“ชัชชาติ” เผยเร่งแก้จุดเสี่ยงน้ำท่วม 9 จุด-เฝ้าระวัง 48 จุด บนถนนสายหลัก แก้ปัญหาพื้นที่ต่ำ ป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก ลอกท่อ ระยะทาง 3,000 กม. พร้อมทั้ง ใช้ “BKK Risk Map” เชื่อมโยงข้อมูล ด้าน “พล.ต.อ.อัศวิน” วางแนวทางแก้น้ำท่วม ทั้งจากน้ำเหนือ น้ำฝน และน้ำทะเลหนุน ฝ่าย “ดร.เอ้” ชี้ กทม.ต้องจับมือกับสมุทรปราการ สร้างเขื่อนป้องกันน้ำทะเลหนุน ขณะที่ “รสนา” เตรียมเพิ่มเส้นทางสัญจรทางน้ำ-ลดค่าโดยสาร BTS เหลือ 20 บาทตลอดสาย หลังหมดสัญญาสัมปทาน ส่วน “สกลธี” ระบุจะใช้ AI ในการอำนวยการจราจร และสร้าง”ระบบ feeder”เชื่อมต่อการเดินทางทั้งระบบล้อ-ราง-เรือ
กล่าวได้ว่าปัญหาน้ำท่วมและปัญหาการจราจรซึ่งติดขัดอย่างหนักถือเป็นปัญหาใหญ่ที่อยู่คู่คนกรุงเทพฯ มายาวนานหลายสิบปี และในโอกาสที่กำลังจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 22 พ.ค.2565 นี้ คนกรุงเทพฯ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้คลี่คลายไปได้
ดังนั้น คนกรุงเทพฯ จึงอยากรู้ว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. แต่ละท่านจะมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและปัญหาการจราจรซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของกรุงเทพมหานครอย่างไรบ้าง
ด้าน “รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 8 หนึ่งในตัวเต็งที่ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยถึงนโยบายในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า จะดำเนินการ 5 ประการด้วยกัน คือ
1) ลดจุดเสี่ยง จุดเฝ้าระวังน้ำท่วมทันที โดยทบทวน ศึกษา เตรียมแผนรับมือ และจัดสรรงบประมาณเร่งรัดให้ดำเนินการแก้ไขจุดเสี่ยงน้ำท่วม 9 จุด และจุดเฝ้าระวังน้ำท่วมในถนนสายหลักกว่า 48 จุด ซึ่งในระยะสั้นจะช่วยลดผลกระทบของประชาชนจากการขุดลอกท่อระบายน้ำ ขุดลอกคูคลอง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำเสริมระบบระบายน้ำชั่วคราว ระหว่างปรับปรุง-ก่อสร้างระบบถาวรในระยะยาว
2) แก้ปัญหาพื้นที่ต่ำ 50 เขต โดยจะยกระดับถนน หรือเพิ่มขนาดท่อระบายน้ำในพื้นที่ชุมชน หมู่บ้าน หรือถนน ตรอกซอกซอยที่ประสบปัญหาพื้นที่ต่ำ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังซ้ำซากช่วงฝนตกหนักในชุมชนที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ
3) ขุดลอกและทำความสะอาดท่อระบายน้ำ ระยะทาง 3,000 กิโลเมตร หรือประมาณร้อยละ 50 จากระยะเส้นทางทั้งหมดกว่า 6,564 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายการบริหารจัดการน้ำท่วมระหว่างคลองสายหลัก ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดฝอย กับอุโมงค์ยักษ์ ซึ่งเหมือนเส้นเลือดใหญ่ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4) เพิ่มแก้มลิงธรรมชาติ เพื่อเป็นพื้นที่รับน้ำให้กรุงเทพฯ โดยจัดหาพื้นที่เอกชนที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เช่น บึง ทะเลสาบ ให้เป็นพื้นที่แก้มลิงธรรมชาติ เพื่อรองรับน้ำฝนส่วนเกิน ช่วยหน่วงน้ำในช่วงฤดูมรสุมหรือฝนตกหนักเฉียบพลัน และสนับสนุนระบบระบายน้ำทั้งโครงข่ายให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลักการคือจะเป็นจุดพักน้ำและผ่องถ่ายน้ำในแก้มลิงที่เก็บกักออกจากพื้นที่หลังจากฝนหยุดตก ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในเส้นทางสัญจรและพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชน
