xs
xsm
sm
md
lg

จับตาศาล รธน.ชี้ขาด ‘กฟผ.’ ผลิตไฟฟ้าไม่ถึง 51% ขัด รธน.หรือไม่? หวั่นกระทบจ่อประมูลอีก 5,203 เมกะวัตต์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จับตาคำวินิจฉัยของศาล รธน. เรื่องกำลังผลิตไฟฟ้าของรัฐลดต่ำกว่า 51% เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 56 วรรค 2 หรือไม่? แวดวงพลังงานลือสนั่น ศาล รธน.จะชี้ขาดในเดือน ธ.ค.นี้ ด้วยเสียงข้างมากเห็นว่าไม่ขัด รธน. ส่งผลให้แผนพัฒนาพลังงานเดินหน้าฉลุย ด้าน ‘รสนา โตสิตระกูล’ มั่นใจขัด รธน.แน่ แจงหากทำเช่นนี้ต่อไปถือเป็นการ “แปรรูปโดยพฤตินัย” ให้เอกชนมีสิทธิเหนือ กฟผ. ถามกลับซื้อไฟแบบนี้พร้อมข่าวลือเกี่ยวกับเมกะวัตต์ละล้านจริงหรือไม่? ขณะเดียวกัน หากศาล รธน.มีมติเสียงส่วนใหญ่ขัด รธน.จะมีผลต่อการประมูลรับซื้อไฟฟ้า 5,203 เมกะวัตต์ ที่จะประกาศประมูลปลายปีนี้ และตัดสิน ม.ค.ต้องทบทวนใหม่ เผยสูตรเบื้องต้น ‘ต้นทุน-กำไร-ขาย’ ระหว่าง กฟผ.ผลิตเองกลับรับซื้อแบบไหนส่งผลดีประชาชนใช้ไฟถูกลง!

อีกหนึ่งประเด็นร้อนที่สังคมเกาะติดกรณีคำร้องของนายสุทธิพร ประทุมเทวาพิทักษ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 51 ว่ากระทรวงพลังงานกำหนดยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงาน (พ.ศ.2559-2563) และแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 ทำให้สัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าของรัฐลดต่ำกว่าร้อยละ 51 เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 56 วรรค 2 หรือไม่?

อย่างไรก็ดี หลังศาล รธน.รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้วเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาล รธน.2561 มาตรา 27 วรรค 3 สั่งการให้ รมว.พลังงาน ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กฟผ. และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำความเห็นตามประเด็นที่ศาล รธน.กำหนด พร้อมส่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรพร้อมรับรองสำเนาที่ถูกต้องส่งให้ศาล รธน.ต่อไป

“วันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายที่ทุกหน่วยงานต้องส่งเอกสารชี้แจง เพื่อให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดภายใน 120 วัน ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลปี 2561”


แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า ประเด็นเรื่องกำลังผลิตของ กฟผ.ต่ำกว่า 51% ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญปี 60 หรือไม่นั้น กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ และตีความในแวดวงคนพลังงานทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งในมุมกฎหมาย ในด้านวิศวกรรม ในทางเศรษฐศาสตร์ และทางสังคม ทำให้หลายฝ่ายพยายามสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องในศาล รธน. หรือในกระบวนการยุติธรรม พร้อมนำมาวิเคราะห์และประมวลความเห็นในแง่มุมต่างๆ ว่าขัดหรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ รวมทั้งผลที่จะเกิดอะไรขึ้นตามมา

“51% ขัดหรือไม่ขัดกำลังได้รับความสนใจเหมือนช่วงที่ศาล รธน.ต้องวินิจฉัยการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของบิ๊กตู่ ทำให้มีเสียงลือกันในวงการพลังงานว่า ศาล รธน.จะตัดสินในช่วงกลางหรือปลายเดือนธันวาคมนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการลือกันไปอีกว่าเสียงชี้ขาดจะไม่ต่างจากคดีบิ๊กตู่ 8 ปี คือเสียงข้างน้อยเห็นว่าต่ำกว่า 51% ขัดรัฐธรรมนูญ”

