xs
xsm
sm
md
lg

‘โรม’ ชี้ขอให้ประเมินมูลค่าที่ต้องจ่าย หากขวางตั้งรัฐบาลพิธา ย้อนถามกลัวอะไร ‘ก้าวไกล’!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



‘รังสิมันต์ โรม’ แจงแม้มีขบวนการเตะตัดขารัฐบาลพรรคก้าวไกล และ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ คนที่ 30 แต่พรรคยังเดินหน้าเจรจาตั้งรัฐบาลฝ่าด่านมาตรา 272 ได้แน่! ยันหาก ขัดขวางไม่ให้ตั้งรัฐบาล มันมีมูลค่าที่ต้องจ่าย แต่ประเมินเป็นตัวเลขได้ยาก เพราะไม่ใช่แค่การลงถนนของ ‘ด้อมส้ม’ เท่านั้น แต่จะกระทบเศรษฐกิจโดยตรง ถามกลัวอะไร ‘พรรคก้าวไกล’ เป็นรัฐบาล ชี้นโยบายพรรคไม่ได้ทำลายกองทัพ ระบบราชการ หรือทุนผูกขาด แต่จะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ ข้าราชการจะ HAPPY ส่วนคนเสียประโยชน์มีเพียงไม่กี่คน มั่นใจหากไม่รีบแก้รูปแบบทำธุรกิจให้เป็นธรรม ประชาชนส่วนใหญ่จะยากลำบากมากขึ้นขณะที่การนำเรื่อง ITV มาถล่มเป็นเพราะกระแส ‘พิธา’ สุดฮอต ‘โรม’ เผย ‘เผื่อใจ’ ตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จไม่ใช่สาระสำคัญเพราะ ‘ก้าวไกล’ เชื่อมั่นเส้นทางที่เดินและหนทางที่ดีที่สุดของประเทศไทย

ความพยายามจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล ที่มีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ภายใต้พันธมิตร 8 พรรค หากมองดูปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกรณีการถือหุ้น ITV ที่บรรดาสื่อมวลชนที่ถูกกระแสโจมตีว่าเป็น ‘สื่อส้ม’ ช่วยกันขุดคุ้ยเพื่อค้นหาความจริงให้ปรากฏ และมีการนำเสนอต่อเนื่องให้สังคมได้รับรู้นั้น ถือเป็นข้อมูลที่สร้างแต้มต่อให้นายพิธา และพรรคก้าวไกลอย่างยิ่ง พร้อมๆ กับเพิ่มความมั่นใจให้บรรดา ‘ด้อมส้ม’ เชื่อว่าเรื่องของ ITV มีการสร้างเรื่องราวเป็นขบวนการเพื่อเตะตัดขานายพิธา และพรรคก้าวไกลโดยตรง!

ขณะที่บรรดาคอการเมืองเชื่อว่าสิ่งที่นายพิธา กำลังเดินสายขอบคุณประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกลจนสามารถชนะเลือกตั้งให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลทั่วประเทศนั้น เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็แฝงไปด้วยยุทธวิธีการต่อสู้ทางการเมืองใช่หรือไม่? ไม่ว่าที่ภาคใต้หรือภาคเหนือจะมีประชาชนมาห้อมล้อมมหาศาล เต็มไปด้วยเสียงเชียร์ ประหนึ่งเป็น ‘ดารา’ สุดฮอต ที่เหล่า FC คลั่งไคล้และต้องการถ่ายรูปเซลฟี่คู่ ‘พิธา’ เก็บไว้ในความทรงจำ

ว่ากันว่าการเดินเข้าหามวลชนของนายพิธา และขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งเบื่อการเมือง เพราะเมื่อใดที่ประชาชนเบื่อการเมืองจะเป็นโอกาสให้อีกขั้วชนะทันที จึงอยากให้ประชาชนอดทนและส่งพิธา จัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกฯ คนที่ 30 ให้สำเร็จ

“พิธา และก้าวไกลรู้ว่าต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย ดีที่สุดคือ การเดินเกมเข้าหามวลชน เพราะมวลชนเท่านั้นที่จะปกป้องและทำให้รัฐบาลก้าวไกลเกิดขึ้นได้ เราจึงเห็นภาพด้อมส้มห้อมล้อมพิธาในทุกๆ พื้นที่ แม้กระทั่งเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้งก็ยังมีชื่อพิธา เข้าไปอยู่ในใจ”

ถึงวันนี้พรรคก้าวไกลได้มีการประเมินหรือไม่ว่า โอกาสจัดตั้งรัฐบาลที่มีนายพิธา เป็นนายกฯ คนที่ 30 จะสัมฤทธิผลได้หรือไม่ เพราะเหตุใดท่ามกลางอุปสรรคที่เกิดขึ้นมากมาย






นายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล บอกว่า ถ้าจะให้ประเมินเป็นเปอร์เซ็นต์ว่าจะตั้งรัฐบาลที่มีนายพิธา เป็นนายกฯ ได้สำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ และตั้งไม่สำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์นั้น ทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะประเมิน แต่ในมุมของก้าวไกล เราไม่สามารถบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่ยืนยันว่าจะตั้งรัฐบาลที่มีนายพิธา เป็นนายกฯ สำเร็จ ซึ่งมีเหตุผลสำคัญประกอบด้วย

ประเด็นที่ 1 ถ้าทุกฝ่ายไม่เล่นตามกติกา ประเทศจะเดินหน้ากันอย่างไร ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องเห็นตรงกัน ต้องเคารพเสียงของประชาชนเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ผลการเลือกตั้งออกมาชัดเจน โดยขั้วอำนาจเดิมไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน ขณะที่พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และขั้วฝ่ายค้านเดิมได้คะแนนสูง สามารถรวมได้ 313 เสียง

ประเด็นที่ 2 มีความพยายามขัดขวางไม่ให้พรรคก้าวไกล จัดตั้งรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ก็อยากจะถามว่าจะขัดขวางได้นานแค่ไหน เรื่องนี้ต้องช่วยกันบอก ย้ำเตือนผู้มีอำนาจต้องเล่นตามกติกา เพราะสุดท้ายมาตรา 272 ก็ต้องหมดอายุขัยในที่สุด

โดยมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่า ส.ว.ชุดนี้มีวาระ 5 ปี สามารถร่วมโหวตนายกฯ ได้อีก 1 ครั้ง ตามบทเฉพาะกาลในมาตรานี้ซึ่งจะไปสิ้นสุดวาระเดือน พ.ค.2567 (นับตั้งแต่การประชุมวุฒิสภานัดแรกเมื่อวันที่ 11 พ.ค.2562) จากนั้นอำนาจของ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกฯ จะสิ้นสุดลงและกลับไปยึดตามบทบัญญัติปกติต่อไป

“ตามกติกาเราจัดตั้งได้ แต่เรากังวลมีคนไม่เล่นตามกติกา คำถามผู้มีอำนาจ และ ส.ว.จะยื้อไปทำไม มีประโยชน์อะไร เล่นตามกติกาดีกว่า ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินชอบไม่ชอบอย่างไร”

ประเด็นที่ 3 การขัดขวางไม่ให้ตั้งรัฐบาลก้าวไกล มันมีราคาที่ต้องจ่าย เพราะราคาของการไม่เคารพสิทธิประชาชนมันแพงเกินไป ซึ่งประเทศไทยเห็นบทเรียนมากมายจากการไม่เคารพสิทธิของประชาชน จะนำไปสู่เหตุการณ์อะไรกันบ้าง

“เราเดินหน้าเจรจากับทุกฝ่ายให้เข้าใจ ไม่เจาะจงเฉพาะ ส.ว. การเดินหน้าแบบที่เราทำเป็นหนทางที่ดีที่สุดในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย มาถึงตรงนี้ผมอยากจะเชื่อมั่นว่าการเลือกนายกฯ มันจะฝ่าด่านมาตรา 272 สำเร็จได้”


นายรังสิมันต์ อธิบายอีกว่า การขัดขวางไม่ให้ตั้งรัฐบาลก้าวไกล มันมีราคาที่ต้องจ่าย ซึ่งเป็นตัวเลขที่คำนวณยากในการประเมินความเสียหายว่าอะไร อย่างไร เท่าไหร่ เพราะเมื่อประชาชนได้ตัดสินใจเลือกและเชื่อมั่นว่าพรรคก้าวไกลจะมาทำหน้าที่บริหารประเทศแล้ว หากไม่เป็นไปตามฉันทมติ สุดท้ายความเชื่อมั่นที่มีอยู่จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจเช่นกัน

“เรื่องของการลงทุน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ไปกระทบกับคนเท่าไหร่ ยิ่งกว่านั้นจะกลับไปสู่สถานการณ์ที่ไม่ควรเดินไปทางนั้น เพราะการไปขัดขวางการตัดสินใจของประชาชน ซึ่งผมมองไม่ใช่แค่การชุมนุมอย่างเดียว แต่มองไปถึงคนที่เขาไม่ได้คิดเรื่องการชุมนุม แต่ภาพรวมจะสร้างความเสียหายและความผิดหวังให้คนกลุ่มนี้ด้วย แม้เขาจะไม่ได้ลงมาชุมนุมกลางถนนก็ตาม”

ทั้งนี้ กลุ่มทุนต่างๆ ที่พอมีทุน ซึ่งต้องการลงทุนหรือขยายกิจการ แต่เมื่อหันมาดูสถานการณ์บ้านเมืองอาจตัดสินใจไม่ลงทุน ตรงนี้คือความเสียหายที่ทุกฝ่ายต้องคิด เพราะนี่คือต้นทุนที่สร้างความเสียหายให้ประเทศทั้งสิ้น หากผู้มีอำนาจไม่เคารพกติกา