5) พัฒนาฐานข้อมูลดิจิทัลพื้นที่จุดเสี่ยงความปลอดภัย (BKK Risk Map) โดยรวบรวมข้อมูลทั้งจากหน่วยงาน ทั้งภายใน กทม. เช่น สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักการโยธา และภายนอก กทม.เช่น กองบังคับการตำรวจจราจร การประปานครหลวง เพื่อให้สามารถจัดการกับจุดเสี่ยงในเมืองได้อย่างเป็นระบบและรวดเร็ว
โดยดำเนินการ 4 ประการ คือ
1.รวบรวมฐานข้อมูล เช่น ข้อมูลจุดมืด ข้อมูลอุบัติเหตุ ข้อมูลน้ำท่วม ข้อมูลพื้นที่ต่ำ เพื่อจัดทำเป็นแผนที่ความเสี่ยงกรุงเทพฯ (Bkk Risk map)
2.วิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมเพื่อแก้ไข ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันเหตุ หรือเพื่อสนับสนุนการเผชิญเหตุ
3.เปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงล่าสุด การระวังภัยแบบเรียลไทม์สู่สาธารณะเพื่อประกอบการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน เช่น การวางแผนเดินทาง กิจกรรมประจำวัน ไปจนถึงการเลือกที่อยู่อาศัย หรือการอพยพเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
4.พิจารณาความเป็นไปได้ในการเปิด API ให้นำข้อมูลความเสี่ยงบางส่วนไปประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อกระจายข้อมูลสู่ประชาชนในวงกว้าง
ส่วนแนวทางในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานคร นั้น “รศ.ดร.ชัชชาติ” ระบุว่า จะดำเนินการ ดังนี้
1) บริหารจัดการจราจรด้วยระบบอัจฉริยะ (ITMS) โดยใช้ควบคู่กับ CCTV เพื่อบริหารจัดการจราจรที่มีประสิทธิภาพ
2) จัดตั้ง Command Center บริหารจราจรร่วมกับตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับการจราจรมีมากถึง 37 หน่วยงาน โดยแบ่งความรับผิดชอบเป็นหลายส่วน เช่น กทม.ดูแลโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไฟจราจร ถนน สะพาน ป้ายรถเมล์ และกระจายความรับผิดชอบไปยังหน่วยงานต่างๆ ในสังกัด เช่น สำนักโยธา สำนักจราจรและขนส่ง ขณะที่กองบังคับการตำรวจจราจร ดูแลเรื่องการบริหารจัดการจราจร จับ/ปรับผู้กระทำผิด กรมการขนส่งทางบกดูแลเรื่องสภาพรถ ใบอนุญาตยานพาหนะ กรมทางหลวงชนบทดูแลสะพาน และถนน
ทำให้ที่ผ่านมา หน่วยงานที่ทำงานด้านจราจรข้างต้นยังคงบริหารจัดการแบบแยกส่วน ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาจราจรล่าช้า ดังนั้น กทม.จะจัดตั้งศูนย์ควบคุมสั่งการจราจรกลาง (Command Center) ร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การบริหารการจราจรเกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน จัดการจราจรโดยภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพ
3) กทม.จะร่วมมือกับภาคเอกชนเพิ่มการจอดแล้วจรบริเวณสถานีรถไฟฟ้าปลายทางในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก เพื่อให้ประชาชนหันมาใช้บริการรถไฟฟ้าแทนการนำรถยนต์ส่วนบุคคลเข้าสู่เมืองชั้นใน
4) เร่งคืนผิวถนนจากโครงการก่อสร้าง เพื่อลดการชะลอตัวของการจราจร
