เผยผลสำรวจเทรนด์อาชีพซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในปี 66 “สายไอที” มาแรง เงินเดือนสูงสุดแตะ 2 แสน ชี้ “Cyber Security” เป็นสายงานที่ทั่วโลกต้องการและยังขาดแคลน ขณะที่ “YouTuber และ Influencer” คืออาชีพทำเงินมหาศาลของคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ส่วน “ขายของออนไลน์” และ "ด้านการแพทย์" ยังไปได้ดี สายงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อย่าง “แอร์โฮสเตส-สจ๊วต-นักบิน-พนักงานโรงแรม-มัคคุเทศก์” กลับมาบูมอีกครั้ง “สตาฟอีเวนต์-สตาฟคอนเสิร์ต” อยู่ในช่วงโกยเงิน ด้าน “วิศวกรพลังงานทดแทน” กำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น แต่ “พนักงานธนาคาร-ครูเอกชน-สายเมตาเวิร์ส” ต้องทำใจ เพราะอยู่ในช่วงขาลง
แม้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะยังไม่กระเตื้องมากนัก โดยคาดว่าจะขยายตัว 3.0-3.5% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่น้อยกว่าหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ตลาดแรงงานของไทยในปีหน้ายังเติบโตแบบเปราะบาง ส่งผลให้หลายอาชีพเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน แต่ในทางกลับกันมีหลายสาขาอาชีพซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมาก บริษัทต่างๆ พากันเสนอค่าตอบแทนในอัตราสูงลิ่วเพื่อแย่งชิงตัว
หลายคนคงอยากรู้ว่าในปีหน้า อาชีพไหนรุ่ง? อาชีพไหนร่วง? จะได้ปรับตัวให้สามารถอยู่ได้ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
จากการตรวจสอบพบว่า อาชีพซึ่งตลาดแรงงานต้องการอย่างมากในปีหน้านั้นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มอาชีพในสายไอที บริการ การท่องเที่ยว และสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย
1.UX Designer (User Experience Designer) หรือนักออกแบบหน้าแอปพลิเคชัน ถือเป็นอาชีพมาแรงทางด้านไอทีอีกอาชีพหนึ่ง เพราะเมื่อแพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น การออกแบบหน้าแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้ที่ใช้งานสามารถใช้งานได้สะดวก หรือเกิดความประทับใจต่อแอปพลิเคชันนั้นๆ จึงเป็นอาชีพซึ่งเป็นที่เป็นที่ต้องการของตลาด คนที่จะทำงานเกี่ยวกับ UX Designer แม้จะไม่จำเป็นต้องจบเฉพาะทางแต่จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการแก้ปัญหา
โดยอาชีพนี้รายได้เริ่มต้นที่ 35,000-70,000 บาท
2.Data Analyst (DA) หรือนักวิเคราะห์ข้อมูล เป็นงานที่นำข้อมูลของลูกค้ามาวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ เช่น การหาข้อมูลธุรกิจเชิงลึก (Business Insight) เพื่อนำไปสนับสนุนการตัดสินใจ ต่อยอดในแผนกลยุทธ์ (Strategy) หรือแผนงานต่อๆ ไปตามความต้องการของลูกค้า โดย Data analytic เน้นการนำข้อมูลมาหา insight เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค แล้วนำมารายงานผ่าน Data report, Data dashboard ให้องค์กรเข้าใจข้อมูลง่ายขึ้น โดย Data Analyst เป็นงานที่ต้องอาศัยสัญชาตญาณทางธุรกิจ (Business Sense) ค่อนข้างมาก เพราะต้องเจอกับข้อมูล ความต้องการ และโจทย์ที่หลากหลายอยู่ตลอดเวลา
แน่นอนว่าความยากของงานย่อมมาพร้อมกับผลตอบแทนที่สูง โดยเงินเดือนเริ่มต้นของนักวิเคราะห์ข้อมูลอยู่ที่ประมาณ 25,000-45,000 บาท และเมื่อเติบโตเป็นระดับ Manager ขึ้นไป เงินเดือนจะแตะถึงหลักแสนเลยทีเดียว
3.Data Scientist หรือนักวิทยาศาสตร์ ข้อมูลคืออาชีพที่กำลังมาแรงและเป็นที่ต้องการในโลกของการทำงานยุคใหม่ การทำงานหลักๆ จะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลและนำมาพัฒนาเป็นโมเดล (Model) หรือเครื่องมือ (Tools) ที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจ ช่วยทำนายผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ช่วยในการตัดสินใจ หรือการวางกลยุทธ์ขององค์กร เช่น สร้างระบบซื้อขายของออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้อาชีพนี้เป็นที่ต้องการในตลาดทุกภาคส่วน