นายรังสิมันต์ ตอบข้อถามที่หลายคนตั้งคำถามว่าสถานการณ์ที่ยืดเยื้อเป็นเพราะกลัวอะไรพรรคก้าวไกลหรือ? ว่านี่คือคำถามที่ทุกคนรู้สึกแบบเดียวกันว่าผู้มีอำนาจกลัวอะไรพรรคก้าวไกล แต่ทำไมประชาชน 14 ล้านจึงเลือกพรรคก้าวไกล ทำไมคน 14 ล้านถึงไม่กลัว ส่วนที่ประชาชนเลือกพรรคอื่นๆ ก็เป็นเพราะชอบพรรคอื่นๆ มากกว่าพรรคก้าวไกลเท่านั้นเอง

“มีคนกี่คนที่กลัว และมีคนไม่กี่คนมาทำลายการตัดสินใจของคนทั้งประเทศ จริงๆ แล้ว การทำหน้าที่และนโยบายของพรรคพยายามที่จะแก้ปัญหาที่หมักหมมมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกองทัพ ระบบราชการ หรือเรื่องทุนผูกขาด ลองประเมินกันดู สิ่งที่เรากำลังจะแก้ปัญหาเหล่านี้ใครคือผู้ได้ประโยชน์ คือ ประชาชนส่วนใหญ่ และคนที่เสียประโยชน์จะมีคนไม่กี่คน อย่าทำให้การเลือกตั้งไปปกป้องผลประโยชน์ของคนไม่กี่คน”

นายรังสิมันต์ บอกอีกว่า เรื่องกลุ่มทุนนั้น พรรคพยายามสร้างกติกาให้เป็นธรรม มีรายใหญ่บางรายที่ยอมรับว่าควรปรับเปลี่ยนได้แล้ว หากไม่มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของรูปแบบ การทำธุรกิจที่ต้องเป็นธรรมมากขึ้น พรรคเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่จะมีชีวิตที่ยากลำบากมากขึ้น

ที่สำคัญสิ่งที่พรรคกำลังทำเพื่อให้ทุกคนได้หมด ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ นักธุรกิจที่เป็นทุนใหญ่ก็ต้องเล่นในกติกา fair game เหมือนกับคนอื่นเท่านั้นเอง ส่วนการแต่งตั้งโยกย้าย ในระบบราชการไม่ต้อง ‘จ่ายค่าตั๋ว’ แต่การจะเติบโตได้จะต้องอยู่บนความสามารถเป็นหลัก

“ถามว่าการเติบโตขึ้นอยู่กับความสามารถ ใครคือผู้เสียผลประโยชน์ ส่วนใครที่มีความสามารถไม่ต้องกลัวเลย ระบบราชการตรงไหนอุ้ยอ้าย เชื่องช้า ก็นำเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยให้เร็วขึ้น คนที่อยู่ในระบบราชการจะ happy เพราะทำงานได้เร็วขึ้น มีต้นทุนที่ต้องจ่ายน้อยลง ผมคิดว่าเป็นผลดีสำหรับคนที่อยู่ในระบบราชการ”


ดังนั้น หน้าที่พรรคก้าวไกลคือต้องพยายามเดินไปข้างหน้าเพื่อตั้งรัฐบาลที่มีนายพิธา เป็นนายกฯ ให้ได้ และอยากให้สังคมพิจารณาอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาใส่เราไม่ใช่เรื่องของการทุจริต คอร์รัปชัน หรือการทำผิดจริงๆ แต่เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นมาด้วยจุดประสงค์อะไร สังคมก็รู้

“เรื่องหุ้น ITV ถ้าพูดตามกติกาไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร ที่ผ่านมา 4 ปี ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาเพราะกระแสความนิยมในตัว คุณพิธา มันแรงมากๆ อีกทั้งเงื่อนไขใน ม.272 ถ้าทุกฝ่ายเดินตามกติกาผลดีต่อประเทศไทยจะได้มากกว่า ทำไมผู้มีอำนาจจึงเลือกหนทางที่ยากลำบากไปสู่หนทางไม่แน่นอน แต่สุดท้ายเราเชื่อและมั่นใจว่า การพูดคุยกับทุกฝ่ายจะเดินหน้าในการตั้งรัฐบาลได้ โดยมีคุณพิธา เป็นนายกฯ สำเร็จ”

นายรังสิมันต์ บอกทิ้งท้ายว่า ในทางการเมืองทุกคนอาจคิด ‘เผื่อใจ’ ไว้ว่าก้าวไกลอาจจัดตั้งรัฐบาลที่มีนายพิธา เป็นนายกฯ ไม่สำเร็จ แต่เมื่อมานั่งคำนวณปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่าง พรรคก็พยายามก้าวเดินไปในเส้นทางที่เชื่อว่าเป็นเส้นทางและหนทางที่ดีที่สุดของประเทศไทย ส่งผลให้เรื่องของการ ‘เผื่อใจ’ หรือไม่? อาจไม่เป็นสาระสำคัญใดๆ เลย!

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH



กำลังโหลดความคิดเห็น