จับตา ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หรือไม่? อยู่ที่ ‘ส.ว.-กกต.’ ชี้หากผ่านได้ ‘พิธา’ นั่งนายกฯ ควบ รัฐมนตรีกลาโหม ผลักดันปฏิรูปกองทัพให้เป็นกองทัพศตวรรษที่ 21 เล็กแต่สมาร์ท ลดขนาดกองทัพ ปรับโครงสร้างใหม่ยกเลิกตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปรับเป็นเสนาธิการร่วมลดอำนาจการแต่งตั้งได้เพียง 2 ระดับ ไม่ให้ล้วงไปถึงระดับผู้บังคับกรมและผู้บังคับกองพัน ส่วนการประกาศกฎอัยการศึกเป็นอำนาจของ ครม.เพื่อป้องกันการรัฐประหาร ‘ยุบ กอ.รมน.’ หรือแปรสภาพเป็นทบวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ‘Homeland Security’ ทหารคนไหนอยากอยู่ต้องเปลี่ยนเป็นพลเรือน พร้อมจัดโครงการเออลีรีไทร์ไว้รองรับ ขณะที่ธุรกิจทหารอาจโอนให้คลังดูแล ระบุการปฏิรูปกองทัพสุดท้ายจะออกมาอย่างไรต้องรอรัฐบาลก้าวไกลตัดสิน!
เรากำลังเข้าสู่เกมวัดใจ หรือวัดดวงกันหรือไม่? ว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่สามารถนำทัพชนะศึกเลือกตั้งมาเป็นพรรคอันดับที่ 1 ได้แล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนเส้นทางการเป็นรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ไม่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ แค่ขั้นตอนการเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะต้องได้เสียงสนับสนุนถึง 376 ก็ยังต้องเผชิญอุปสรรค เพราะจับมือกับ 8 พรรค ได้เพียง 313 เสียง จึงต้องพึ่งเสียง ส.ว.ที่ส่วนใหญ่ไม่ยกมือสนับสนุนเพราะไม่เห็นด้วยและคัดค้านการแก้มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล
ตามด้วยการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี และนโยบายต่างๆ ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลที่ใช้หาเสียงจะสามารถตกลงและเดินไปด้วยกันได้หรือไม่ โดยเฉพาะการแก้ไขมาตรา 112 ยังเป็นประเด็นที่น่าติดตาม
แถมด้วยเงื่อนไขสำคัญที่พรรคก้าวไกลตอกย้ำมาตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่จนมาถึงก้าวไกลซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคเชื่อมั่นว่าต้องทำให้ได้คือ การปฏิรูปกองทัพ เพราะหากทำได้จริงจะสามารถตัดวงจรการรัฐประหารได้สำเร็จ และยังทำให้กองทัพมีประสิทธิภาพ เล็กแต่สมาร์ท เป็นที่ยอมรับในสังคมโลกได้ด้วย
“การปฏิรูปกองทัพ” จึงเป็นอีกประเด็นความท้าทายที่นายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ ‘พิธา’ จะต้องก้าวต่อไปหากพรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เพราะหลายคนเชื่อว่านโยบายนี้เป็นการเข้าไปทำลายผลประโยชน์ของกองทัพที่มีมานานจริงหรือไม่?
พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อดีตประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร และเป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกล บอกว่า เรื่องการปฏิรูปกองทัพ มีการศึกษาและจัดทำไว้ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งพรรคก้าวไกลถือเป็น 1 ใน 3 เรื่องสำคัญคือ ปฏิรูปกองทัพ สุราก้าวหน้า และสมรสเท่าเทียมที่ต้องดำเนินการ โดยเรื่องการปฏิรูปกองทัพนั้น เชื่อว่าทหารส่วนใหญ่เห็นด้วย โดยเฉพาะผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มีปัญหาและให้การสนับสนุน ดูได้จากพื้นที่ทหารหลายแห่ง ก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง ส่วนผู้บังคับบัญชาที่ต้องเสียผลประโยชน์ต้องมีการคัดค้านเป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งคนระดับพันเอก ที่จะขึ้นเป็นนายพลอาจจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ในภาพรวมต้องถือว่าดี
สำหรับการปฏิรูปกองทัพจะมีการปรับโครงสร้างดึงทหารออกจากการเมือง โดยให้กองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน คือการเปลี่ยนจากระบบบังคับบัญชาเป็นระบบเสนาธิการร่วม ที่มีรัฐมนตรีกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่าน ตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพยังมีอยู่ ให้เข้าประชุม พูดคุย เป็นการให้เกียรติกัน แต่เมื่อคนเหล่านี้เกษียณไปแล้วถือว่ายุบตำแหน่ง ผบ.เหล่าทัพไปโดยอัตโนมัติ
“โลกเปลี่ยนไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาในระบบทหารปัจจุบัน ในโลกตะวันตก หรือทางจีน รัสเซียคล้ายๆ กัน คือผู้บังคับบัญชาจริงๆ คือ ฝ่ายการเมือง ซึ่งหมายถึงรัฐมนตรี อเมริกา เป็นระบบประธานาธิบดี ประธานาธิบดีจะเป็น ผู้บังคับบัญชาสูงสุด ซึ่งของบ้านเราถ้าปรับโครงสร้างไม่มีผู้บังคับบัญชาแล้วจะมีคนช่วยงาน คือ ฝ่าย เสธ.จึงเรียกว่าคณะเสนาธิการร่วม”
อีกทั้งจะมีการลดขนาดกองทัพ 30-40% ซึ่งจะมีรายละเอียดที่ทีมยุทธศาสตร์ก้าวไกลจะมีการศึกษา ปรับปรุงกันไป แต่ระดับนายพล มีการลดแน่ๆ และผู้บังคับบัญชามีอำนาจในการแต่งตั้งได้เพียง 2 ระดับเท่านั้น ปัจจุบันที่มีปัญหาและนำไปสู่การรัฐประหารได้เพราะ ผบ.ทบ.มีการแต่งตั้งล้วงลึกไปจนถึงระดับผู้การกรม และผู้บังคับการกองพัน
“ตั้ง 2 ระดับ ผบ.ทบ. ก็ตั้งได้แค่แม่ทัพภาค ซึ่งเขาต้องเลือกคนที่ทำงานได้จริง ไม่ใช่ปล่อยให้ตั้งระดับผู้การกรมและผู้บังคับกองพัน วิธีนี้จะป้องกันการยึดอำนาจได้ ส่วนแม่ทัพไปตั้ง 2 ระดับในอำนาจหน้าที่ของตัวเองเช่นกัน”
การลดขนาดกองทัพ 30-40% นั้นจะไม่มีการให้ใครออก แต่จะมีโครงการเออลีรีไทร์เพื่อให้ขนาดเล็กลงเร็วที่สุด และต่อไปการจะรับคนเข้ามาหน่วยงานทหารจะยากขึ้นเพราะทุกวันนี้ที่มีจำนวนเกินเป็นเพราะมีพลเรือนมาอยู่จำนวนมาก และบรรดาลูกนายมีจำนวนมาก ทั้งที่ความจริงการจะเข้ามาเป็นทหารต้องฝึกตั้งแต่ปี 1 และคนที่ใส่เครื่องแบบทหารต้องรบเป็น ยิงปืนเป็น
รวมไปถึงการประกาศกฎอัยการศึกเป็นอำนาจของ ครม.เท่านั้น
ส่วนการยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหารเป็นเรื่องที่ได้รับเสียงตอบรับดีมาก โดยให้เป็นความสมัครใจ จะมีค่าตอบแทนที่ดี มีโครงการให้เรียนต่อ และยังมีโครงการอภัยโทษให้คนที่หนีทหาร เพราะบางคนไม่พร้อม และบางคนได้ สด.43 ปลอม ซึ่งเกิดจากการที่พ่อแม่ไม่ต้องการให้ลูกเป็นทหารเกณฑ์ก็ใช้วิธีการยัดเงินให้สัสดี เป็นต้น
