรณ์ไม่มีกู ตามมาด้วยเสวนาที่หมิ่นเหม่เรื่องการแยกดินแดนปาตานี-ล้านนา ขณะที่ “หยก” ทวงสิทธิไม่แต่งชุดนักเรียน เลือกทำกิจกรรมที่อยากทำ จนกระแสตีกลับ ทำเอาก้าวไกลไม่กล้าออกตัว จับตาอีกไม่นานทวงแก้ ม.112 แน่ รศ.เจษฎ์ ประเมินไม่ว่าจะนโยบายไหนก็บริหารลำบากเพราะต้องทำให้คนทั้งประเทศไม่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกก้าวไกล

นับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 พรรคก้าวไกลได้จำนวน ส.ส. มากเป็นอันดับ 1 จึงเป็นสิทธิอันชอบธรรมในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ระหว่างนี้หัวหน้าพรรคก้าวไกลเดินเครื่องเข้าไปหารือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานะว่าที่รัฐบาลเท่านั้น ขณะที่สถานการณ์ภายนอกยังมีด่านให้พรรคก้าวไกลต้องฝ่าฟันอีกมากมาย

ครั้งนี้พรรคก้าวไกลสร้างปรากฏการณ์กวาด ส.ส. ชนะตัวเต็งอย่างพรรคเพื่อไทยราว 10 ที่นั่ง ด้วยจุดเด่นจากการสร้างฐานแฟนคลับที่มาจากคนรุ่นใหม่ กลุ่มนักเรียน นักศึกษา และบุคคลวัยเริ่มต้นทำงาน และได้แรงหนุนจากการย้ายขั้วของกลุ่มที่เบื่อลุงอีกส่วนหนึ่ง ขณะที่ความชำนาญในการใช้สื่อออนไลน์ ยิ่งทำให้ก้าวไกลสามารถเข้าถึงเป้าหมายได้ในวงกว้าง

หลายนโยบายของก้าวไกลถูกใจคนหลายกลุ่ม ทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน กลุ่มหลากหลายทางเพศ พ่อแม่ ผู้ปกครอง จนถึงผู้สูงวัย อีกทั้งพรรคนี้วางตำแหน่งเป็นขั้วประชาธิปไตยชัดเจน ไม่เอาขั้วอำนาจเดิม จึงได้ใจฐานเสียงเหล่านี้มา บางพื้นที่ก้าวไกลได้ ส.ส.ยกจังหวัด

เมื่อพรรคนี้ได้รับการเลือกตั้งมาเพราะแฟนคลับ บางกลุ่มอาจเรียกว่าด้อมส้ม ดังนั้น การจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรตามแนวทางของพรรคย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เพราะถือเป็นสัญญาที่มีระหว่างกัน


#มีกรณ์ไม่มีกู

ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อ 19 พฤษภาคม 2566 ก้าวไกลต้องการความมั่นใจในเสียงการเป็นรัฐบาล มีการเจรจากับทางพรรคชาติพัฒนากล้า ที่มีนายกรณ์ จาติกวณิช ในพรรคนี้ ข่าวนี้แม้ไม่มีการเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ แต่แฟนคลับทราบว่ามีการเจรจากันเรียบร้อยเตรียมที่จะเปิดตัวในวันรุ่งขึ้น

ปฏิบัติการ #มีกรณ์ไม่มีกู จึงกระหึ่มบนโลกโซเชียล ติดอันดับเทรนด์ทวิตเตอร์ ไม่ทันข้ามคืนพรรคก้าวไกลโพสต์แถลงขอโทษทันที พรรคชาติพัฒนากล้ากลายเป็นเจ้าสาวหม้ายขันหมาก

พรรคก้าวไกลแถลงขอโทษปมพรรคชาติพัฒนากล้า ยืนยันฟังเสียงประชาชน ไม่ร่วมรัฐบาลชาติพัฒนากล้า

สืบเนื่องจากกรณีที่พรรคก้าวไกล ได้เจรจากับพรรคชาติพัฒนากล้า เพื่อตกลงโหวตให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี และเข้าร่วมรัฐบาล

กรณีดังกล่าวได้ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์อย่างกว้างขวางจากประชาชน เจ้าหน้าที่พรรค คณะทำงานจังหวัด และสมาชิกพรรค ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าไม่สามารถยอมรับการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคชาติพัฒนากล้าได้ นอกจากนี้ ในที่ประชุมร่วมของว่าที่ผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล มีมติสอดคล้องกับประชาชนว่าไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ กรรมการบริหารพรรคจึงน้อมรับมติดังกล่าวมาปฏิบัติ เราจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคชาติพัฒนากล้า และจะเดินหน้าพูดคุยและทำความเข้าใจเพื่อขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้ได้เสียงพอในการโหวตนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด

พรรคก้าวไกลขอน้อมรับคำวิจารณ์ทั้งหมด และกราบขออภัยประชาชนที่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง พรรคก้าวไกลยืนยันว่าการจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล จะทำบนพื้นฐานจุดยืนทางการเมือง นโยบายหลักของพรรคตามที่ได้เคยหาเสียงไว้ รวมถึงขอโทษพรรคชาติพัฒนากล้า ที่ต้องยุติการเจรจาครั้งนี้

