xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตครั้งใหญ่! ของมนุษย์เงินเดือน ‘12 ปัจจัย’ เสี่ยง ‘บิ๊กตู่’ เอาอยู่หรือไม่?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จับตาผลกระทบจาก Reshape World Order เพื่อให้อำนาจสหรัฐฯ คงเดิม และสกัดกั้นความมั่งคั่งด้านการค้าของจีนและรัสเซีย คณบดีสถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ชี้สหรัฐฯ หวั่นจีนจะนำความได้เปรียบไปสร้างอาวุธ พร้อมก้าวสู่การเป็นมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก ส่วน ‘รัสเซีย-จีน’ มุ่ง Reset World Order เพื่อสลายอำนาจของอเมริกา การเดินเกมของทั้ง 2 ฝ่ายทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากทุกห่วงโซ่ แนะรัฐบาล ‘บิ๊กตู่’ เกาะติดจีน เพราะนโยบายสี จิ้นผิง ทำทุนเล็ก ทุนน้อยแย่งอาชีพคนไทย ธุรกิจ SMEs 90% ตายสนิท ขณะเดียวกัน วิกฤตครั้งนี้ทำคนไทยสาหัส ต้องเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ส่วนมนุษย์เงินเดือนเจ็บหนักที่สุด วอนรัฐบาลบิ๊กตู่กู้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจแบบโปร่งใส ต้องแจงให้ละเอียดไปทำอะไร และจะใช้คืนอย่างไร เพราะเงินรายได้ที่จะใช้คืนมาจากการเก็บภาษีของประชาชน!

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจไทยที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้นั้น ไม่ใช่เกิดจากปัจจัยภายในเพียงอย่างเดียว เพราะในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นวิกฤตโลกที่กำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรง ดังนั้นวิกฤตครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่คนไทยต้องเผชิญ และพร้อมที่จะรับมือในทุกๆ สถานการณ์

รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณบดีสถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณบดีสถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า การมองผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น นักเศรษฐศาสตร์การเมือง จะมองแบบ Structuralism (โครงสร้างนิยม) คือมองภาพใหญ่มาถึงระดับเล็กลง คือจากในระดับของโลก เชื่อมโยงความสัมพันธ์ จนมาระดับประเทศและมาถึงบุคคล จะเห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจที่คนไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้นั้นเกิดจากวิกฤตระดับโลก 3 ปัจจัย

ปัจจัยที่ 1 เกิดจากความพยายามของมหาอำนาจที่ต้องการจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ซึ่งเดิมระเบียบของโลกกำหนดขึ้นโดยมหาอำนาจตะวันตก มีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวหน้า และในส่วนขององค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก (World Bank) ที่ให้กู้เงินเพื่อการพัฒนา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) องค์การการค้าโลก (WTO) หรือเรื่องการค้าเสรี (Free Trade) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบโลกใหม่ และยังมีองค์กรอื่นๆ อีกหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับด้านสันติภาพรวมอยู่ด้วย

“ภายใต้นโยบายการค้าเสรีที่เกิดขั้น ประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถแข่งขันได้ในลักษณะของความเสมอภาค และสหรัฐฯ ก็เป็นประเทศที่ได้เปรียบมี World Bank หนุนด้านการเงิน อีกทั้งประเทศในยุโรปมีปัญหาเศรษฐกิจทรุด ส่วนสหภาพโซเวียต เริ่มเติบโตขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ดังนั้น ผู้คุมกฎจึงไม่ต้องการให้สหภาพโซเวียตขยายอิทธิพลครอบคลุมยุโรปตะวันออกและตะวันตก ก็ต้องหาวิธีการปรับปรุงระเบียบขึ้นมาใหม่ หรือที่เรียกว่า Reshape World Order โดยให้อำนาจของสหรัฐฯ คงสถานะเดิมไว้ได้

ขณะเดียวกัน ในปี ค.ศ.1991 กอร์บาชอฟได้เห็นชอบโอนอำนาจการบริหารทั้งหมดจากประธานาธิบดีแห่งสหภาพโซเวียต ให้ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย และคืนวันนั้นธงชาติสหภาพโซเวียตได้ถูกเชิญลงจากยอดเสาที่เครมลิน อันเป็นการสิ้นสุดสหภาพโซเวียตอย่างสมบูรณ์


ส่วนประเทศจีนนั้นหันมาใช้ระบบทุนนิยมเสรี (สังคมนิยมแบบจีน) ในแบบฉบับของจีน ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศจีนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเทียบเคียงสหรัฐอเมริกาได้

