“อัจฉริยะ” เดินเกมเหนือชั้น ส่ง 2 สำนวน พลิก “คดีแตงโม” มั่นใจหากพิสูจน์ได้ว่า “แซน” ให้การเท็จเรื่องแตงโมตกท้ายเรือ หรือ “ดีเอสไอ” ชี้ว่าเป็น “ฆาตกรรม” สำนวนที่ สภ.นนท์ ส่งอัยการในข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายก็ไร้ความหมาย เตือนหากคดีมีปัญหา ตำรวจ-อัยการต้องรับผิดชอบ เผยยังมีหลักฐานใหม่อีกเพียบ ด้าน “ทนายอู๋” ชี้เป็นความชาญฉลาดในการตั้งกระบวนทัพ เลือกเปิด “คดีใหม่” ง่ายกว่าตามแซะคดีในมือ สภ.นนท์
เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งสำหรับการเคลื่อนไหวของ “นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ที่เดินหน้าทวงความเป็นธรรมในคดีการเสียชีวิตของ "แตงโม” ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ ดาราสาวชื่อดัง โดยล่าสุด นายอัจฉริยะ ได้เข้าเข้ายื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้รับคดีการเสียชีวิตของแตงโม เป็นคดีพิเศษ พร้อมทั้งได้เดินทางไปให้ปากคำต่อตำรวจ สภ.พระประแดง ในคดีแจ้งความ “แซน” วิศาพัช มโนมัยรัตน์
ซึ่งหลายฝ่ายอยากรู้ว่าแม้สังคมจะเคลือบแคลงใจต่อการทำคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ในเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นนทบุรีได้สรุปสำนวนคดีการเสียชีวิตแตงโม ส่งให้อัยการจังหวัดนนทบุรีแล้ว โดยตั้งข้อหา นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือปอ นายไพบูลย์ ตรีกาญจนานนท์ หรือโรเบิร์ต นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน ว่า กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และตั้งข้อหา นายนิทัศน์ กีรติสุทธสาธร หรือจ๊อบ และ น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือกระติก ในข้อหาทำลายหลักฐานไปแล้ว การเคลื่อนไหวของนายอัจฉริยะ จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไม่?
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ชี้แจงถึงข้อสงสัยดังกล่าว ว่า การดำเนินการครั้งนี้มีช่องที่จะสามารถนำตัวคนผิดมาดำเนินคดีได้ โดยการไปยื่นหลักฐานในคดีการเสียชีวิตของแตงโม ต่อดีเอสไอเพื่อขอให้รับเป็นคดีพิเศษนั้น ถือเป็นการยื่นเรื่องในคดีใหม่คือ “คดีฆาตกรรม” เพื่อให้ดีเอสไอดำเนินคดีต่อคนบนเรือในข้อหาร่วมกันฆ่า จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหาเรื่องการฟ้องซ้ำกับคดีที่ สภ.นนทบุรีส่งสำนวนให้อัยการ ซึ่งทางดีเอสไอชี้แจงว่ามีอำนาจในการสืบสวน หากสืบสวนแล้วเชื่อได้ว่าแตงโม ไม่น่าจะตกบริเวณท้ายเรือ ไม่ใช่คดีประมาท ก็จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีพิเศษพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งถือเป็นอีกคดีหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับคดีประมาทที่ สภ.นนทบุรีแจ้งข้อหาคนบนเรือ และส่งเรื่องให้อัยการจังหวัดนนทบุรีไปแล้ว
ทั้งนี้ หากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษจะส่งผลต่อการตรวจสอบการทำหน้าที่ของตำรวจ สภ.นนทบุรี ในการทำคดีการเสียชีวิตของแตงโม ซึ่งตนได้ร้องต่อกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ให้ดำเนินคดีต่อตำรวจชุดดังกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วด้วย