แหล่งข่าวบอกอีกว่า หากจะถามว่าคนในวงการพลังงานมีความรู้สึกประหลาดใจหรือไม่หากคำวินิจฉัยออกมาอย่างข่าวลือ ก็ได้รับคำตอบว่าไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะถ้าติดตามข่าวจะเห็นว่าคำชี้แจงของหน่วยงานภาครัฐที่ชี้แจงออกมานั้น พบว่า การตีความกฎหมายจะแตกต่างจากการพิจารณาคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งในมาตรา 56 ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นเมื่อพิจารณาข้อร้องเรียนของผู้ร้อง นั้นเป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องสัดส่วนการผลิตพลังงาน ไม่ใช่โครงสร้าง แต่มาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 กล่าวถึงโครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่สัดส่วนการผลิตพลังงาน

ดังนั้น การดำเนินการของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานของ กฟผ.หรือโรงไฟฟ้าอื่นไม่ขัดกับบทบัญญัติดังกล่าว แต่เป็นการเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้า และส่งไฟฟ้ามาให้รัฐรวบรวมและจัดให้ประชาชนอย่างทั่วถึง

อีกทั้งยังทำให้โครงสร้างและโครงข่ายของรัฐยังคงเป็นของรัฐ ในส่วนการดำเนินการของเอกชนก็เป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนอยู่แล้วเพียงแต่เอกชนเป็นผู้ผลิตไฟฟ้า และรัฐเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าหรือซื้อบริการของเอกชนเท่านั้น รัฐไม่ได้จำหน่ายโครงสร้างหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงานและแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าไม่ได้กระทบโครงสร้างหรือโครงข่ายพื้นฐานใดๆ

“ข้อมูลของ กกพ.ที่ส่งไปศาล รธน.ก็ยิ่งไปสนับสนุนคำตอบของกฤษฎีกาชัดว่าไม่ขัด สิ่งที่ประชาชนกังวลเรื่องอัตราค่าไฟฟ้าจะแพงและเป็นภาระของประชาชนหากรัฐไม่ได้เป็นเจ้าของระบบการผลิต 51% เพราะข้อเท็จจริงความมั่นคงของอัตราค่าบริการค่าไฟฟ้าขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยคือ เรื่องการผลิต สายส่ง โครงสร้างการผลิตเหมาะสมหรือไม่ ข้อ 2 ขึ้นอยู่กับการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ และวิธีการประมูล (Bidding) ข้อ 3 อยู่ที่ค่าบริการสะท้อนถึงต้นทุนในระบบไฟฟ้า”




ขณะที่กลุ่มวิศวกรใน กฟผ. กล่าวถึงข้อสรุปจากเอกสารที่มี ‘มือดี’ กระจายไปทั่วโดยไม่รู้ว่ามีแหล่งผลิตจากที่ใดและใครเป็นผู้จัดทำ แต่ข้อความที่ระบุนั้นตรงกับความเห็นของหน่วยงานรัฐที่มีต่อสัดส่วนการผลิตที่ต่ำกว่า 51% นั้น แสดงให้เห็นว่าสัดส่วนการผลิตของ กฟผ.ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในปัจจุบัน ซึ่ง กฟผ.มีกำลังผลิตจากตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน ที่ กฟผ.จัดทำไว้ 34.85% จากกำลังผลิตรวมทั้งระบบ 48,571.51 เมกะวัตต์ (ดูตารางประกอบ) ทั้งนี้เพราะภาครัฐบริหารจัดการไม่ให้โครงสร้างและโครงข่ายสาธารณูปโภคมีการลดสัดส่วนการเป็นเจ้าของของภาครัฐแต่อย่างใด

พูดสั้นๆ คือได้ดำเนินการไม่ขัดต่อ รธน. ม.56 แน่นอน!

