วิกฤตการเมืองกำลังทวีความรุนแรง และเริ่มเห็นปลายทางคือการรัฐประหาร ‘พล.ท.พงศ์กร รอดชมภู’ ชี้หากใช้กรณี ITV เล่นงาน ‘พิธา’ เชื่อ ‘ด้อมส้ม’ ซึ่งเป็นเสียงคุณภาพเต็มถนนทั้งเหนือจดใต้ คาดอาจใช้วิธีอหิงสา หยุดงาน ทุกอย่างชะงัก โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว รัฐบาล ‘บิ๊กตู่’ พังแน่ มั่นใจ ‘คฝ.-ทหาร’ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ‘นาย’ ระบุหากตั้งรัฐบาลก้าวไกลสำเร็จเตรียมขุดรากถอนโคนบรรดา ‘ส.ว.-องค์กรอิสระ’ และเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ด้าน ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ แจง deadlock ทุกเส้นทางโอกาสพิธา จะอยู่ในห้องประชุมสภาแทบเป็นไปไม่ได้ พร้อมสร้างวาทกรรม ‘เพื่อไทย’ ทรยศ-หักหลังหากข้ามขั้วตั้งรัฐบาล อีกทั้งมีกระแสจะยุบ 5 พรรค ดึงบรรดาสีต่างๆ ลงถนน จนนำไปสู่รัฐประหารอ้างเหตุเกิดความแตกแยก!
สถานการณ์การเมืองไทยที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ทั้งความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคที่มีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่พร้อมจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรัฐบาลชุดนี้นั้น ดูเหมือนว่าโอกาสก้าวถึงดวงดาวน่าจะยากเสียแล้ว เนื่องเพราะไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ 376 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ อีกทั้งการดึงเสียง ส.ว.สนับสนุนก็เป็นทิศทางที่ยากยิ่งกว่า
ไม่เพียงเท่านั้น นายพิธา ยังโดนร้องเรียนคดีถือหุ้นสื่อ ITV แม้ว่านายพิธา จะโอนหุ้นทั้งหมดในฐานะผู้จัดการมรดกไปให้ทายาทแล้วก็ตาม แต่เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ
ซึ่งบรรดานักกฎหมายมองต่างมุม บ้างก็ว่านายพิธา มีสิทธิรอด 100% แต่บางท่านชี้ให้เห็นไม่ใช่แค่นายพิธา ไม่รอด อาจกระทบถึง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคทั้งหมด
รวมทั้งการขับเคลื่อนของพรรคก้าวไกล ยังเป็นการดิสเครดิตการบริหารงานของรัฐบาลขั้วอำนาจเดิม โดยเฉพาะเรื่องทุจริต ส่วยต่างๆ ที่ปรากฏตามหน้าสื่อ รวมไปถึงการออกมาวิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมขับไล่ให้ออกไปได้แล้ว และยังมีเสียง ‘ด้อมส้ม’ ที่ประกาศพร้อมจะลงถนน หากนายพิธา ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล หรือถูกสอยจากกรณีหุ้น ITV
ว่ากันว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไร้ทางออก เพราะรัฐบาลใหม่ก็ตั้งไม่ได้ รัฐบาลขั้วอำนาจเดิมก็ไม่สามารถชิงตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน สุดท้ายจุดจบจะไปอยู่บนถนน ตามด้วยการรัฐประหารเกิดขึ้นแน่นอน?
พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อดีตประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร และเป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกล บอกว่า ฝ่ายประชาธิปไตยเดินหน้าทำการเมืองแบบตรงไปตรงมา แต่ฝ่ายผู้มีอำนาจเดิมกลัวการเสียอำนาจจึงวางแผนมาตั้งแต่ต้นว่าหลังเลือกตั้ง แนวทางที่ 1 ถ้าได้ ส.ส.เพียงพอจะบวกกับเสียง ส.ว.จัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ถ้าได้น้อยจะใช้แนวทางที่ 2 คือใช้ข้อกฎหมายต่างๆ มาเล่นงานขั้วประชาธิปไตย ซึ่งจริงๆ วิธีการใช้ข้อกฎหมายมาเล่นงานแบบนี้ก็อยากให้ผู้มีอำนาจคิดทบทวนให้ดีว่าจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายแค่ไหน อยากเสี่ยงหรือไม่?
