บิ๊กมหาดไทย ระบุภาษีลาภลอยคงไม่เกิดในรัฐบาลบิ๊กตู่ เชื่อ ‘โอกาส-เวลา’ ไม่เหมาะสมทั้งในด้านเศรษฐกิจ-การเมือง แม้ว่า ‘คลัง’ จำเป็นต้องจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นก็ตาม หวั่นหากนำมาใช้ ‘บิ๊กตู่-พปชร.’ ถูกถล่มแน่ กระทบเลือกตั้งครั้งหน้า ด้าน ‘โสภณ พรโชคชัย’ ประธาน AREA แจงเป็นแค่การโยนหินถามทาง เนื่องเพราะหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บไม่ชัดเจน ขณะที่บริษัทอสังหาฯ ค้านหัวชนฝา ไม่สมเหตุสมผล แถมโครงการบ้าน-คอนโดฯ สร้างเสร็จขายไม่ออกกว่า 6 แสนยูนิต แต่ยอมรับสาธารณูปโภครัฐผุดที่ไหนราคาที่ดินเพิ่มสูง เช่น เส้นทางบีทีเอส-ใต้ดินย่านสยามสแควร์ จาก ตร.ว.ละ 4 แสน เพิ่มเป็น 3.5 ล้านบาท รัชดาภิเษก-ห้วยขวาง จาก ตร.ว.ละ 2 แสน เป็น 1 ล้านบาท!
จากกรณีที่กระทรวงการคลังมีแนวคิดที่ปัดฝุ่นนำกฎหมายภาษีลาภลอย หรือ Windfall Tax มาใช้ หลังจากที่มีการริเริ่มในสมัยที่นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อปลายปี 2560 จนกระทั่งได้มีการยกร่างขึ้นมา และคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างกฎหมายไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการสานต่อ ดังนั้นกระทรวงการคลังจึงได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปศึกษาและพิจารณาใหม่อีกครั้ง
รายงานข่าวจากกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า โอกาสที่จะนำภาษีลาภลอยมาบังคับใช้ในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่น่าจะเกิดขึ้นแม้ว่ารัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องเร่งจัดเก็บภาษีเพื่อนำมาใช้ในการบริหารประเทศก็ตาม แต่ต้องดูความเหมาะสมและความเป็นไปได้ โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักและภาคเอกชนต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ซึ่งถ้ามองย้อนไปดูจะพบว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่เข้าเงื่อนไขได้ผลประโยชน์จากการเกิดขึ้นของระบบสาธารณูปโภคของรัฐตัดผ่านจะต้องเสียภาษีลาภลอย วันนี้ธุรกิจเหล่านี้ต้องประสบปัญหาเช่นกัน และคอนโดมิเนียมหลายแห่งขายไม่ออกมีสภาพร้างเกิดขึ้น
“ถ้ามองในมุมการเมือง รัฐบาลบิ๊กตู่ ยังไม่นำมาใช้แน่ ถ้าใช้ตอนนี้บิ๊กตู่ และพรรคพลังประชารัฐถูกถล่มแน่ แล้วใครจะมาเลือกพรรคนี้ คนกำลังทุกข์ยาก กำลังเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจยังจะมาซ้ำเติมกันอีก”
ในความเป็นจริงแล้วกฎหมายตัวนี้ต้องยอมรับว่าเป็นกฎหมายที่ดีที่จะใช้ในการจัดเก็บภาษีเข้ารัฐซึ่งพิจารณาจากฐานมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับสูงขึ้น จากการที่รัฐลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบิน รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ ไฮเวย์ และเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ส่งผลให้ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณรัศมีโครงการสาธารณูปโภคปรับราคาสูงขึ้นตามมา โดยกำหนดเพดานภาษีไว้ไม่เกิน 5% ของมูลค่าที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น เบื้องต้นมีการกำหนดรัศมีของผู้ที่มีที่ดินหรืออสังหาฯ ในรัศมี 5 กิโลเมตร