และสุดท้ายนี้ ขอบคุณพี่น้องประชาชน เจ้าหน้าที่พรรค และว่าที่ผู้แทนราษฎรก้าวไกลทุกคนที่คอยตรวจสอบ ท้วงติงการทำงานของผู้บริหารพรรค เพื่อให้พรรคยืนหยัดในจุดยืน อุดมการณ์เดิมอย่างมั่นคง

พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค


ปาตานีสู่ล้านนา

ถัดมา 7 มิถุนายน 2566 นักศึกษา 3 จังหวัดชายแดนใต้จัดงานสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองกับสันติภาพปาตานี พร้อมภาพบัตรลงคะแนน กลายเป็นที่พูดกันถึงอย่างกว้างขวางถึงแนวคิดดังกล่าวไม่ต่างไปจากการแยกดินแดน ซึ่งขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ สุดท้ายวิทยากรในงานบางส่วนที่มาจาก 3 พรรครัฐบาลทั้งก้าวไกล ประชามติ และพรรคเป็นธรรมถอยออกมาจากงานนี้

ต่อมา คณะทำงานย่อยพรรคร่วมรัฐบาล ว่าด้วยสันติภาพชายแดนใต้/ปาตานี คณะทำงานย่อยของพรรคร่วมรัฐบาล ได้ประชุมกันเมื่อ 9 มิถุนายน 2566 ที่พรรคก้าวไกล

นายรอมฎอน ปันจอร์ ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในนามของว่าที่รัฐบาลใหม่ กรอบที่เรายังยืนอยู่ยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เรากำลังพูดถึงสถานภาพของรัฐเดี่ยวที่มองไปข้างหน้าและจะกระจายอำนาจ ให้อำนาจประชาชนท้องถิ่นมากขึ้น พร้อมยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการแยกตัวออกไปของรัฐปัตตานี (ปาตานี) เพราะเราอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ด้านนายกัณวีร์ สืบแสง เลขาธิการพรรคเป็นธรรม กล่าวว่า ถ้าเป็นการทำประชามติเพื่อสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนเราไม่สนับสนุน เพราะอยู่นอกกรอบรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ ในวันที่ 23 มิถุนายน 2566 ยังมีงานแห่ไม้ก้ำประชาธิปไตย เชียงใหม่ พระเอกในการบรรยายคือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เดิมกำหนดจัดที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ย้ายไปจัดที่โรงแรมในเชียงใหม่แทน เป็นอีกหนึ่งงานที่น่าจับตาว่าจะซ้ำรอยกับงานในพื้นที่ภาคใต้หรือไม่

กิจกรรมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มาจากกลุ่มแฟนคลับที่เห็นด้วยกับแนวทางของแกนนำคณะก้าวหน้าเคยพูดไว้ตามสถานที่ต่างๆ เมื่อถึงวันที่พรรคก้าวไกลขึ้นมามีอำนาจจึงเริ่มออกมาแสดงเจตนารมณ์


“หยก” ก้าวไกลแผ่ว

วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2566 น.ส.ธนลภย์ ผลัญชัย หรือหยก ผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ที่มีอายุน้อยที่สุด ได้ปีนรั้วโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อ้างว่าต้องการจะเข้าไปเรียน โดยที่เธอสวมชุดไปรเวท และย้อมสีผม จากนั้นได้โพสต์บน Facebook ว่าเธอถูกไล่ออก แต่รอบนี้กระแสตีกลับ จากแรงเชียร์เป็นแรงตำหนิ ขณะที่โรงเรียนได้ชี้แจงข้อเท็จจริงทำให้เกิดกระแส SAVE เตรียมพัฒน์ฯ

กระแสตีกลับทำให้ทางก้าวไกลนิ่งกับกรณีของหยก ไม่มีการออกมาปกป้องเหมือนก่อน กลุ่มทะลุวังที่ดูแลหยก ได้ออกมาโพสต์ตำหนิพรรคก้าวไกล จนหยกโอดครวญว่าต้องปีนรั้วโรงเรียนถึง 3 วัน และสิ่งที่เธอทำนั้นก็เป็นนโยบายของพรรคก้าวไกล ที่ปลุกแนวคิดนี้มาอย่างต่อเนื่อง คือไม่บังคับชุดนักเรียน ผู้ปกครองใช้งบกับอย่างอื่นได้

มีกระแสข่าวว่า นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร และฝ่ายการศึกษาของพรรคก้าวไกลได้เข้ามาหารือกับทางโรงเรียน ในที่สุดพรรคก้าวไกลได้โพสต์การเดินหน้าสู่ทางออก เพื่อให้เยาวชนทุกคนได้เข้ารับการศึกษา

ทางพรรคก้าวไกลมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงเป็นแค่เรื่องของหยก หรือใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของ “หลักการ” ที่เราต้องกำหนดร่วมกันสำหรับเยาวชนทุกคนในทุกสถานการณ์ในอนาคต