5) ปรับปรุงถนนและเส้นทางจราจรเพื่อให้การจราจรคล่องตัวขึ้น เช่น ปรับปรุงจุดตัด คอขวดต่างๆ ปรับ เพิ่ม/ลดจำนวนช่องทางจราจรเพื่อเพิ่มความจุถนน
6) พัฒนาและเพิ่มเส้นทางการเดินเรือ เพื่อเพิ่มตัวเลือกในการเดินทาง
ขณะที่อดีตผู้ว่าฯ กทม.อย่าง “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ในฐานะผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 6 ได้เปิดเผยถึงแนวทางในการแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ว่า เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมนั้นในแต่ละพื้นที่นั้นมีสาเหตุที่แตกต่างกัน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาจึงมีแตกต่างกันด้วย
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมหลักๆ คือ น้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝน
1) ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดจากน้ำฝน วิธีแก้ปัญหา คือ
1.พัฒนาระบบระบายน้ำโดยรวมเพื่อให้การระบายน้ำออกจากเมืองมีประสิทธิภาพ
2.พัฒนาระบบการสูบน้ำและประตูระบายน้ำให้ใช้การได้ดีในจุดที่อยู่ใกล้กับบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา และผลักดันให้เกิดการควบคุมแบบอัตโนมัติและแบบรวมศูนย์
3.ขุดลอกท่อในระบบพื้นฐาน และพัฒนาเป็นท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ที่มีแรงดันน้ำสูงมากขึ้น
4.ผลักดันให้มีอุโมงค์ระบายน้ำในจุดที่น้ำใช้เวลาในการไหลยาวนานกว่าจะออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อย่นระยะเวลาในการระบายน้ำ
5.ผลักดันให้มีการทำแก้มลิงธรรมชาติในจุดใดที่ระบายน้ำไม่ทัน และทำวอเตอร์แบงก์เพิ่มเติม เพื่อรับน้ำชั่วคราวก่อนที่จะระบายออกจากพื้นที่รับน้ำในภายหลัง
6.นำมาตรการทางผังเมืองมาใช้เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนและประชาชนปรับพื้นที่บางส่วนในการก่อสร้างเป็นพื้นที่รับน้ำ แลกกันกับสิทธิในการสร้างอาคารที่มากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่รับน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวจำนวนมาก
7.ขดลอกคูคลองและจัดเก็บขยะทางบกและทางน้ำ เพื่อให้มีประสิทธิภาพการระบายน้ำที่ดี
2) ปัญหาท่วมจากน้ำเหนือ การแก้ปัญหาจะแบ่งเป็น
- ระยะสั้น จะประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันน้ำออกจากพื้นที่
- ระยะยาว จะประสานงานกับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาผังเมือง เพื่อให้จุดที่เคยเป็นทางน้ำหรือพื้นที่รับน้ำยังคงเป็นจุดรับน้ำ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว
3) การแก้ไขปัญหาน้ำทะเลหนุน โดยแบ่งการแก้ปัญหาออกเป็น 2 ระยะ
1.ระยะสั้น โดยจะผลักดันให้มีการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมที่สูงและแข็งแรงมากขึ้น และการแก้ไขปัญหาจุดฟันหลอที่เหลืออยู่ทั้ง 11 จุด
2.ระยะยาว ลดปัจจัยการเกิดภาวะโลกร้อนที่มีผลให้เกิดน้ำทะเลหนุน โดยดำเนินการดังนี้
- ผลักดันให้มีการใช้พลังงานสะอาด เช่น ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ให้มีการขยายโครงการจุดชาร์จพลังงานไฟฟ้า ให้ผู้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าจอดรถฟรีในระยะเวลาที่จำกัด
- สร้างภาคีเครือข่ายในการปลูกป่า และพื้นที่สีเขียว