ส่วนกรณีที่ตนได้เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ที่ สภ.พระประแดง ในคดีที่ “แซน” ให้การเท็จว่าแตงโม ตกท้ายเรือนั้นเป็นคดีที่ตนได้แจ้งความดำเนินคดีไว้ก่อนหน้านี้ แต่ไม่สะดวกไปให้ปากคำที่ สภ.นนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ จึงเข้าให้ปากคำที่ สภ.พระประแดง ซึ่งเป็นพื้นที่ในการกำกับดูแลของตำรวจภูธรภาค 1 เหมือนกัน ทั้งนี้ หากพิสูจน์ได้ว่าแซน ให้การเท็จก็จะส่งผลให้คดีการเสียชีวิตของแตงโม ซึ่งตำรวจ สภ.นนทบุรีสรุปสำนวนว่าคนบนเรือประมาทเป็นเหตุให้แตงโม ถึงแก่ความตายตกไป ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่
นายอัจฉริยะ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เนื่องจากการเสียชีวิตของแตงโม เป็นคดีอาญาแผ่นดิน ซึ่งสงผลกระทบต่อความสงบสุขของประชาชน ดังนั้นใครจะไปยื่นหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรืออัยการ หรือยื่นเรื่องให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษก็สามารถทำได้ ทั้งที่เป็นคดีเก่าและเปิดคดีใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติของผู้ตายซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยตรง ที่สำคัญคดีนี้กระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากไม่มีหลักฐานเลยว่าแตงโม ตกท้ายเรือ ไม่มีดีเอ็นเอของแตงโม บริเวณท้ายเรือ บาดแผลที่ขาขวาของแตงโม ก็ไม่เข้ากับใบพัดเรือ แต่ตำรวจสรุปคดีว่าแตงโม ตกท้ายเรือ
ขณะเดียวกัน หลักฐานที่ตำรวจใช้ในการดำเนินคดีคนบนเรือข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายก็อ่อนมาก ปอซึ่งเป็นคนขับไม่ใช่เจ้าของเรือเป็นแค่ผู้ครอบครองเรือ ถามว่าปอ ประมาทอย่างไร จะบอกว่าปอไม่มีใบอนุญาตขับขี่เรือก็แค่ถูกปรับ จะบอกว่าปอไม่ให้คนในเรือใส่เสื้อชูชีพ แต่มีภาพว่าจ็อบใส่เสื้อชูชีพ ถามว่าแซนประมาทอย่างไร ในเมื่อแซนบอกว่าแตงโมไปปัสสาวะท้ายเรือเอง ถามว่าโรเบิร์ตประมาทอย่างไร โรเบิร์ตก็บอกว่าไม่รู้ว่าแตงโมไปปัสสาวะท้ายเรือ จะบอกว่าคนในเรือไม่ช่วยแตงโมได้ยังไง เขาสร้างหลักฐานว่าวนเรือหาแล้ว มีชาวบ้านเป็นพยานรู้เห็น ส่งสำนวนไปอัยการก็สั่งไม่ฟ้อง สุดท้ายทุกคนก็หลุดหมด
“ตอนนี้สู้กันที่เหลี่ยมทางกฎหมาย ผมดักไว้ 2 ทางคือ 1.ยื่นเรื่องต่อดีเอสไอว่าการตายของแตงโม เป็นคดีฆาตกรรมซึ่งถือเป็นคดีใหม่เลย และ 2.ในส่วนของคดีที่ สภ.นนทบุรี สรุปว่าเป็นคดีประมาททำให้แตงโม ถึงแก่ความตายซึ่งขณะนี้เรื่องส่งไปถึงอัยการจังหวัดนนทบุรีแล้วนั้น ผมเตรียมหลักฐานที่จะไปยื่นให้อัยการว่าแซม ให้การเท็จ ซึ่งเชื่อว่าหากอัยการเห็นหลักฐานจะต้องสั่งสอบเพิ่มเติมแน่ หรือหากอัยการสั่งไม่ฟ้อง เราไปยื่นขอความเป็นธรรมต่ออัยการจังหวัดนนทบุรี หรืออัยการสูงสุด ซึ่งต้องระวังว่าหากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ สภ.นนทบุรี และอัยการต้องรับผิดชอบ เหมือนกับกรณี ‘คดีบอส กระทิงแดง’ อีกทั้งหากพิสูจน์ได้ว่าแซน ให้การเท็จว่าแตงโม ตกท้ายเรือ อัยการก็อาจจะคืนสำนวนให้ สภ.นนทบุรี ซึ่งคดีประมาทจะตกไปทันที และการทำคดีต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่” นายอัจฉริยะ ระบุ