สิ่งที่วิศวกรของ กฟผ.รู้สึกติดค้างในใจเพราะคำตอบที่หน่วยงานรัฐระบุไว้นั้นทำให้พนักงาน กฟผ.และประชาชนที่ใช้ไฟฟ้าต้องคิดตามก็คือ

1.แม้สัดส่วนกำลังผลิตของ กฟผ.ลดลงเหลือเพียง 1% ก็ยังไม่ขัดต่อ รธน. เพราะกำลังผลิตไม่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างหรือโครงข่ายสาธารณูปโภคไฟฟ้าตาม ม.56 ของรัฐธรรมนูญปี 2560

2.ที่ผ่านมาภาครัฐไม่ได้มีแนวนโยบายใดๆ ที่จะทำให้เกิดการลดสัดส่วนของโครงสร้างหรือโครงข่ายสาธารณูปโภคไฟฟ้าเลย เพราะรัฐยังคงเป็นเจ้าของ 100%

3.หากจะมีการขาย หรือแปรรูป กฟผ. โครงสร้างหรือโครงข่ายไฟฟ้าให้เอกชนก็ยังสามารถทำได้หากขายไปร้อยละ 49%

“หากศาลเห็นว่าคำชี้แจงของภาครัฐถูกต้อง ศาลจะยกคำร้องของผู้ร้อง เพราะการกระทำของรัฐไม่ขัดต่อ รธน.และคำวินิจฉัยนี้จะผูกพันทุกองค์กร ดังนั้น หากรัฐต้องการแปรรูปหรือขายโครงสร้างและโครงข่ายได้ 49% สำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อ หรือจะสรุปให้ชัดๆ คือรัฐขาย PPA ที่ กฟผ.มีกับเอกชนทั้งหมดได้ 49% และกำลังผลิตทั้งหมดของรัฐตามแผน PDP โดยได้ผลประโยชน์เข้ารัฐย่อมทำได้ใช่หรือไม่”


โดยกลุ่มวิศวกรของ กฟผ.ยังอยากชวนประชาชนคิดตามไปด้วยก็คือ คำว่าโครงสร้างสาธารณูปโภค ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึงการบริการสาธารณะเพื่ออำนวยประโยชน์ให้แก่ประชาชนในสิ่งบริโภค ได้แก่ ไฟฟ้า ประปา รถไฟ ดังนั้น ในการจัดตั้ง กฟผ.ขึ้นมานั้นมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1.ผลิตไฟฟ้า 2.จัดหา เพราะในช่วงที่จัดตั้งยังไม่มีโรงไฟฟ้าเอกชนในประเทศไทย ต้องจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศเข้ามา 3.ส่งและจำหน่ายไฟฟ้า (ให้ไฟฟ้านครหลวงและไฟฟ้าภูมิภาค)

“พวกเราเชื่อว่าถ้าตีความจากพจนานุกรมและวัตถุประสงค์การจัดตั้ง กฟผ. ประเด็นเรื่องการผลิตหรือกำลังผลิตน่าจะเข้าข่ายตามบทบัญญัติ รธน. เพรากำลังผลิตคือส่วนหนึ่งของโครงสร้างสาธารณูปโภคไฟฟ้า ที่เราอยากให้ศาล รธน.ได้พิจารณาว่า ถ้าน้อยกว่า 51% ขัด รธน.หรือไม่”

ส่วนคำว่าอำนวยประโยชน์ ในพจนานุกรมและคำว่าไม่เป็นภาระเกินสมควรแก่ประชาชนในรัฐธรรมนูญปี 2560 คือประเด็นสำคัญ เพราะถ้า กฟผ.มีสัดส่วนที่ 51% สัดส่วนที่ได้เพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่ในปัจจุบันคือ 34% ซึ่งหากเกิดวิกฤตรัฐจะสามารถนำส่วนที่เกินนี้ไปบรรเทาความเดือดร้อนค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชนได้ด้วย

“ถ้าภาครัฐยังคงสัดส่วน 51% ไว้ได้จะเป็นความยั่งยืนและเพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้าซึ่งเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนด้วย”

นอกจากนี้ กลุ่มวิศวกรไฟฟ้า กฟผ. บอกอีกว่า สิ่งที่ประชาชนควรรับรู้คือหลักการคิดค่าไฟฟ้าแบบเบื้องต้น
1.ต้นทุนของเอกชน+กำไร คือต้นทุน ของ กฟผ.
2.ราคาขายไฟฟ้าของ กฟผ.คือกำไร กฟผ.+ค่าดำเนินการ+ต้นทุนเอกชน+กำไรของเอกชน
3.ราคาขายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) คือกำไรของ กฟน. กฟภ.+ค่าดำเนินการ+ราคาขาย กฟผ.