“หุ้นไอทีวี นักกฎหมายหลายสำนักมองว่าไม่ผิด ต้องดูข้อแรกว่า ITV ยังประกอบกิจการสื่อหรือไม่ จะยังไม่มาดูว่าถือหุ้นเท่าไหร่ ครอบงำหรือไม่ แต่ถ้าผู้มีอำนาจคิดจะเอาเรื่องนี้มาเล่นงานคุณพิธา น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะไปเล่นกับความรู้สึกของคนที่พร้อมระบายกันออกมา การเดินถนนมีให้เห็นในหลายๆ ประเทศอยู่แล้ว”
โดยเฉพาะด้อมส้มที่สนับสนุนนายพิธา คงมีการพูดคุย เตรียมการกันแล้ว ทั้งคนกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่ๆ ล้วนแต่เป็นคนที่มีความรู้ และเป็นเสียงคุณภาพแท้ๆ ซึ่งสามารถออกมาเดินถนนเองได้ โดยไม่ต้องมีการจัดตั้ง
“ม็อบแบบนี้อันตรายกว่าม็อบที่มีผู้นำหรือม็อบจัดตั้ง ม็อบด้อมส้ม ผมเชื่อว่าไม่มีแกนนำ และน่าจะมากกว่ายุคคุณธนาธร โดนตัดสิทธิ ซึ่งเราจะไม่รู้เลยว่าคนไหลกันมาจากไหน ไม่มีใครคุมใครได้ กรุงเทพฯ และหัวเมืองพรึบแน่ อยากรู้ผู้มีอำนาจคิดอะไรถ้าจะใช้กฎหมายเล่นงานแบบนี้”
พล.ท.พงศกร ย้ำว่า มีเหตุการณ์ประท้วงบนถนนในยุโรปมีการนัดหยุดงาน ทุกคนอยู่กับที่ หยุดทั้งหมด นี่คือการต่อสู้แบบสันติวิธี ซึ่งม็อบด้อมส้มอาจจะเลือกใช้วิธีหยุดไม่ทำงาน ก็อยากจะถามว่ารัฐบาลบิ๊กตู่ จะอยู่อย่างไร
“ม็อบจัดตั้งจะเป็นปัญหาระหว่างขั้วการเมืองหรือพรรคการเมืองที่สามารถคุยกับแกนนำได้ แต่ด้อมส้มม็อบอันตรายกว่าเพราะเป็นเรื่องของความยุติธรรม จำนวนม็อบน่าจะมากเหมือนที่อาจารย์ปิยะบุตร บอกจากเหนือจดใต้แน่”
ที่สำคัญหาก กทม.และเมืองใหญ่ๆ เชียงใหม่ ภูเก็ต หยุดงานกันทั้งหมด นักท่องเที่ยวบินมาถึงแต่ไม่มีรถไปรับ แบบนี้รัฐบาลจะทำอย่างไร ไม่เพียงแค่เรื่อง ITV ที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเมือง เพราะยังมีความพยายามของขั้วอำนาจเดิมจะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยให้ได้ จึงอยากขอให้บรรดา ส.ว.คิดกันให้ดี ถ้าโหวตเลือกนายกฯ พิธา ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ยังไม่ได้ ส.ว.ก็คงต้องกลับไปทบทวนเพราะ ส.ว.ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งนั้น จะยอมปล่อยให้บ้านเมืองถูกทำลายเพียงแค่ต้องการตอบแทนบุญคุณคนที่ตั้งมาเท่านั้นหรือ?