“ทุนนิยมแบบจีน ผลักดันให้จีนเติบโตมาก เพราะจีนเป็นประเทศที่มีแรงงานมากที่สุดในโลก และพลังการผลิต ความรุ่งเรืองของทุนจีน มาจากมูลค่าส่วนเกินของแรงงานที่สามารถผลิตได้มากกว่าเพื่อกินเพื่อใช้สำหรับตัวเองเท่านั้น”

รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ บอกว่า วิธีการดังกล่าวทำให้ประเทศจีนเติบโตจนสามารถชนะประเทศยุโรปและอเมริกาได้ และหากประเทศมหาอำนาจดังกล่าวปล่อยให้จีนเติบโตแบบนี้ต่อไป อีก 3-5 ปีจากนี้ไปจะทำให้จีนเติบโตเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก

“อเมริกาจึงต้อง Reshape World Order เพื่อสกัดกั้นความมั่งคั่งทางด้านการค้าของจีน และรัสเซีย เพราะหากให้จีนได้เปรียบด้านการค้า จะนำความได้เปรียบไปสร้างอาวุธ ส่วนจีนและรัสเซียต้องการ Reset World Order คือต้องการตั้งต้นกันใหม่ เพื่อสลายอำนาจของสหรัฐอเมริกา”

อย่างไรก็ดี คณบดีสถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า นักเศรษฐศาสตร์การเมืองเชื่อว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หรือจัดระเบียบโลกและมีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวหน้าก็คือ CFR : Council On Foreign Relations ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นแหล่งรวมกลุ่มนักการเมือง นักธุรกิจ นักแรงงาน นักข่าว และกลุ่มคนต่างๆ ที่เป็นระดับหัวกะทิแทบทั้งสิ้นมาอยู่รวมกัน

“ทั้งหมดถูกออกแบบโดย CFR ผ่าน World Bank ผ่าน IMF หรือองค์กรอื่นๆ ซึ่งจะออกมาในนามรัฐบาลอเมริกัน แม้กระทั่งการ Reshape World Order เพื่อสกัดความมั่งคั่งของจีนก็มาจากตรงนี้ ขณะที่จีนบุกตลาดอาเซียนอย่างหนักเช่นกัน และไทยเองได้รับผลกระทบตรงนี้”

‘หยวนดิจิทัล’
โดยวิกฤตแรกยิ่งเด่นชัดขึ้นกรณีสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่นำไปสู่การจัดระเบียบโลกใหม่ เพื่อสร้างดุลอำนาจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจโลก

ปัจจัยที่ 2 คือวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจีนและสหรัฐฯ มีความสำเร็จในการรับมือวิกฤตโควิดที่แตกต่างกัน ขณะที่วิกฤตโควิดทำให้ทุกประเทศต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจตามมา รายได้จากการท่องเที่ยว การส่งออกทรุดหนัก โรมแรม โรงงานปิดกิจการ

ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจนนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ และยิ่งมาซ้ำเติมจากสงครามยูเครนเข้าไปด้วย ส่งผลให้ภาคการผลิตของอุตสาหกรรมไทย ซึ่งส่วนใหญ่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบต้นน้ำทั้งในภาควัสดุก่อสร้าง รถยนต์ อาหาร และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น มากกว่าแสนล้านบาทไทย

จีนแก้วิกฤตโควิดกระทบเศรษฐกิจอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ส่วนอเมริกาแก้ด้วยการพิมพ์เงิน ทำ QE เสริมสภาพคล่อง ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปมากในบางช่วง ซึ่งจีนและรัสเซียมีการพัฒนาระบบการชำระเงินเพื่อลดการพึ่งพาระบบเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ เป็นเงินสกุลหลัก

โดยเฉพาะจีนพัฒนา ‘หยวนดิจิทัล’ เพื่อใช้เป็นสกุลเงินในการชำระเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศ (Central bank digital currencies : CBDCs) มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสกุลดอลลาร์ได้ด้วย

ปัจจัยที่ 3 สภาวะโลกร้อน ที่กำลังเกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการผลิตโดยตรง ทั้งในเรื่องของการผลิตอาหารและโรคอุบัติใหม่ที่มากับสภาวะโลกร้อน แต่สภาวะโรคร้อนกลับส่งผลดีในเรื่องผลผลิตให้รัสเซีย โดยเฉพาะการปลูกข้าวสาลี ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกแทนที่สหรัฐอเมริกา

ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปกลับไปเสริมอำนาจให้รัสเซีย ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงขึ้น จึงกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรชัดขึ้น รวมไปถึง Reset world Order”