รายได้เฉลี่ยในตำแหน่ง Data Scientist ของเด็กจบใหม่ห รือ Junior Data Scientist เริ่มต้นที่ 30,000 บาท สูงสุดอยู่ที่ 60,000 บาท ขณะที่รายได้เฉลี่ยของตำแหน่ง Senior Data Scientist เริ่มต้นที่ 80,000 บาท สูงสุดอยู่ที่ 150,000 บาท โดยขึ้นอยู่กับทักษะและความสามารถ
4.Edge Computing หรือผู้ดูแลระบบประมวลผล เป็นหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ โดย Edge Computing คือการประมวลผลที่โอนถ่ายศูนย์กลางการทำงานไปที่ขอบของเครือข่ายและนำพลังประมวลผลเข้ามาอยู่ใกล้กับข้อมูลให้มากที่สุด สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เช่น การประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชัน การใช้บังคับเครื่องจักร แอปพลิเคชันในรถยนต์ไฟฟ้า หรือการมอนิเตอร์ต่างๆ
สำหรับเงินเดือนเริ่มต้นของอาชีพนี้อยู่ที่ประมาณ 35,000 บาท
5.Cyber Security หรือวิศวกรความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นอาชีพซึ่งเป็นที่ต้องการของทั่วโลก และยังอยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากมีแนวโน้มว่าความเสียหายจากภัยคุกคามทางไซเบอร์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 World Economic Forum คาดการณ์มูลค่าความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์ทั่วโลกว่าจะสูงถึง 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 15% โดยอาชีพ Cyber Security มีหน้าที่หลักคือ คอยเฝ้าระวัง ควบคุม ปกป้องข้อมูล โปรแกรม เครือข่าย อุปกรณ์จากการถูกขโมยและโจมตีข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะฉะนั้นจึงต้องมีทักษะที่ครอบคลุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อจะได้รักษาความมั่นคงและปลอดภัยของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อัตราเงินเดือนของอาชีพนี้อยู่ที่ประมาณ 65,000-200,000 บาท
6.E-commerce ค้าขายออนไลน์ เป็นอาชีพที่บูมมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สามารถเป็นได้ทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม มีข้อดีคือไม่จำกัดวุฒิ สามารถสร้างรายได้อย่างไม่กำจัด และมีฐานลูกค้ากว้างมากทั้งในและต่างประเทศ สามารถขายผ่านสื่อออนไลน์ได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ facebook อินสตาแกรม Tiktok หรือแอปชอปปิ้งออนไลน์ต่างๆ
7.YouTuber และ Influencer หรือนักโฆษณาและรีวิวสินค้า เป็นหนึ่งในอาชีพทำเงินที่สร้างรายได้มหาศาลให้คนรุ่นใหม่และวัยทำงาน ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุก็สามารถทำอาชีพนี้ได้เช่นกัน รายได้ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์และความขยันเป็นหลัก ขยันทำคอนเทนต์ ขยันลงคลิป เพื่อสร้างผู้ติดตาม เหมาะสำหรับคนที่มีทักษะในการพูดและการขาย มีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ สร้างจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นอกจากนั้น รายได้ของเหล่า Youtuber และ Influencer ยังขึ้นอยู่กับความโด่งดังของบุคคลนั้นด้วย เพราะนอกจากจะมีรายได้จากเงินค่าโฆษณาที่เจ้าของแพลตฟอร์ม เช่น Youtube จ่ายให้แล้ว พวกเขายังมีรายได้จากการจ้างไปออกอีเวนต์ โชว์ตัว ไลฟ์สดในแพลตฟอร์มของตนเอง ซึ่งเรียกได้ว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในสายงานนี้นั้นมีรายได้เทียบชั้นดารา นักแสดง หรือเซเลบในวงการบันเทิงเลยทีเดียว