“ยิ่งก้าวไกลรุกตรวจสอบทุจริต เจอเรื่องส่วยเต็มไปหมด ขั้วอำนาจเดิม กับบรรดาข้าราชการที่กลัวการเปลี่ยนแปลงต้องกำจัดไม่ให้มีโอกาสตั้งรัฐบาลได้ ขั้วเดิมยังต้องการเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อแก้กฎหมายให้ตัวเองอยู่ต่อจาก 2 ปี ไปได้อีกหลายปี หรือจะแก้ให้ ส.ว.อยู่ต่อได้อีกหรือไม่”
พล.ท.พงศกร ระบุว่า การที่ใช้เรื่อง ITV มาจัดการนายพิธา รัฐบาลประเมินไว้แล้วว่าจะมีม็อบเกิดขึ้น จึงได้มีการฝึกตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ไว้รับมือ และยังมีการฝึกกำลังทหารไว้เป็นผู้ช่วยหากตำรวจรับมือไม่ไหว แต่อยากให้รัฐบาลคิดก่อนว่าเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งตำรวจ และทหารเลือกก้าวไกลมาก หากกำลังพลเหล่านี้ต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่อาจจะลำบากใจและใช้วิธีนิ่งหรือเฉื่อยงานแทน
“อย่าคิดว่าทั้ง คฝ. และทหารจะให้ความร่วมมือกับหัวหน้าเหมือนในอดีต ยิ่งม็อบมาเยอะเท่าไหร่ กำลังพลก็รู้ว่าสู้ไม่ได้อยู่แล้ว คิดจะลากรถถังออกมาก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน จะประกาศกฎอัยการศึก ถ้าม็อบไม่ยอมรัฐบาลจะทำอะไรได้ ต่อให้กำลังพลมีอาวุธ แต่ประชาชนมือเปล่า หากยิงประชาชน รัฐบาลจะอยู่อย่างไร ต้องปิดประเทศกันไปเลย เดี๋ยวนี้จะรัฐประหารไม่ง่ายเหมือนก่อนแล้ว ทั่วโลกจับตาดูอยู่”
นอกจากนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหากจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกลได้สำเร็จ คือจะมีการขุดรากถอนโคนตามมา นั่นหมายถึงว่า บรรดาพวก ส.ว.องค์กรอิสระต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งมาอย่างไม่ถูกต้องและบริหารงานไม่ยุติธรรม จนก่อให้เกิดอำนาจนิยมในการปกครองประเทศจะโดนล้างบาง และจะมีการสถาปนารัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งคือเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่นั่นเอง
“วิธีที่ก้าวไกลจะทำก็เหมือนการใช้อำนาจปฏิวัติจากกองทัพ แต่เป็นการใช้อำนาจพลเรือนที่ถูกต้องและชอบธรรมเข้าดำเนินการบริหารประเทศต่อไป”
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ซึ่งมีประสบการณ์ทั้งในฐานะนักการเมืองและนักเคลื่อนไหว บอกว่า เวลานี้นายพิธา ไม่สามารถเป็นนายกฯ และไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เรียกว่าเป็นศูนย์ และคนที่เข้าสู่สนามการเมืองต้องเผชิญสารพัดรูปแบบ ก็เหมือนกับที่นายพิธา โดนกรณี ITV ส่วนจะมีผลเฉพาะนายพิธา หรือจะลามไปถึง ส.ส. ที่นายพิธาเซ็นรับรอง หรือว่าจะลามไปถึงแคนดิเดตนายกฯ ที่มีคุณสมบัติเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่ยากในการต่อสู้ตามลำดับ
“แม้นายพิธา จะไม่เจอเรื่อง ITV ก็ตั้งรัฐบาลได้ยากเพราะมีเสียงไม่ถึง 376 ส่วนรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ 188 เสียง แม้จะมี ส.ว.หนุน แต่ก็ไม่สามารถบริหารได้ ส.ว.เป็นแค่ประตูทางผ่าน ทุกอย่างถูกบล็อกไว้หมดแล้ว ฝ่ายประชาธิปไตยชนะก็ไม่ชนะ ฝ่ายขั้วอำนาจเดิมแพ้ก็ไม่แพ้”
ส่วนความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นตามมาต่อเมื่อ กกต.ส่งเรื่องหุ้นนายพิธา ให้ศาลตีความ ซึ่งศาลจะนัดแจ้งว่าจะรับพิจารณาหรือไม่? ถ้ารับเรื่องไว้จะพิจารณาสั่งให้ยุติในหน้าที่หรือไม่? เชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นก่อนเปิดสมัยประชุมสภา
“โอกาสที่พิธา จะไปอยู่ในห้องประชุมสภาแทบจะเป็นไปไม่ได้หากมองกันตามเนื้อผ้า มวลชนจะมีความคับแค้น ก็จะลงถนน เมื่อพิธา ไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ พรรคเพื่อไทยต้องมาเป็นแกนนำ ก็ได้ 312 เสียงเท่าเดิม จึงมีทางเดียวที่เพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลได้คือข้ามขั้วเกิดขึ้น”
ดังนั้น ต้องจับตากันให้ดี หากเพื่อไทยจับมือข้ามขั้วเมื่อไหร่ จะไปสร้างอารมณ์และความรู้สึกกับมวลชนที่เลือกพรรคก้าวไกล และตำหนิว่าพรรคเพื่อไทยไปทรยศ หักหลัง!