นายอัจฉริยะ ยังเปิดเผยด้วยว่า พยานหลักฐานที่จะแสดงต่อดีเอสไอนั้นชัดเจนและมีน้ำหนักมาก เช่น คลิปจากกล้องวงจรปิดที่แสดงว่าเรือสปีดโบ๊ตที่ร่วมก่อเหตุมี 2 ลำ มีพยานซึ่งคนบนเรือขอให้ไปช่วยค้นหาแตงโม ยืนยันว่าคนบนเรือชี้จุดที่แตงโม ตกไม่ตรงกับจุดที่ให้การต่อตำรวจ อีกทั้งมีหลักฐานว่าคนบนเรือโทร.ไปแจ้งกู้ภัยในเวลา 22.20 น.ว่ามีคนตกเรือ ให้ไปช่วย แต่จากคำให้การบอกว่าแตงโม ตกเรือเวลา 22.34 น. ถามว่ารู้ล่วงหน้าได้ยังไงว่าแตงโม จะตกน้ำ และมีคลิปที่ชี้ว่าคนบนเรือถือมีดพับ K2 นอกจากนั้น ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่ยินดีจะไปร่วมให้ข้อมูลกับดีเอสไอว่าสิ่งที่ตำรวจสรุปในคดีการเสียชีวิตของแตงโม ไม่สอดคล้องกับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากจีพีเอส ลักษณะของบาดแผล หรือโคลนที่พบในร่างแตงโม
"ผมยังมีหลักฐานที่ยังไม่ได้เปิดอีกเยอะ รอดูได้เลย" นายอัจฉริยะ กล่าว
ด้าน “ทนายอู๋” บัญชา สุชญา เจ้าของเพจ "ทนายอู๋ สู้คดีเคียงข้างคุณ" วิเคราะห์ว่า งานนี้นายอัจฉริยะ แบ่งกระบวนทัพออกเป็น 2 สำนวน คือ 1.สำนวนที่นายอัจฉริยะ แจ้งความดำเนินคดีต่อแซน ในข้อหาให้การเท็จว่าแตงโม ตกท้ายเรือ เพื่อไปหักล้างว่าแตงโม ไม่ได้ตกท้ายเรือ ซึ่งจะส่งผลให้สำนวนคดีหลักซึ่งระบุว่าเป็นการกระทำโดยประมาทให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ที่ดำเนินการโดยตำรวจ สภ.นนทบุรี ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพราะหากพิสูจน์ได้ว่าแตงโม ไม่ได้ตกท้ายเรือ สำนวนคดีหลักต้องถูก “รื้อ” ใหม่ทั้งหมด นอกจากนั้น แซนยังมีความผิดตามมาตรา 172 ในข้อหาให้การเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และ 2.สำนวนที่นายอัจฉริยะ ยื่นให้ดีเอสไอพิจารณารับคดีแตงโม เป็นคดีพิเศษนั้นเป็นสำนวนคดีที่นายอัจฉริยะ เปิดประเด็นขึ้นมาใหม่ว่าเป็นการฆาตกรรมอำพราง เพื่อไปหักล้างกับสำนวนคดีหลักที่บอกว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาท และในเมื่อเป็นการเปิดคดีใหม่ ไม่ได้ไปก้าวล่วงกับคดีหลักที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ดีเอสไอจึงมีอำนาจเต็มในการวินิจฉัยว่าจะสามารถรับเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ โดยไม่ต้องกังวลกับการทำหน้าที่ของอัยการ ซึ่งหากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ และจากการสืบสวนสอบสวนพบว่าเป็นการฆาตกรรม คดีหลักที่ สภ.นนทบุรีชี้ว่าเป็นคดีประมาทก็จะหมดความหมาย
“ต้องยอมรับการที่คุณอัจฉริยะ จะเข้าไปในคดีหลักที่ สภ.นนทบุรีทำเป็นเรื่องยาก จึงถือเป็นความชาญฉลาดที่คุณอัจฉริยะ เลือกเปิดคดีใหม่และแยกเป็น 2 สำนวน เดินเกมกันคนละทาง ขณะเดียวกัน คุณอัจฉริยะ ก็เลือกที่จะเปิดพยานหลักฐานแค่บางส่วน ไม่ได้เปิดหน้าไพ่ทั้งหมด เพราะหากเปิดหมดผู้ต้องหาจะไหวตัวทันละพลิกเกมได้ ดังนั้น การยื่นหลักฐานในคดีใหม่ให้ดีเอสไอพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ คุณอัจฉริยะ จึงทุ่มหมดหน้าตักให้ดีเอสไอเห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องของการฆาตกรรมอำพราง ไม่ใช่อุบัติเหตุ มีการอ้างพยานผู้เชี่ยวชาญถึง 12 ปาก ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอพรทิพย์ (แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์) พ.อ.นพ. ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า คุณไทด์ (เอกพันธ์ บันลือฤทธิ์ ในฐานะอาสากู้ภัยที่พบศพแตงโม) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินเรือ โปรแกรมเมอร์ มนุษย์กบที่เก็บตัวอย่างโคลนและทรายในจุดเกิดเหตุ เพื่อทำความเข้าใจกับดีเอสไอว่าคดีนี้เป็นการฆาตกรรม” ทนายอู๋ ระบุ