จับตาพี่น้อง ‘3ป.’ ใช้กลยุทธ์ ‘ลับลวงพราง’ เหมือนจะแตกกัน แต่ความจริงหลอกดูใจพรรคร่วมรัฐบาลจะหันไปจับมือกับขั้วตรงข้ามหรือไม่ และใครบ้างคิดแตกแถว ขณะที่ ‘บิ๊กป๊อก’ ส่อเค้าวางมือทางการเมือง แต่ความจริงอาจจะกำลังเช็กฐานเสียงเครือข่ายมหาดไทยทั่วประเทศ ‘รักกันอยู่หรือเปล่า’ ด้านคนใกล้ชิดยอมรับ ‘บิ๊กป๊อก’ เบื่อจริง วงในชี้ ‘3ป.’ จะอยู่หรือไปทางการเมืองต้องได้ข้อสรุปร่วมกัน เชื่อ พปชร.เสนอ ‘บิ๊กตู่’ นายกฯ คนที่ 1 แจงหลัง 23 ธ.ค.ได้เห็น ส.ส.รีบย้ายพรรคก่อนหมดโอกาส ขณะที่ ‘ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง’ มั่นใจบัตร 2 ใบสูตรหาร 100 พรรคใหญ่ได้ประโยชน์ และพรรคขนาดกลางจะได้เปรียบในฐานะตัวแปรทางการเมือง ส่วนพรรคเล็กอยู่ยาก!
สถานการณ์ทางการเมืองจากนี้ไปจะต้องประเมินกันแบบวันต่อวัน โดยเฉพาะการขยับตัวของพี่น้อง ‘3 ป.’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะพี่ใหญ่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หรือบิ๊กป๊อก ในฐานะพี่รอง และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม หรือน้องเล็ก ว่าพี่น้อง 3ป.แตกกันจริงหรือไม่? หรือคนเหล่านี้กำลังใช้ยุทธศาสตร์ทางการทหารปรับเข้าสู่สนามการเมือง แบบลับ ลวง พราง ชนิดที่นักการเมืองอาจหลงกลได้เพื่อกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง
“ขอให้มั่นใจนายทั้ง 3 คน มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง อ่านใจกันออก รู้ว่าแต่ละคนมีหน้าที่ต้องทำอะไร ส่วนความคิดในทางการเมืองเป็นคนละประเด็นกับความสัมพันธ์ ซึ่งทั้ง 3 คน เข้าใจกัน แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องร่วมมือกันทำให้จบ”
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า วันนี้ เวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศว่าจะไปเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งต่างรู้กันอยู่แล้วว่า พรรคนี้ให้การสนับสนุนนายกบิ๊กตู่ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว เพราะหากประกาศออกไปว่าสังกัดพรรคนี้ ในทางยุทธวิธีถือว่าเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว
“ทำแบบนี้ก็เท่ากับนายยอมให้รวมไทยสร้างชาติ ใช้ชื่อไปหาเสียง แล้วพรรคอื่นที่หนุนอยู่จะคิดอย่างไร คือเรียกว่าได้เพียง 1 พรรคแต่นายต้องเสีย 4-5 พรรคขั้วเดิมที่รู้ว่าหนุนอยู่ ทั้งพรรคพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา พรรคเล็กๆ แล้วถามว่ามันคุ้มหรือไม่ แต่ถ้านายรอจนวินาทีสุดท้าย ให้ทุกอย่างลงตัว สร้างผลงานให้ประชาชนพึงพอใจ แล้วค่อยตัดสินใจไม่ดีกว่าหรือ”
โดยเฉพาะมติศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ชี้ชัดว่า ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ไม่ได้มีข้อความขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ มาตรา 93 และมาตรา 94 ถือเป็นการเปิดทางในการเลือกตั้งครั้งหน้าใช้บัตร 2 ใบ และสูตรบัญชีรายชื่อหาร 100 ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว การใช้บัตร 2 ใบและสูตรหาร 100 บรรดาพรรคใหญ่ พรรคกลางจะได้เปรียบกว่าพรรคเล็กๆ และพรรคใหม่มาก รวมไปถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ จะอยู่ในจุดที่มีความเสี่ยงเมื่อเทียบกับ พปชร.