“นี่คือสมมติฐานถ้ายังจับกัน 8 พรรคได้ 312 เสียงก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ถ้าอยากตั้งรัฐบาลได้เพื่อไทยต้องจับข้ามฝั่ง เมื่อทุกอย่างเจอทางตันก็จัดตั้งรัฐบาลกันไม่ได้แม้แต่ฝ่ายเดียว”
นายจตุพร บอกอีกว่า แม้ตัดสินใจจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วได้สำเร็จ แต่เชื่อว่าไม่สามารถบริหารหรือจัดการทุกอย่างได้ตามที่คิด สุดท้ายจะต้องจบด้วยการรัฐประหาร ซึ่งยังไม่นับกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร ประกาศจะกลับบ้านปลายเดือน ก.ค.นี้ ก็ยิ่งจะเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์การเมืองร้อนแรงขึ้น
ทั้งนี้ การจะนำไปสู่การรัฐประหารได้นั้นจะเกิดจากความวุ่นวายทางการเมืองอันเป็นผลมาจากการจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ หรือกรณีที่ เพื่อไทย ย้ายขั้ว ความไม่พอใจจากด้อมส้มเอง ทั้งคนเสื้อแดงที่เลือกเพื่อไทย ซึ่งเชื่อว่าจำนวนมากไม่เห็นด้วย วิธีการตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ความวุ่นวายต่างๆ จะก่อตัวจนกลายเป็นความขัดแย้ง และจะวิวัฒนาการกันไปโดยไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร เพราะแต่ละฝ่ายขั้วอำนาจเดิมก็มีแค่ 188 จะมาร่วมกับขั้วประชาธิปไตยที่ 312 ก็ไม่ได้ เพราะเป็นเงื่อนตายกันอยู่แล้ว
“มัน deadlock หมด 312 ก็ lock 188 ก็ lock ส.ว. 250 ก็ยืนเฉย กกต.ก็กำลังทำงานกับศาลรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ ก็รักษาการ ท่ามกลางการเรียกร้องให้รับผิดชอบต่างๆ ทุกๆ การก้าวเดินจึงเปราะบาง สุดท้ายต้องลงถนน”
นายจตุพร แนะจากนี้ไปต้องติดตามสถานการณ์การเมืองที่ปลายทางอยู่ที่การรัฐประหารแน่ เริ่มจากกรณีการถือหุ้น ITV ของนายพิธา จะถูกสอยอย่างไร และเพื่อไทยจะหักหลังเพื่อนตั้งรัฐบาลข้ามขั้วหรือไม่ หรือว่าที่ ส.ส.พรรคไหนที่จะได้ใบส้ม ใบแดง ใบเหลืองบ้าง ขณะที่บิ๊กตู่ นั่งรักษาการต่อไปท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้ ‘ลาออก’ ได้แล้ว รวมไปถึงข่าวการยุบ 5 พรรคการเมืองซึ่งมีทั้ง พรรคก้าวไกล เพื่อไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และภูมิใจไทย
“ทุกอย่างกำลังประเดประดัง สถานการณ์ของประเทศจึงน่าเป็นห่วง ความแตกแยกรอบใหม่ที่ใหญ่ การขัดแย้งใหญ่กำลังก่อตัว และทวีความรุนแรง โดยเหตุผลข้อหนึ่งในการเข้ายึดอำนาจของกองทัพคือความแตกแยก และยิ่งมีเรื่องราวไปกระทบต่อสถาบันจะเรียกคนอีกฝั่งออกมาเพื่อปกป้องสถาบัน”
ตรงนี้คือความขัดแย้งใหญ่ซึ่งจะกระทบเป็นวงกว้างที่ทุกคนต้องตระหนัก และร่วมหาทางออกเพื่อประเทศชาติให้มากที่สุด!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j