นอกจากนี้ จะมีการยุบ กอ.รมน.คือยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่า กอ.รมน.เป็นเครื่องมือของรัฐในการจัดการฝ่ายตรงข้ามโดยอ้างเรื่องเป็นภัยต่อความมั่นคง ซึ่งอาจมีการแปรสภาพ กอ.รมน.คล้ายทบวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ที่เรียกว่า Homeland Security จัดภารกิจให้มีความเหมาะสมกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ซึ่งจะเป็นหน่วยงานพลเรือน หากทหารอยากจะอยู่ที่หน่วยงานนี้ต่อไปก็ต้องเปลี่ยนเป็นพลเรือน
“โครงสร้างเดิม นายกรัฐมนตรีเป็น ผอ.รมน. และมีผู้บัญชาการทหารบกเป็นรอง ผอ.รมน. เมื่อแปรสภาพแล้วจะขึ้นตรงนายกฯ หรือจะตั้งฝ่ายการเมืองมาดูขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐ หน่วยงานนี้จะมีหน้าที่เฉพาะ หหารที่อยู่ กอ.รมน.ต้องเลือกถ้าจะอยู่ต่อก็เป็นพลเรือน ซึ่งจะทำให้เหล่าทัพเล็กลงไปโดยอัตโนมัติ”
ขณะเดียวกัน ยังมีนโยบายคืนธุรกิจกองทัพให้รัฐบาล หมายถึงกิจการเชิงพาณิชย์ของกองทัพที่มีอยู่ ได้แก่ สนามม้า สนามมวย สนามกอล์ฟ ที่ดิน และที่ท่องเที่ยว อาจจะมีการบริหารในรูปแบบรวมเพื่อให้เกิดรายได้นอกงบประมาณที่จะนำมาใช้ด้านสวัสดิการ การวิจัยและพัฒนา การบำรุงขวัญ รวมถึงการซื้ออาวุธโดยไม่กระทบภาระงบประมาณที่เป็นภาษีมากนัก ทำให้สามารถดำรงสัดส่วนงบประมาณทางทหารไว้ไม่เกินร้อยละ 2 ของ GDP เช่นเดียวกับชาติตะวันตกในยามสงบ เพื่อให้รัฐสามารถใช้ภาษีเพื่อการพัฒนาและสวัสดิการได้มากขึ้น
“หรือจะเป็นการโอนธุรกิจกองทัพให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแลแทน และสวัสดิการต่างๆ ที่อ้างว่าได้จากกิจการเหล่านี้ให้ไปขอผ่านสำนักงบประมาณ และสภาผู้แทนตามกระบวนการงบประมาณเหมือนหน่วยงานรัฐอื่น”
ประเด็นเรื่องที่ดินกรมธนารักษ์ที่ทหารใช้อยู่นั้นต้องพิจารณาให้ละเอียด เพราะหากคืนให้กรมธนารักษ์ทั้งหมด กรมธนารักษ์อาจจะนำไปให้นายทุนเช่าทั้งหมดก็ได้
“เรื่องธุรกิจกองทัพ และเรื่องที่ดินต้องพิจารณากันให้ละเอียดว่าจะออกมารูปแบบไหนดีที่สุด และต้องไม่ลืมว่าต้องคำนึงถึงสวัสดิการกำลังพลชั้นผู้น้อย”
อย่างไรก็ดี การปฏิรูปกองทัพยังมีรายละเอียดอีกมาก ซึ่ง พล.ท.พงศกร ย้ำว่า ทุกอย่างต้องรอพรรคก้าวไกลมาเป็นรัฐบาลก่อน จึงจะทำให้นโยบายปฏิรูปกองทัพเกิดได้จริง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวม เรียกได้ว่ากองทัพจะมีขนาดจิ๋วแต่แจ๋ว หรือเล็กแต่สมาร์ท เป็นโฉมใหม่ที่ถูกเรียกขานว่าเป็น ‘กองทัพศตวรรษที่ 21’ โดยทหารจะถูกฝึกหนักมาก และมีการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงซึ่งยังคงมีเรื่องของการจัดซื้ออาวุธ ที่จะประชาชนต้องเข้ามามีส่วนในการจัดซื้อด้วยเช่นกัน
“รัฐมนตรีกลาโหม คาดว่าคุณพิธา น่าจะนั่งควบ ซึ่งคุณพิธา เป็นคนเก่ง ฉลาด นิ่มนวล มีวุฒิภาวะ และการที่นายกรัฐมนตรีมาคุมเองย่อมมีบารมีเพียงพอ ที่สำคัญเป็น 1 ใน 3 นโยบายที่พรรคก้าวไกลประกาศไว้”
พล.ท.พงศกร บอกอีกว่า เรื่องการปฏิรูปกองทัพจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เวลานี้อยู่ที่ ส.ว.จะยกมือให้นายพิธา ครบ 376 เสียงตามกติกาหรือไม่ รวมไปถึง กกต.จะตัดสินประเด็นที่มีการร้องเรื่องนายพิธา ถือหุ้นสื่อ ITV ออกมาอย่างไร และ กกต.จะมีการส่งเรื่องหุ้น ITV ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตัดสินหรือไม่ จึงเป็นเรื่องที่สังคมต้องช่วยกันติดตาม ซึ่งส่วนตัวมั่นใจว่าคงไม่มีอุบัติเหตุใดๆ ที่ทำให้บรรดาด้อมส้มต้องออกมายึดพื้นที่ถนน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากเห็น!!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j