ทั้ง 3 ปัจจัยที่มาจากวิกฤตโลกย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยเลือกที่จะยืนอยู่ข้างใครระหว่างอเมริกาและจีนเท่านั้น หากมองในมุมเศรษฐกิจ Reshape World Order จะมีผลกระทบต่อการค้า การขนส่งสินค้ากับจีนโดยตรง เพราะเมื่ออเมริกาสกัดจีนไม่ให้ส่งไปยังยุโรป การส่งสินค้าจีนไปขายยังยุโรปก็จะน้อยไปทันที

ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าทั้ง 2 กลุ่มมหาอำนาจถือว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ‘ห่วงโซ่สหรัฐฯ เชื่อมโลก’ หรือ ‘ห่วงโซ่จีนและรัสเซียเชื่อมโลก’ ก็ตาม

“จีนประกาศปักหมุด จากนี้ไปแหล่งขนส่งหลักของจีนจะอยู่ที่อาเซียนและตัวเลขการส่งออกสูงมาก”

จีนเปิดใช้เส้นทางขนส่งสินค้าทางรางสายใหม่ผ่านโครงข่ายรถไฟลาว-จีน ต้นทางจากนครฉงชิ่ง ผ่านลาว ไทย เพื่อไปออกสู่ทะเลที่กรุงย่างกุ้ง ประเดิมสินค้าล็อตแรกอะไหล่รถจักรยานยนต์ ที่เริ่มออกเดินทางแล้วเมื่อวันเสาร์ (2 เม.ย.)
สำหรับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่คนไทยต้องเตรียมรับมือในปี 2565 นอกจาก 3 ปัจจัยวิกฤตโลกแล้ว ยังประกอบด้วย นโยบายการทุ่มตลาดอาเซียน ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายกลุ่มทุนทั้งใหญ่ กลาง เล็กเข้ามาในประเทศไทย

อีกทั้งนโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นั้น ต้องการพัฒนาให้ชนบทจีนเป็น Modernization รวมทั้งคนงานในชนบทเป็นแรงงานที่มีคุณค่ามากขึ้น จึงส่งเสริมให้คนชนบทออกไปทำงานและลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้น ประเทศไทยจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมาย ส่งผลให้คนจีนเข้ามาค้าขายหรือลงทุนในขณะนี้ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่อีกต่อไป

“ไปดูคนจีน กลุ่มตัวเล็ก ตัวน้อยยึดการลงทุนแถวห้วยขวาง พระราม 9 มีนบุรี ลาดกระบังกันเป็นแถว เน้นขายออนไลน์ การปล่อยกู้นอกระบบก็เป็นทุนคนจีนเยอะมาก”

รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ บอกว่า การเข้ามาลงทุนของกลุ่มจีนได้สร้างคุณประโยชน์มากมาย แต่สิ่งที่รัฐบาลจะต้องเข้าไปดูคือการเข้ามาลงทุนของทุนตัวเล็ก ตัวน้อยกำลังเข้ามาแย่งอาชีพคนไทย โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ร้อยละ 90 พึ่งตลาดในประเทศ อีกทั้งตลาดในประเทศอยู่ได้ด้วยการบริโภคของครัวเรือนซึ่งหมายถึงอยู่ได้จากเงินในกระเป๋าของสมาชิกในครัวเรือนเป็นหลัก และรายได้อันดับหนึ่ง มาจากค่าจ้าง ส่วนรองมาจากรายได้การเกษตร และอันดับ 3 จากอาชีพอิสระ หาบเร่ แผงลอย เป็นต้น

ที่สำคัญภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นไม่หยุด ขึ้นไปที่ 5% แล้วซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนพลังงาน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ในตลาดโลก ทำให้สินค้าต่างๆ ซึ่งเป็นความจำเป็นในชีวิตประจำวันมีการปรับราคาขึ้นไปด้วย

ขณะเดียวกัน กำลังซื้อของครัวเรือนตกต่ำลง หนี้ครัวเรือนพุ่ง 91% ของ GDP ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ 

ประเด็นนี้จึงมีความสำคัญมากเพราะคนที่เดือดร้อนที่สุด คือ คนส่วนใหญ่ที่เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือภาคแรงงานจะได้รับความเดือดร้อนจากภาวะเงินเฟ้อและผลกระทบที่เกิดตามมา

“ค่าจ้างของมนุษย์เงินเดือนถ้าพูดเฉพาะแรงงานในระบบประกันสังคมมีกว่า 23,803,063 คน หมดไปกับค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัยและค่าเดินทาง เมื่อทั้ง 3 อย่างมีการปรับขึ้น อาหารแพงขึ้นมาก ค่าเช่าบ้านก็ขึ้น เพราะค่าวัสดุก่อสร้างขึ้น น้ำมันแพงขึ้น ส่งผลให้ค่าเดินทางเพิ่มขึ้น คนกลุ่มนี้จึงเดือดร้อนที่สุด ทางออกที่เป็นไปได้คงต้องขอปรับราคาค่าแรงงานต่อไป”