อีกทั้งการที่บิ๊กตู่ ไม่รีบแสดงตัวจะมีแต่ผลดี เพราะด้วยเงื่อนไขของกฎหมายหาก ส.ส.ไม่ว่าจะเป็นขั้วฝ่ายรัฐบาล หรือขั้วฝ่ายค้าน ที่คิดจะย้ายพรรคแต่ยังไม่แสดงตัว ต้องย้ายก่อนวันที่ 23 ธค.ที่จะถึงนี้ ตาม พ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดให้ผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งต้องเข้าเป็นสมาชิกพรรคอย่างช้าที่สุดไม่เกิน 90 วัน นับจนถึงวันเลือกตั้ง (กรณีครบวาระสภา) หรือ 30 วันนับจนถึงวันเลือกตั้ง (กรณียุบสภา)
“เพื่อความปลอดภัยของตัว ส.ส.เองก็ต้องเร่งย้ายพรรค เราต้องตามดูว่าการเมืองเขาจะวิ่งย้ายกันอย่างไร เพราะทุกคนคาดการณ์ว่า นายกฯ จะยุบสภาช่วงปลาย ม.ค.หรือไปถึงต้น ก.พ.หรือปลาย ก.พ.ก่อนหมดวาระ แต่จริงๆ นายกฯ อาจอยู่จนครบวาระคือ 23 มี.ค.2566 ก็ได้ เพราะถ้าใครที่ไม่ย้ายตามกฎหมายกำหนดก็ไม่มีสิทธิย้าย ต้องอยู่พรรคเดิมต่อไป”
แหล่งข่าวบอกอีกว่า สิ่งที่จะต้องติดตามและประเมินกันต่อไปคือ การที่บิ๊กป๊อก ไปพูดไว้ในงานสัมมนาการพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่นฯ ที่เชียงใหม่ และมีผู้บริหารของ อบต.กว่า 5,300 คน เข้าร่วม โดยมีถ้อยคำหนึ่งระบุว่า หมดไฟ อีกไม่กี่เดือนก็เป็นตาแก่ เป็นการส่งสัญญาณในทางการเมืองจริงหรือไม่? ว่าต้องการวางมือทางการเมือง หรือเป็นเพียงยุทธวิธีหนึ่งในการตรวจสอบพลังว่าคนเหล่านี้ยังหนุน 3 ป. หรือเปลี่ยนขั้วไปที่พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่
“มหาดไทยมีความสำคัญในการวางฐานในการเลือกตั้งมาก เพราะที่ผ่านมา ข้าราชการจะมองว่า รัฐมนตรี หรือนักการเมืองมาแล้วก็ไป ยิ่งถ้าบอกจะวางมือทางการเมืองก็จะสั่งการอะไรยาก เขาจะไม่ร่วมมือ บางทีเปลี่ยนไปช่วยฝ่ายตรงข้ามทันที แต่ถ้าจะถามกับทีมบิ๊กป๊อก จะบอกว่า ‘นายป๊อก’ เบื่อการเมืองจริงๆ แต่จะยุติจริงหรือไม่ต้องเป็นเรื่องของนาย 3 คนคุยกัน แต่พวกเราเชื่อว่านายมากัน 3 คน หากต้องไปคงไปพร้อมกันมากกว่านะ”
ขณะเดียวกัน บิ๊กตู่ยังมีเวลาในการตัดสินใจว่าจะไปต่อ หรือวางมือได้เช่นกัน คือ ต้องประเมินว่ามีกระแสสนับสนุน และกระแสต่อต้านทั้งตัวบิ๊กตู่ และพี่น้อง 3 ป.อย่างไรบ้าง เพราะทีมงานของบิ๊กตู่ ได้มีการมอนิเตอร์ โพลจากสำนักต่างๆ ตลอดเวลา รวมทั้งมีการประเมินจากโพลส่วนตัวที่มีทีทหารและตำรวจดำเนินการ และยังมีการประเมินไปถึงทุนในการเลือกตั้งที่สังคมต้องยอมรับว่าในการเลือกตั้งจะมีทุนเข้ามาเกี่ยวข้องเช่นกัน
แหล่งข่าวย้ำว่า เมื่อประกาศยุบสภาแล้วเราจะรู้ทันทีว่าบิ๊กตู่ จะไปต่อหรือไม่ โดยเฉพาะเวลานั้นจะชัดเจนว่า พปชร.จะเสนอชื่อ 3 คนเป็นนายกฯ โดยเสนอบิ๊กตู่ เป็นเบอร์ 1 บิ๊กป้อม เป็นเบอร์ 2 โดยที่ไม่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อยู่ พปชร.ใช่หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม
“ขอให้เชื่อมั่นไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่พี่น้อง 3 ป.ไม่แตกกันแน่ เพราะทุกคนรู้หน้าที่ตัวเองกันดี แต่เขาเลือกใช้วิธีการทางทหารแบบลับ ลวง พราง หลอกดูใจพรรคร่วมรัฐบาล ว่าถ้า 3 ป.แตกกัน พรรคเหล่านี้จะหันไปจับกับขั้วตรงข้ามหรือไม่ และพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนยังไว้ใจได้บ้าง เพราะต้องไม่ลืมว่ารัฐบาล และ 3 ป.มีอำนาจรัฐอยู่ในมือที่พร้อมจะซอยผู้ชนะบางคน และบางพรรคก็เกิดขึ้นได้”
ด้าน ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ชี้ว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อสูตรหาร 100 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ จะส่งผลให้พรรคเล็กไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมากนัก เพราะจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจะเป็นไปตามสัดส่วนความนิยมที่คนเลือกพรรค พรรคที่ได้ต่ำกว่า 5 เสียงจะไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ดังนั้น พรรคที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลจึงไม่จำเป็นต้องง้อพรรคเล็ก แต่พรรคเล็กต้องพยายามให้ตัวเองเป็นที่ต้องการโดยผนวกกับพรรคเล็กด้วยกันเพื่อให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น
คือถ้าเป็นสูตรหาร 100 ในอนาคตพรรคเล็กจะอยู่ยาก จะไปต่อลำบาก เพราะต้นทุนทางสังคมและความเชื่อมั่นมีน้อย การเล่นเกมต่อรองก็เป็นแค่การสร้างราคาทางการเมืองว่าตัวเองยังมีมูลค่า ทั้งที่จริงๆ แล้วที่ผ่านมาสังคมไทยมองว่าพรรคเล็กไม่มีความจำเป็นต่อการขับเคลื่อนทางการเมือง เพราะเรามองเรื่องความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมือง ที่สำคัญบทเรียนจากการเลือกตั้งปี 2562 พบว่าพรรคเล็กไม่ได้สร้างคุณูปการ หรือประโยชน์ให้แก่ประชาชนเลย มีเพียงการต่อรองผลประโยชน์และอำนาจให้ตัวเอง
ผศ.วันวิชิต กล่าวต่อว่า สำหรับพรรคขนาดกลางนั้น สูตรหาร 100 ไม่ได้ทำให้พรรคขนาดกลางใหญ่ขึ้นไปกว่าเดิม สิ่งสำคัญของความเป็นพรรคขนาดกลางคือ ต้องมีจำนวน ส.ส.เขตมากกว่า ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เป็นพื้นฐาน แต่ที่น่าสนใจคือพรรคขนาดกลาง หรือพรรคที่ได้ ส.ส. 30-50 ที่นั่ง จะมีความได้เปรียบสูงเพราะจะเป็นตัวแปรทางการเมืองในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลและมีอำนาจต่อรอง อย่างไรก็ดี ในอนาคตพรรคขนาดกลางมีโอกาสที่จะใหญ่ขึ้นได้ ถ้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแล้วได้นั่งกระทรวงที่สามารถสร้างเครือข่าย สร้างมวลชน มีงบประมาณที่สามารถลงไปในพื้นที่และพัฒนาโครงการที่ตนเองวางยุทธศาสตร์ได้ ในอนาคตมีโอกาสที่จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ถ้าเป็นพรรคขนาดกลางที่มาเพราะกระแส ถ้าเปลี่ยนจุดยืนบ่อย มุ่งรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองตัวเองมากกว่าจะขับเคลื่อนนโยบายตามที่ได้หาเสียงไว้ และไม่ตรงไปตรงมา พรรคเหล่านี้จะไปต่อยาก