8.Marketing Analyst หรือเจ้าหน้าที่วิเคราะห์การตลาด ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากในการขับเคลื่อนธุรกิจ เนื่องจากการวิเคราะห์ตลาดจะช่วยทำให้สามารถวางแผนการตลาดได้ดี และตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น เบื้องหลังความสำเร็จของสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ในตลาดล้วนเกิดจากการวิเคราะห์ตลาด โดยเฉพาะการวิเคราะห์ข้อมูลที่สำคัญ เช่น ลูกค้า คู่แข่ง ซึ่งการจะวิเคราะห์ตลาดได้นั้นจะต้องเก็บข้อมูลการตลาดทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ อาชีพนี้ต้องเข้าใจทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและด้านการตลาด
อัตราเงินเดือนของอาชีพนี้อยู่ที่ประมาณ 25,000-45,000 บาท
9.Customer Service หรือพนักงานบริการลูกค้า เช่น พนักงานดูแลลูกค้า Call Center เป็นสายงานที่ไม่ต้องกลัว Ai มาแย่งงาน เพราะท้ายที่สุดแล้วลูกค้ายังอยากคุยกับพนักงานที่เป็นคนมากกว่าระบบตอบรับอัตโนมัติ คนที่จะรุ่งในสายงานด้านการบริการลูกค้าต้องเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์เก่ง รักงานบริการ ชอบทำงานกับคน และมีเอเนอร์จีบวกอยู่เสมอ
อาชีพนี้เงินเดือนเริ่มต้นประมาณ 17,000 บาท
10.อาชีพเกี่ยวกับการท่องเที่ยว หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย หลายฝ่ายประเมินตรงกันว่าในปี 2566 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้อาชีพที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยว เช่น นักบิน แอร์โฮสเตส สจ๊วต ซึ่งทำงานในสายการบินต่างๆ พนักงานโรงแรม มัคคุเทศก์ ตลอดจนภาคการขนส่งเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก และอาจถึงขั้นขาดแคลน ยิ่งถ้านักท่องเที่ยวจีนกลับมา เชื่อว่ารายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2566 จะกลับมาอย่างมหาศาล จึงถือว่าในปีหน้าอาชีพด้านการท่องเที่ยวจะกลับมารุ่งอย่างแน่นอน
11.Financial Manager หรือผู้บริหารการเงิน มีหน้าที่จัดการวางแผนในเรื่องของการเงินในบริษัทใหญ่ๆ หรือในธนาคาร เป็นคนที่คอยดูแลเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่ายของบริษัทเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถเฉพาะทางในด้านเศรษฐศาสตร์ มีความละเอียดรอบคอบ มีความรู้ความสามารถในการทำงานเป็นทีม
โดยอัตราเงินเดือนสำหรับเด็กจบใหม่ในสายงานนี้อยู่ที่ 15,000-25,000 บาท แต่ถ้าหากมีประสบการณ์สามารถทำรายได้ถึงหลักแสนได้เลยทีเดียว
12.งานด้านการแพทย์ เช่น หมอ พยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ จิตแพทย์ นักกายภาพบำบัด เป็นอาชีพที่ไม่มีทางตกงานอย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันแม้มนุษย์เงินเดือนจะไม่ป่วยหนักแต่ก็มักเป็นโรคฮิตอย่างออฟฟิศซินโดรม บ้างมีภาวะเครียดทำให้เป็นโรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ โรค imposter syndrome จากสภาพสังคมที่กดดันมากขึ้น สายงานนี้จึงเป็นที่ต้องการและค่อนข้างขาดแคลน
สำหรับอัตราเงินเดือนของสายงานด้านการแพทย์อยู่ที่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน
13.วิศวกรด้านพลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ เป็นสาขาอาชีพซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากวิกฤตพลังงานที่เกิดจากผลกระทบของสงครามระว่างประเทศ และปริมาณก๊าซธรรมชาติและน้ำมันซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้แล้วหมดไปกำลังร่อยหรอลงทุกที ทำให้ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยหันมาให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทนมากขึ้น วิศวกรด้านนี้จึงเป็นที่ต้องการของตลาด
โดยอัตราเงินเดือนของสายงานนี้เริ่มตั้งแต่ 18,000-100,000 บาท แล้วแต่ตำแหน่งงาน แต่หากไปทำงานในประเทศแถบยุโรป หรืออเมริกาอัตราเงินเดือนจะขึ้นไปถึงเกือบ 200,000 บาทเลยทีเดียว