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ นั้น “พล.ต.อ.อัศวิน” ชี้แจงว่า จะส่งเสริมให้คนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้นซึ่งจะช่วยลดปัญหาความแออัดบนท้องถนน โดยจะดำเนินการ ดังนี้
- ส่งเสริมให้คนกรุงเทพฯ ใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น เช่น ส่งเสริมให้มีการเชื่อมต่อระบบล้อ ราง เรือ
- ผลักดันให้มีรถโดยสารไฟฟ้า EV Shuttle และระบบฟีดเดอร์ เพื่อให้ประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนสะดวกยิ่งขึ้น
- ผลักดันให้มีการเดินรถไฟฟ้าสายรอง เพื่อเติมเต็มรถไฟฟ้าสายหลัก
- ผลักดันเส้นทางเดินเรือโดยสารสาธารณะเพิ่มขึ้น ให้ครอบคลุมและเพียงพอ
ด้าน ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ “ดร.เอ้” อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหมายเลข 4 จากพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมใน กทม. ว่า จะแบ่งการแก้ไขปัญหาเป็น 3 ระยะ คือ
1) ระยะสั้น จะมีการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการเปิด-ปิดเครื่องสูบน้ำและประตูระบายน้ำ ซึ่งจะช่วยให้การระบายน้ำในช่วงฝนตกหนักมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจะดำเนินการทันทีหากได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม.
2) ระยะกลาง จะสร้างระบบเก็บน้ำใต้ดินหรือแก้มลิงขนาดใหญ่เพื่อรองรับน้ำในช่วงที่ฝนตก จากนั้นจึงค่อยๆ ระบายไปยังทางระบายน้ำปกติ ซึ่งวิธีนี้จะป้องกันปัญหาน้ำท่วมในช่วงฝนตกหนักได้เป็นอย่างดี และเป็นระบบที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ใช้กัน โดยจะสร้างระบบนี้ในจุดที่มีปัญหาน้ำท่วมหนักในช่วงฝนตก เช่น จตุจักร จะสร้างแก้มลิงบริเวณใต้สวนจตุจักร รามคำแหง จะสร้างแก้มลิงบริเวณใต้ที่จอดรถของสนามราชมังคลากีฬาสถาน ส่วนบริเวณซอยต่างๆ ที่มักมีน้ำท่วมช่วงฝนตกจะทำเป็นแก้มลิงขนาดเล็กไว้ใต้ถนนบริเวณปากซอยเพื่อป้องกันน้ำจากถนนใหญ่ไหลเข้าไปท่วมซอย ซึ่งระบบนี้จะต้องทำให้แล้วเสร็จภายในวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี
3) ระยะยาว จำเป็นต้องทำโครงการป้องกันผลกระทบจากน้ำทะเลหนุน เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ นั้นเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก คือ น้ำฝน น้ำเหนือ และน้ำทะเลหนุน ซึ่งนับวันจะรุนแรงขึ้น โดยจะร่วมกับสมุทรปราการในการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลบริเวณปากน้ำเจ้าพระยา ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในจะต้องซ่อมเขื่อนกันน้ำทะเลในจุดที่ชำรุดอยู่ เช่น ที่บางพลัด ที่ราษฎร์บูรณะ เพื่อให้การป้องกันน้ำทะเลหนุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยโครงการดังกล่าวจะใช้เวลาประมาณ 10 ปี
ส่วนแนวทางในการแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานครนั้น ดร.เอ้ ชี้แจงว่า จะแบ่งการแก้ปัญหาเป็น 3 ระยะ เช่นกัน คือ
1) ระยะสั้น ต้องขอคืนพื้นที่ผิวการจราจรจากโครงการก่อสร้างถนนและโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าต่างๆ ที่แล้วเสร็จ เช่น รถไฟฟ้าซึ่งบางจุดสร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่ขนย้ายอุปกรณ์ออก