ในส่วนของพรรคขนาดใหญ่นั้น ผศ.วันวิชิต มองว่า สูตรหาร 100 พรรคขนาดใหญ่และค่อนข้างใหญ่จะได้ประโยชน์ เช่น เพื่อไทย ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ เพราะพรรคเหล่านี้มี ส.ส.เขตเยอะ และในอนาคตอาจจะมีรวมไทยสร้างชาติอีกพรรคหนึ่ง โดยสูตรหาร 100 พรรคที่สามารถรวบรวม ส.ส.เขตไว้ให้ได้มากที่สุดย่อมได้เปรียบ ส่วนคะแนนปาร์ตี้ลิสต์เหมือนเป็นผลพลอยได้ที่ได้มาจากคะแนนนิยม เมื่อเลือก ส.ส.เขตแล้วก็อาจจะเลือกบัญชีรายชื่อด้วย
“พลังประชารัฐถือว่ายังได้ประโยชน์จากสูตรหาร 100 อยู่ ยุทธศาสตร์ของพลังประชารัฐคือการรักษา ส.ส.เขตไว้ เพื่อไม่ให้ ส.ส.เหล่านี้ไหลออกจากพรรค ส่วนคะแนนปาร์ตี้ลิสต์เป็นผลพลอยได้ อาจจะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์มาระดับหนึ่ง แต่คงไม่เยอะเหมือนปี 2562 ถ้าการเลือกตั้งครั้งหน้ากลุ่มของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังอยู่กับพลังประชารัฐ โดยไม่มีพรรครวมไทยสร้างชาติ เชื่อว่าทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ของพลังประชารัฐจะลดลง การแยกกันครั้งนี้จึงเป็นการแบ่งแยกในเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรักษาฐานคะแนนปาร์ตี้ลิสต์
สำหรับเพื่อไทยแม้จะได้ประโยชน์จากสูตรหาร 100 แต่ยังไม่แน่ว่าคะแนนนำโด่ง เพราะเลือกตั้งครั้งหน้าใช้บัตร 2 ใบ แยกกันระหว่างเลือก ส.ส.เขต กับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ดังนั้น บางคนอาจเลือก ส.ส.เขตของเพื่อไทย ส่วนปาร์ตี้ลิสต์เลือกลงคะแนนให้ก้าวไกล เพราะคนชั้นกลางที่ชอบพรรคก้าวไกลก็มีไม่น้อย ซึ่งการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแบบแบ่งกันพรรคละคะแนนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นวิธีคิดของคนในเมือง หรือบางพื้นที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตไม่แข็งพอ แต่คนชอบพรรคก็ได้
ส่วนพรรคที่เสียเปรียบคือ พรรคก้าวไกล ซึ่งจำนวน ส.ส.จะลดลงจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ซึ่งเลือกตั้งในนามพรรคอนาคตใหม่ ที่คำนวณปาร์ตี้ลิสต์จาก ส.ส.พึงมี โดยคาดว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคก้าวไกลน่าจะลดไปหลายสิบที่นั่ง”
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4jv