“ถ้า กฟผ.ผลิตเองก็ตัดกำไรเอกชนออกไป การขายไฟฟ้าให้ กฟน.และ กฟภ.จะถูกลง ประชาชนได้ใช้ไฟที่ถูกลงเช่นกัน

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา
ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา ในฐานะอนุกรรมการบริการสาธารณะพลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรผู้บริโภค ระบุว่า การที่ กฟผ.ผลิตไฟฟ้าน้อยกว่า 51% โดยผลิตเองแค่ประมาณ 32% และรับซื้อจากเอกชนและซื้อจากประเทศรวมแล้วถึง 68% นั้นขัดรัฐธรรมนูญแน่นอน เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 56 วรรคสอง ระบุว่า โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนเพื่อความมั่นคงของรัฐ ซึ่งรัฐจะทำประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือทำให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ 50 มิได้

ซึ่งการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้ กฟผ.ซื้อไฟฟ้าจากเอกชนในปริมาณที่มากกว่าที่ กฟผ.ผลิตเอง โดยให้เอกชนสามารถขึ้นราคาค่าไฟฟ้าได้แบบไม่มีลิมิต อีกทั้งยังรับประกันการขาดทุนให้เอกชน โดยมี “ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า” หรือ Take or Pay ซึ่งกำหนดให้ กฟผ.ต้องจ่ายเงินให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่เป็นคู่สัญญาแม้จะไม่มีการซื้อไฟฟ้าก็ตาม ซึ่งตรงนี้ถือเป็นการ “แปรรูปโดยพฤตินัย” เพราะเป็นการให้เอกชนมีสิทธิเหนือ กฟผ.

“ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนมีสิทธิเหนือ กฟผ. อย่างน้อย 3 ประการ คือ 1) สิทธิในการผลิตไฟฟ้าในปริมาณที่มากกว่า 2) สิทธิในการกำหนดราคาไฟฟ้าที่ขายให้ กฟผ. โดยเอกชนสามารถขายไฟฟ้าในราคาที่สูงกว่าราคาไฟฟ้าที่ กฟผ.ผลิตเอง ราคาค่าไฟฟ้าที่ กฟผ.ผลิตเองอยู่หน่วยละ 2 บาทกว่า แต่ราคาค่าไฟฟ้าที่เอกชนขายให้ กฟผ. สูงถึงหน่วยละเกือบ 4 บาท อีกทั้งเอกชนสามารถปรับขึ้นราคาได้แบบไม่มีลิมิต และ 3) สิทธิในการขายไฟฟ้าแบบไม่มีความเสี่ยง รัฐได้ทำให้สิทธิเหล่านี้ตกเป็นของเอกชน ในเมื่อเอกชนมีสิทธิเหนือ กฝผ.จะอ้างว่า กฟผ.ยังคงเป็นเจ้าของอยู่ได้อย่างไร”

น.ส.รสนา ชี้ว่า หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าการที่ กฟผ.ผลิตไฟฟ้าน้อยกว่า 51% เป็นสิ่งที่ผิด กฟผ.จะผลิตไฟฟ้าเองมากขึ้น และซื้อไฟฟ้าจากเอกชนน้อยลง ต้นทุนค่าไฟฟ้าจะถูกลงโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้ประชาชนจ่ายค่าไฟในราคาที่ถูกลง เพราะส่วนต่างค่าไฟฟ้าของ กฟผ.กับค่าไฟฟ้าที่ซื้อจากเอกชน ซึ่งถูกนำมาบวกเป็นค่า Ft จะลดลงทันที ช่วยให้ประชาชนมีภาระค่าใช้จ่ายลดลง

หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าไม่ผิด จะเป็นการเปิดทางให้ กพช.กำหนดนโยบายให้ กฟผ.รับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ หากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนขึ้นราคาค่าไฟฟ้าที่ขายให้ กฟผ. มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนต่างค่าไฟฟ้าของ กฟผ.กับค่าไฟฟ้าที่ซื้อจากเอกชน ซึ่งถูกนำมาบวกเป็นค่า Ft จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภาระค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายจะเพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด สังคมจะเกิดคำถามว่านี่คือการบังคับให้ประชาชนต้องควักเนื้อเพื่อสร้างกำไรให้บริษัทเอกชนใช่หรือไม่?