2) ระยะกลาง จะมี 2 โครงการ คือ
1.จะปรับปรุงระบบการบริหารการจราจรเป็นระบบเอไอแทนการควบคุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะทำให้สามารถเชื่อมโยงภาพรวมของการจราจรทั้งหมดในกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง ส่งผลให้การบริหารการจราจรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.จัดให้มีรถเมล์พลังงานไฟฟ้าเพื่อให้บริการในระยะทางสั้นๆ รับส่งในย่านที่ประชาชนเดินทางหนาแน่น เช่น รถไฟฟ้า โรงเรียน โรงพยาบาล และให้บริการถี่ๆ ไม่ต้องรอนาน โดยจะเก็บค่าโดยสารในราคาถูกคือ 10-12 บาทต่อเที่ยว เพื่อให้ประชาชนหันมาใช้บริการรถสาธารณะมากยิ่งขึ้น
3) ระยะยาว จะต้องนำระบบ BKK Token หรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของแอปพลิเคชัน หรือซิมในโทรศัพท์มือถือ มาใช้ในการอำนวยสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้แก่คน กทม. เช่น กทม.จะให้สวัสดิการค่าเดินทางแก่นักเรียนนักศึกษา กทม.จะเติมเงินลงไปใน BKK Token ของเด็กคนนั้นเพื่อนำไปใช้ในการลดค่าโดยสารรถสาธารณะ ขณะที่ผู้สูงอายุก็สามารถสะสมแต้มในการใช้บริการรถสาธารณะผ่านระบบ BKK Token ซึ่งนำไปใช้ลดค่าบริการ ซึ่งระบบนี้จะจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้บริการรถสาธารณะมากขึ้น
ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 7 แสดงวิสัยทัศน์เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า จำเป็นต้องดำเนินการ 2 อย่างควบคู่กัน คือ
1.ขุดลอกคูคลอง โดยเราต้องรู้จักพื้นที่กรุงเทพฯ ว่าเป็นพื้นที่น้ำหลาก เจอทั้งน้ำคลองจากภาคเหนือ น้ำหนุนจากทะเล และน้ำฝนในช่วงฤดูฝน โดยในอดีตกรุงเทพฯ มีการขุดลอกคูคลองรวมแล้วถึง 1,800 กว่าแห่ง เพื่อเป็นพื้นที่รับน้ำ อีกทั้งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงจัดสรรพื้นที่เพื่อทำแก้มลิงไว้รองรับน้ำ แต่ปัจจุบันคูคลองส่วนใหญ่ตื้นเขิน ไม่สามารถระบายน้ำได้ เวลาฝนตกจึงเกิดปัญหาน้ำท่วม ดังนั้น จึงต้องขุดลอกคูคลองต่างๆ
2.ลอกท่อระบายน้ำ เนื่องจากปัจจุบันมีบ้านเรือนและอาคารสูงเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งนอกจากจะมีขยะและน้ำเสียเกิดขึ้นจำนวนมากซึ่งทำให้ท่อตัน การระบายน้ำติดขัดแล้ว ฐานรากของอาคารยังกีดขวางทางเดินน้ำด้วย จึงจำเป็นต้องลอกท่อเพื่อให้สามารถระบายน้ำได้ดี
“แนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของทีมเราจะไม่ได้เน้นการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ แต่เน้นการขุดลอกคูคลองเพื่อให้มีพื้นที่การระบายน้ำ ถ้าดูจากฝังเมืองเดิมจะเห็นว่าพื้นที่ด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่รับน้ำ แต่ปัจจุบันสีผังเมืองเปลี่ยนทำให้พื้นที่รับน้ำหายไป ขณะที่ฐานรากของอาคารก็มีส่วนในการกีดขวางทางน้ำ แต่ปัจจุบันอาคารสูงจำนวนมากไม่ได้ทำพื้นที่หน่วงน้ำทำให้การระบายน้ำมีปัญหา ดังนั้นในจุดที่มีอาคารสูงจะต้องทำพื้นที่หน่วงน้ำเพื่อรองรับและเก็บกักน้ำในช่วงที่ฝนตกหนัก และค่อยๆ ระบายออกไป อีกทั้ง กทม.ต้องดูแลพื้นที่เชื่อมต่อในการระบายน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีการสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำคูคลองทำให้กีดขวางทางน้ำก็ต้องไปแก้ไขตรงนี้ด้วย จากการสำรวจพบว่าตอนนี้จุดที่น้ำท่วมขังในกรุงเทพฯ ลดน้อยลง เหลือไม่กี่สิบจุด เมื่อมีข้อมูลเช่นนี้เราต้องไปให้ความสำคัญกับพื้นที่เหล่านี้เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด” น.ส.รสนา กล่าว