ถามว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้หรือไม่ว่ากำลังซื้อของภาคครัวเรือนตกต่ำหมด ต้องตอบว่ารัฐบาลเข้าใจ จึงมีนโยบายกู้เงินมาทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นโครงการคนละครึ่ง บัตรคนจน และคนที่เรียกร้องให้เกิดนโยบายแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจคือกลุ่มนักธุรกิจ เพราะปัญหาเงินเฟ้อ กำลังซื้อไม่มี ผลิตสินค้าแล้วขายไม่ได้ ธุรกิจก็ไปไม่ได้เช่นกัน ส่งผลให้โรงงานบางแห่งปิดตัวลง มีการลอยแพคนงานเกิดขึ้น รวมไปถึงบัณฑิตจบใหม่ไม่มีงานทำ

แต่การกู้เงินของรัฐบาลนั้น ปัจจุบันมีการขยายเพดานเงินกู้ออกไปกว่า 70% นั้น คณบดีสถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่า การกู้เงินเพื่อมาจัดทำโครงการและการขยายเพดานเงินกู้ไม่ใช่ปัญหา ปัจจุบันในส่วนเงินประกันสังคมรัฐบาลได้กู้ไปแล้ว 1.5 ล้านล้านบาท

ปัญหาจะอยู่ที่รัฐบาลต้องมีความโปร่งใส และบอกให้ชัดว่าการกู้นั้นกู้มาทำอะไร และจะมีวิธีการใช้คืนอย่างไร แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้บอกความชัดเจนในเรื่องนี้ เพราะต้องไม่ลืมว่าการกู้เงินเพิ่มหรือการก่อหนี้สาธารณะนั้นจะเป็นปัญหาให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามารับหน้าที่ต่อไป และประชาชนต้องเป็นผู้จ่ายหนี้ดังกล่าวเช่นกัน

เนื่องเพราะรายได้ที่จะนำไปใช้หนี้เงินกู้ที่รัฐบาลดำเนินการไว้นั้นมาจากการเก็บภาษี 2 ทาง คือ ภาษีทางตรง ที่จัดเก็บจากรายได้ และทรัพย์สินต่างๆ ทั้งภาษีรายได้จากบุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคลที่ประชาชนผู้มีรายได้และบริษัทต่างๆ ต้องจ่ายในทุกปี และภาษีทางอ้อม เช่น ภาษี VAT 7% ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีสรรพสามิต เป็นต้น


ขณะที่ทางออกของมนุษย์เงินเดือนที่เป็นไปได้ที่สุดก็ต้องหาอาชีพเสริม ซึ่งแรงงานหลายคนไปฝึกวิธีการขายสินค้าออนไลน์ ขณะเดียวกัน รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ได้มีการสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจสมานฉันท์ เพื่อหาทางออกให้แรงงานต่างๆ ซึ่งเวลานี้ได้ขอความร่วมมือกับบริษัทมาแชร์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตรองเท้ามาแชร์ หลายหลายรูปแบบ ทั้งรองเท้านักเรียน รองเท้าใส่ทำงานผู้หญิง ผู้ชาย รองเท้ากีฬาต่างๆ มาให้แรงงานที่อยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และชลบุรี ได้ทดลองขายในรูปแบบออนไลน์โดยไม่ต้องลงทุน และถ้ามีคนสั่งจะติดต่อไปที่บริษัทมาแชร์เพื่อจัดการส่งสินค้าให้ผู้ซื้อ ส่วนคนขายที่เป็นแรงงานจะได้เปอร์เซ็นต์ในการขาย

“เริ่มจากบริษัทมาแชร์ก่อน และเวลานี้กำลังหารือแลกเปลี่ยนสินค้าภาคการเกษตร สินค้าบริโภคจากภาคต่างๆ เพื่อมาให้แรงงานได้ซื้อในราคาถูกที่สุด เพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่ได้ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้น เพราะเราไม่รู้ว่าวิกฤตนี้จะยาวนานแค่ไหน กิจการต่างๆ จะปิดตัวลงอีกหรือไม่ และคนงานจะตกงานเพิ่มขึ้นหรือไม่”

นี่คือวิกฤตโลกที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยและวิกฤตครัวเรือนกันทั่วหน้า ที่รัฐบาลบิ๊กตู่ ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขต่อไป!!

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่





กำลังโหลดความคิดเห็น