14.งานสตาฟอีเวนต์ และสตาฟคอนเสิร์ต ในปี 2566 เป็นปีที่จะมีการจัดงานอีเวนต์ และคอนเสิร์ตกันอย่างคึกคัก หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รัฐบาลอนุญาตให้มีการจัดงานที่มีการรวมกลุ่มของผู้คนจำนวนมาก งานอีเวนต์ และคอนเสิร์ตของศิลปินต่างๆ ที่ถูกยกเลิกหรือเลื่อนไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสามารถกลับมาจัดได้ อีเวนต์ และคอนเสิร์ตที่อั้นมานานจึงพาเหรดกันจัดงานแบบติดๆ ซึ่งนอกจากครีเอทีฟและโปรดิวเซอร์ที่สร้างสรรค์งานอีเวนต์ และคอนเสิร์ตแล้ว ตำแหน่งงานซึ่งเป็นที่ต้องการจำนวนมากคือทีมสตาฟ ซึ่งงานสตาฟนั้นแม้จะเป็นงานพาร์ตไทม์ที่จ้างกันเป็นจ๊อบ จ่ายค่าจ้างเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ แต่ก็จัดว่าเป็นอาชีพที่รายได้ดีทีเดียว
โดยรายได้เฉลี่ยอยู่ที่วันละ 1,500-2,400 บาท
ส่วนอาชีพซึ่งตลาดแรงงานต้องการน้อยลงและมีแนวโน้มจะถูกปรับลดในปี 2566 ได้แก่
1.พนักงานธนาคาร เนื่องจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยหันมาทำธุรกรรมการเงินผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้นและมีแนวโน้มจะก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด โดยการทำรายการด้านการเงิน ไม่ว่าจะรับเข้า หรือจ่ายออก แทบทุกอย่างทำรายการผ่านอินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชัน บัตรเครดิต/บัตรเดบิต พร้อมเพย์ ทำให้การบริการโดยพนักงานซึ่งอยู่ประจำธนาคารสาขาต่างๆ มีความจำเป็นน้อยลง ส่งผลให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาธนาคารต่างๆ พากันประกาศปิดสาขาและเลิกจ้างพนักงานไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งในปี 2566 แนวโน้มก็ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป
2.สายงานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง หรือเมตาเวิร์ส (metaverse) เนื่องจากที่ผ่านมา เมตาเวิร์สยังไม่ได้รับเสียงตอบรับจากผู้ใช้บริการมากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นเทคโนโลยีที่มาเร็วเกินไป ยังไม่ถึงเวลา ต้องรออีก 3-4 ปี หรืออาจต้องทบทวนว่าเมตาเวิร์สควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ล่าสุด เมื่อเดือน พ.ย.2565 มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ก ในฐานะซีอีโอบริษัท Meta เจ้าของโปรเจกต์ใหญ่ Metaverse ได้ประกาศปลดพนักงานถึง 11,000 คน หรือคิดเป็น 13% ของบริษัท โดยเขายอมรับความผิดพลาดในการตัดสินใจลงทุนและชี้ว่าปัญหาขณะนี้เกิดจากตลาดโฆษณาที่อยู่ในช่วงขาลง
3.พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้มากขึ้น จึงอาจมีการปรับลดพนักงานโรงงานลง ขณะเดียวกัน พนักงานเหล่านี้ต้องหันมาพัฒนาทักษะในการบังคับหุ่นยนต์มากขึ้น อย่างไรก็ดี ในปี 2566 ลูกจ้างโรงงานยังพอใจชื้นได้บ้าง เนื่องจากจากการสำรวจพบว่านายจ้างมากกว่าครึ่ง คือ 53% ของนายจ้างในไทยยังไม่มีนโยบายในการปรับเปลี่ยนกรอบอัตรากำลังพนักงานในปี 2566 และนายจ้างราว 22% ต้องการเพิ่มจำนวนพนักงาน ในขณะที่มีเพียง 4% ที่ระบุว่าจะลดจำนวนพนักงานลง
4.ครูโรงเรียนเอกชน เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ที่ยืดเยื้อส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจดิ่งเหว กระทบต่อทุกธุรกิจ แต่ที่หนักที่สุดคือภาคการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชน เพราะผู้ปกครองของนักเรียนจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาการว่างงาน หรือรายได้ลดลงจึงไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายได้จึงย้ายเด็กไปเรียนในโรงเรียนรัฐบาลแทน ส่งผลจำนวนเด็กนักเรียนในโรงเรียนเอกชนลดลงอย่างมาก ซึ่งในปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเอกชนทั่วประเทศมีเด็กนักเรียนลดลงเกือบ 100,000 คน ส่งผลให้ตลอดระยะเวลาตลอด 3 ปีผ่านมา โรงเรียนเอกชนทยอยปิดกิจการลง โดยมีการประกาศปิดโรงเรียนไปแล้วมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ เมื่อโรงเรียนเอกชนปิดตัวลง ครูโรงเรียนเอกชนก็ถูกเลิกจ้างตามไปด้วย