“ต้องไปดูรายละเอียดของกฎหมายอีกที สศค.จะมีการปรับอะไรบ้าง เพราะในรัศมี 5 กม.ที่ว่าได้ประโยชน์นั้นเป็นการลงทุนสร้างสนามบิน ถ้าเป็นสาธารณูปโภคอย่างอื่น เช่น รถไฟฟ้าจะขีดรัศมีที่ 2.5 กิโลที่เข้าข่ายเสียภาษีลาภลอย จริงๆ กฎหมายตัวนี้ต่างประเทศเขาใช้กันเพราะเป็นกฎหมายที่มองไปในอนาคต เมื่อคุณได้ประโยชน์จากรัฐ ก็ควรแบ่งผลประโยชน์ให้รัฐด้วย ซึ่งประเทศไทยมีการคิดร่างเป็นกฎหมายมาหลายปี แต่ยังไม่มีการนำมาใช้”
แหล่งข่าวบอกอีกว่า ก่อนหน้านี้คนนิยมไปซื้อที่ดิน บ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมไว้เก็งกำไร แต่ถ้ากฎหมายตัวนี้มีผลบังคับใช้เมื่อไหร่ การซื้อขายเพื่อเก็งกำไรจะซบเซาลงไปทันที เรียกว่าทุกฝ่ายได้รับผลกระทบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ นักเก็งกำไร และผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยแท้จริงหากต้องการขายออกไปได้ส่วนต่างต้องเสียภาษีเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เราไปซื้อคอนโดมิเนียมในรัศมีที่ถูกกำหนดไว้ยูนิตละ 3 ล้านบาท แต่ถ้าเราไปขายได้ในราคา 4 ล้านบาท รัฐจะไปจัดเก็บ 5% ในส่วน 1 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้น
“ถ้าจะถามว่ารัฐใช้ฐานข้อมูลในการจัดเก็บส่วนที่เพิ่มขึ้นหรือภาษีลาภลอยมาจากไหน ต้องบอกว่าข้อมูลทั้งหมด กรมที่ดินมีพร้อม จากทะเบียนที่ดิน ดูจากสัญญาซื้อขาย สัญญาที่ดินก็มี ซื้อเท่าไหร่ ขายเท่าไหร่”
อย่างไรก็ดี หากภาษีลาภลอยถูกนำมาใช้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ นักเก็งกำไรต่างๆ จะหายไปและข้อมูลที่สำนักงานที่ดินจะจัดเก็บต่อไปจะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องจากการซื้อขายที่เกิดขึ้น เพราะคนเก็งกำไรจะพูดความจริงหรือ เลือกที่จะแจ้งข้อมูลเท็จเพื่อให้เสียภาษีน้อยที่สุด เช่น ซื้อคอนโดฯ มายูนิตละ 3 ล้าน ปล่อยขายไปที่ 4 ล้านบาท จะแจ้งว่าปล่อยขายไป 3.1 ล้านบาท ซึ่งเขาจะเสียภาษีลาภลอยในส่วนของ 1 แสนบาทที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
“ในเรื่องของรัศมีที่รัฐขีดไว้ว่าจะได้อานิสงส์จากโครงการต้องพิจารณากันให้ดี ถ้าขีดวงกว้างเกินไปคนจะเดือดร้อน ซึ่งมีคำถามตามมาว่าในรัศมี 1 กิโลเป็นไปได้ที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการแต่ที่ลึกไปถึง 4- 5 กิโลนั้นเขาได้ผลประโยชน์อะไรกับสิ่งที่รัฐลงทุน เรื่องนี้ต้องอธิบายกันให้ชัดเจน”
ด้าน นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) บอกว่าการมีโครงการสาธารณูปโภคของรัฐเกิดขึ้นทำให้ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจริง ตัวอย่างเช่นการเกิดขึ้นของโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีลม และสายสุขุมวิท บวกกับการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าใต้ดินในปี 2547 ที่สามารถเชื่อมต่อกันได้
จากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2537 ที่มีการริเริ่มโครงการของบีทีเอส กระทั่งมีการเปิดใช้ จนถึงปัจจุบันนี้พบว่า ที่ดินย่านเยาวราช จากราคา ตร.ว.ละ 700,000 บาท คาดว่าสิ้นปี 2565 จะขยับขึ้นเป็น 1,750,000 บาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นปีละ 3.3% ขณะที่สยามสแควร์ จาก ตร.ว.ละ 400,000 บาท ขยับขึ้นเป็น 3,500,000 บาท เพิ่มขึ้นปีละ 8.1% สีลม จาก ตร.ว.ละ 450,000 บาท ขึ้นเป็น 2,500,000 บาท เพิ่มขึ้นปีละ 6.3%
สำหรับเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินพาดผ่านถนนรัชดา-ห้วยขวาง จากเดิม ตร.ว.ละ 200,000 บาท คาดสิ้นปี 2565 ขยับขึ้นเป็น 1,000,000 บาท เพิ่มขึ้นปีละ 5.9% ขณะที่พระราม 9-ห้วยขวาง จากราคา ตร.ว.ละ 165,000 บาท ขยับขึ้นเป็น 550,000 บาท เพิ่มขึ้นปีละ 4.4%
ที่น่าสนใจเส้นสุขุมวิท-เอกมัยที่รถไฟฟ้า BTS เปิดใช้ จากเดิม ตร.ว.ละ 220,000 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 1,790,000 บาท เพิ่มขึ้นปีละ 7.8% (ดูตารางการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินประกอบ)
ส่วนกระแสข่าวที่ว่ากระทรวงการคลังจะจัดเก็บภาษีลาภลอยนั้น นายโสภณ ย้ำว่า ประเด็นนี้เป็นแค่การโยนหินถามทางเท่านั้น เนื่องเพราะภาษีตัวนี้ดูไม่สมเหตุสมผล แม้ว่าหลักการนั้นจะดี ที่ใครได้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นควรที่จะเสียภาษี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ารัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บซึ่งขึ้นอยู่กับการประเมิน จะอ้างอิงราคาอะไรประเมิน หรือราคาซื้อขายจริง
“คือราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นนั้น เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ได้มีการประเมินหรือเปล่า คือต้องมีฐานราคาที่เป็นธรรมก่อน เช่น ปัจจุบันราคาซื้อขายในตลาดอยู่ที่ตารางวาละ 3.5 ล้านบาท แต่ราคาประเมินของหน่วยงานรัฐได้ล้านเดียว ตอนนี้ผู้ประกอบการเขาก็งงว่าคิดจากฐานอะไรกันแน่ในการจัดเก็บ ไม่ใช่ประเมินส่งเดช”
ประธานศูนย์ข้อมูล AREA บอกอีกว่า การเก็บภาษีลาภลอยนั้น เท่าที่มีการพูดคุยกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้งในตลาดและนอกตลาดต่างก็ค้านหัวชนฝา เพราะปัจจุบันบริษัทอสังหาฯ ประสบปัญหาในการขาย สร้างเสร็จแล้วขายไม่ออกจำนวนมาก บ้านร้าง อาคารร้าง เยอะมาก ยังจะมาคิดเรียกเก็บภาษีกันอีก แบบนี้ลูกค้าก็หายกันไปหมด
“รัฐต้องกำหนดกฎเกณฑ์และต้องมีราคาอ้างอิงชัดเจนค่อยมาจัดเก็บภาษีลาภลอย เพราะเวลานี้บ้าน คอนโดฯ สร้างเสร็จแล้วตามเส้นทางการพัฒนา แต่ไม่มีคนอยู่ ขายไม่ออก 620,000 ยูนิต ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นคอนโดมิเนียม”
ดังนั้นหากรัฐมีการบังคับใช้ภาษีลาภลอย ในเวลานี้คาดว่ากระแสต่อต้านรัฐบาลบิ๊กตู่ และพรรคพลังประชารัฐน่าจะรุนแรง ส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน!
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4jvNjo/