น.ส.รสนา กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดของกรุงเทพมหานครนั้น จะต้องดำเนินการ 2 อย่าง คือ
1.เพิ่มการจราจรทางน้ำ โดยหลังจากขุดลอกคูคลองแล้วสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรได้ด้วย เหมือนในสมัยที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม. ที่ขุดลอกคลองแสนแสบเพื่อระบายน้ำ พร้อมทั้งใช้เป็นเส้นทางสัญจรทางเรือ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดในการสัญจรทางถนน
2.กำหนดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสเหลือ 20 บาทตลอดสาย เพื่อจูงใจให้คนหันมาเดินทางโดยรถไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่มบีทีเอส จะหมดสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ทำไว้กับกรุงเทพมหานครในปี 2572 ทาง กทม.จะไม่ต่อสัญญากับบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ และนำรถไฟฟ้าบีทีเอสมาบริหารเอง โดยเราจะนำรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ร้านค้าภายในสถานี และรายได้จากการโฆษณาต่างๆ มาใช้ในการบริหารจัดการเดินรถ ซึ่งจะทำให้สามารถเรียกเก็บค่าโดยสารในอัตรา 20 บาทตลอดเส้นทางได้
ส่วน “นายสกลธี ภัททิยกุล” ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหมายเลข 3 ซึ่งเป็นผู้สมัครที่น่าสนใจอีกคนหนึ่ง ระบุว่า สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครนั้น นอกจากจะสร้าง Water Bank แก้มลิง และอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำแล้ว จะต้องมีการขุดลอกท่อในกรุงเทพมหานครทั้งท่อใหญ่ ท่อย่อยที่มีความยาวรวมแล้วถึง 6,400 กิโลเมตร ให้สะอาดอยู่เสมอเพื่อให้การระบายน้ำในช่วงที่ฝนตกหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องวางแผนในการขุดลอกโดยนำเทคโนโลยี Pipe Jacking หรือการดันท่อมาใช้ รวมทั้งต้องทำบ่อหน่วงน้ำบริเวณที่มีอาคารต่างๆ เพื่อเป็นจุดพักและชะลอการไหลของน้ำในช่วงฝนที่มีตกหนัก
ส่วนนโยบายในการแก้ไขปัญหาการจรจรใน กทม. นั้น นายสกลธี ชี้แจงว่า มี 2 ประการด้วยกัน คือ
1) ใช้ระบบเอไอในการอำนวยการจราจรบนท้องถนนแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหมือนที่ใช้ในประเทศจีน
2) สร้างระบบ feeder หรือการขนส่งระบบรองเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางระบบล้อ-ราง-เรือ เช่น จัดบริการเดินรถจากจุดต่างๆ ที่รถเมล์เข้าไม่ถึงไปยังโครงข่ายรถไฟฟ้า เช่น จัดรถมินิบัสพลังงานไฟฟ้าให้บริการจากหมู่บ้านขนาดใหญ่ไปยังรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้เคียง เพิ่มการให้บริการเดินเรือในคลองหลักๆ เช่น คลองเปรมประชากร คลองลาดพร้าว เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางไปใช้บริการรถสาธารณะได้สะดวก ซึ่งนโยบายนี้จะช่วยให้ประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัวกันมากขึ้น