“ปัจจุบัน กฟผ. มีปริมาณสำรองไฟฟ้าเกินกว่าความต้องการถึง 54% ทั้งที่ปกติการตั้งสำรองจะอยู่ที่ 15% เท่านั้น ซึ่งค่าใช้จ่ายของไฟฟ้าสำรองจะถูกแปลงออกมาเป็นค่า Ft และถูกนำมาบวกรวมเข้าไปในค่าไฟฟ้าของประชาชน ซึ่งเอกชนยิ่งขายไฟฟ้าให้ กฟผ.มาก ก็ยิ่งได้กำไรมาก มีคนตั้งคำถามว่าการที่รัฐมนตรีที่กำกับดูแลพลังงานยังเซ็นสัญญาซื้อไฟไปเรื่อยๆ เนี่ย ข่าวลือที่ว่าคนที่เซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าได้เมกะวัตต์ละล้านนั้นจริงหรือไม่?” น.ส.รสนา กล่าว


แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุด้วยว่า จะมีการประกาศประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอีกจำนวน 5,203 เมกะวัตต์ ในช่วง 2566-2573 โดยมีอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าเป็นเวลา 20-25 ปี ประกอบด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน พลังงานลมและก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) ซึ่งได้มีระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 27 ก.ย.2565 ที่ผ่านมา

“คาดว่าจะประกาศ TOR ได้ในเดือนนี้ และยื่นประมูลภายในธันวาคม และตัดสินใจในเดือน ม.ค.-ก.พ.2566 ซึ่งเป็นการประมูลทั้งก้อน 5,203 เมกะวัตต์ ถ้าใครได้กินยาวแน่ๆ เพราะสัญญารับซื้อไฟฟ้าถึง 25 ปี อีกทั้งราคารับซื้อถูกใจคนในแวดวงพลังงานมากเพราะเป็นราคาที่สูงและเป็นการกำหนดราคาตายตัวไปถึง 25 ปี ส่วนคนใน กฟผ.วิเคราะห์ระเบียบที่ออกมาแล้วทุกเงื่อนไขแต่ละประเภท รู้แล้วว่า 5,203 เมกะวัตต์ ใครบ้างมีสิทธิคว้าชัยชนะ”


แต่สิ่งที่น่าติดตามคือ หากศาล รธน.ตัดสินชี้ขาดกำลังผลิตไฟฟ้าของรัฐลดต่ำกว่า 51% เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 56 วรรค 2 อาจจะทำให้การประมูล 5,203 เมกะวัตต์ต้องถูกทบทวนกันใหม่ แต่ถ้าศาล รธน.ชี้ว่าไม่ขัด รธน.จะยิ่งทำให้สัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าของรัฐลดต่ำลงไปกว่าเดิมอีก ขณะที่ภาคเอกชนจะมีสัดส่วนการผลิตที่สูงขึ้น

“ถ้าไม่มีการเพิ่มกำลังผลิตให้ กฟผ.ในอนาคต บทบาท กฟผ.จะเป็นเพียงผู้จัดหาและขายให้ กฟน.และ กฟภ.เท่านั้น ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง กฟผ. แต่ทุกฝ่ายต้องเคารพการชี้ขาดของศาล รธน.เป็นสำคัญ”

จากนี้ไปต้องจับตาดูว่าคำวินิจฉัยของศาล รธน.เรื่องกำลังผลิตไฟฟ้าของรัฐลดต่ำกว่า 51% เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 56 วรรค 2 หรือไม่? พร้อมข่าวลือเสียงข้างน้อย 6 ต่อ 3 ‘ขัด รธน.’ จะเป็นเพียงข่าวลือจริงหรือไม่!?

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่

Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH



กำลังโหลดความคิดเห็น