พรรคก้าวไกลต้องการหาทางออกโดยยึด 2 เป้าหมาย

เป้าหมายที่ 1 คือ เด็กและเยาวชนทุกคนได้เข้ารับการศึกษา ไม่ว่าสถานะของผู้ปกครองเป็นอย่างไร

สำหรับกรณีของหยก ที่ผ่านมา เหตุผลหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาทำให้หยกไม่ได้รับการรับรองเป็นนักเรียน คือ ข้อกังวลเรื่องกระบวนการมอบตัวที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากไม่มีผู้ปกครอง (มารดา) หรือบุคคลที่ผู้ปกครองมอบหมายอย่างเป็นทางการมามอบตัวนักเรียนโดยตรงที่โรงเรียน ซึ่งถือเป็นข้อจำกัด หรืออุปสรรคที่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับหลักการเรื่องสิทธิในการศึกษาที่ยึดถือเป็นหลักใหญ่

เป้าหมายที่ 2 คือ เด็กและเยาวชนทุกคนปฏิบัติตามกติกาโรงเรียนที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมพูดคุยและออกแบบร่วมกัน โดยกระทรวงศึกษาธิการจะรับบทบาทเชิงรุกในการดูแลว่ากฎระเบียบเหล่านั้นต้องไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชน

เป้าหมายสูงสุดของเรา คือ การไม่ทำให้ใครหลุดออกจากระบบการศึกษา และให้โรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและโอบรับทุกคน

อีกไม่นานปลุก ม.112

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า อีกไม่นานก้าวไกลจะต้องเจอแรงกดดันเรื่อง ม.112 ที่เป็นจุดขายของพรรคมาก่อน จึงเป็นที่มาที่พรรคก้าวไกลต้องการตำแหน่งประธานสภา เพื่อความมั่นใจในเรื่องการแก้กฎหมาย ส่วนจะสำเร็จหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นักการเมืองต่างรู้ดีว่าถ้ามีการแก้ไขกฎหมายนี้สุดท้ายจะตกไป ส่วนจะถูกแฟนคลับตีความถูกหลอกหรือไม่เป็นเรื่องที่ทางก้าวไกลต้องทำความเข้าใจกับผู้สนับสนุนเอง

ผู้สนับสนในกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองสูง เช่น สายของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม อย่างเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ปลุกกระแส #มีกรณ์ไม่มีกู สำเร็จมาแล้ว และที่ผ่านมา เขายังเป็นแกนนำในการปราศรัยตามเวทีต่างๆ จนถูกดำเนินคดีหลายข้อหา

พวกเขาเรียกร้องแน่ แต่จะเมื่อไหร่เท่านั้นเอง และอำนาจต่อรองของกลุ่มนี้ยังมีรุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล อีกคนที่มีบทบาทเคียงคู่กับเพนกวิน กลุ่มนี้มีอำนาจต่อรองสูงกว่ากลุ่มทะลุวังมาก คนที่เคยร่วมชุมนุมมาก่อนย่อมทราบดี


“เลือก-ไม่เลือก” ก้าวไกลก็ต้องดูแล

รศ.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านกฎหมาย กล่าวว่า ไม่ว่าจะเรื่องใดพรรคก้าวไกลก็บริหารงานได้ลำบากถ้าได้เป็นรัฐบาลเพราะต้องบริหารงานให้คนทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะกับกลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลเท่านั้น กลุ่มอื่นอีกราว 24 ล้านเสียงที่ไม่ได้เลือกก้าวไกล และพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องดูแลคนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

คนที่เลือกก้าวไกลไม่ได้เป็นเสียงข้างมากแต่ส่งเสียงดัง ส่วนคนไม่ได้เลือกก้าวไกลส่วนใหญ่ไม่ใช่กลุ่มคนที่เสียงดัง

อย่างเรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ก้าวไกลต้องการมาก ขณะที่เพื่อไทยก็ต้องการ ที่จริงตำแหน่งนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นโควตาของพรรคที่ได้อันดับ 1 แต่ควรอยู่ที่การตกลงกันพิจารณาจากบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นหลัก

ส่วนนโยบายอื่นๆ เช่น เรื่องการลดขนาดกองทัพ ไทยมีพรมแดนติดกับประเทศลาว พม่า กัมพูชา พม่ามีเรื่องความไม่สงบภายในประเทศ กัมพูชาเคยมีปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน ตรงนี้ต้องพิจารณาให้ดี เช่นเดียวกับวางตัวกับมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ ก้าวไกลจะให้น้ำหนักในเรื่องนี้อย่างไร เพราะถ้าผิดพลาดขึ้นมาจะบริหารงานลำบาก

รวมไปถึงนโยบายที่เป็นจุดขายของก้าวไกลอย่าง ม.112 เพราะคนที่เลือกก้าวไกลเข้ามาบางส่วนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แถมยังมีเรื่องแยกดินแดนเข้ามาอีก พูดง่ายๆ ไปซ้ายก็โดน ไปขวาก็โดน ตอนนี้สนามมันเปลี่ยนไม่ใช่แค่การหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น ภายใต้เงื่อนไขที่ก้าวไกลเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ต้องทำเพื่อคนทั้งประเทศ

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่

Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH





กำลังโหลดความคิดเห็น