xs
xsm
sm
md
lg

“สภาลูกจ้าง” เสนอตั้ง “ธนาคารแรงงาน” ปล่อยกู้ลูกจ้าง สร้างรายได้ให้ประกันสังคม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สภาองค์การลูกจ้าง” เสนอขยายฐานผู้ประกันตนกลุ่มอาชีพอิสระ ตามมาตรา 40 โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์จูงใจ และเพิ่มฐานเงินเดือนในการส่งเงินสมทบของผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 เพื่อแก้ปัญหาเงินกองทุนประกันสังคมไม่เพียงพอและไม่ต้องขยายอายุการรับบำนาญชราภาพ พร้อมทั้งผลักดันให้ตั้ง “ธนาคารแรงงาน” เพื่อปล่อยกู้ให้ลูกจ้าง และสร้างรายได้ให้กองทุนประกันสังคม เผยปัจจุบันกองทุนฯ มีรายได้ปีละกว่า 4 หมื่นล้าน ยังเพียงพอต่อการใช้จ่าย

นับเป็นประเด็นที่สร้างความหวั่นวิตกให้แก่บรรดาลูกจ้าง-พนักงานกินเงินเดือนเป็นอย่างมากสำหรับนโยบายของ “สำนักงานประกันสังคม” ที่จะขยายอายุการรับเงินบำนาญชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จาก 55 ปี เป็น 60 ปี ด้วยเกรงว่าหากเกษียณตอนอายุ 55 จะได้รับความเดือดร้อนเพราะไม่มีรายได้ในการดำรงชีวิต แต่ทันทีที่มีกระแสคัดค้าน “นายสุชาติ ชมกลิ่น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ก็มีคำสั่งไปยังสำนักงานประกันสังคมให้ระงับนโยบายดังกล่าว ทำให้เหล่าลูกจ้างต่างโล่งใจไปเปราะหนึ่ง

ขณะเดียวกัน สำนักงานประกันสังคมยังยืนยันถึงปัญหาที่ทำให้ต้องขยายอายุผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ เนื่องจากโครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้มีจำนวนแรงงานลดลง ในขณะเดียวกัน มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นและมีอายุยืนยาวขึ้น และเนื่องจากบำนาญประกันสังคมเป็นการดูแลตลอดชีวิต ทำให้สำนักงานประกันสังคมต้องจ่ายบำนาญให้ผู้ประกันตนเป็นระยะเวลายาวนานขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ในอนาคตเงินกองทุนประกันสังคมไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย

หากเป็นเช่นนั้นจริงจะมีแนวทางใดบ้างที่จะแก้ปัญหาเงินกองทุนประกันสังคมไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในอนาคต?

นายมนัส โกศล” ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย และประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.)
นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย และประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) ระบุว่า ไม่เห็นด้วยที่จะขยายเวลาการจ่ายเงินบำนาญให้แก่ผู้ประกันตน เนื่องจากบริษัทจำนวนไม่น้อยกำหนดให้พนักงานเกษียณอายุตอน 55 โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก ซึ่งการจ่ายบำนาญตอนอายุ 60 จะทำให้ลูกจ้างเหล่านี้มีช่องว่างช่วงที่ไม่มีรายได้นานถึง 5 ปี ซึ่งทำให้ลูกจ้างที่เกษียณได้รับความเดือดร้อน

นอกจากนั้น ยังมีปัญหาวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องไปอีกนานพอสมควร ลูกจ้างส่วนใหญ่ต่างมีปัญหาเรื่องรายได้ จึงเป็นไปได้ยากที่จะมีเงินเก็บ ถ้าขยายเวลาการรับบำนาญออกไปเป็นอายุ 60 ปี ลูกจ้างที่เกษียณตอนอายุ 55 ปี คงลำบากเพราะไม่มีรายได้ ไม่มีเงินใช้จ่ายในยามจำเป็น

“ดีที่ท่านรัฐมนตรีสุชาติ สั่งให้สำนักงานประกันสังคมยกเลิกนโยบายขยายอายุการรับเงินบำนาญจาก 55 เป็น 60 ปี ต้องชื่นชมท่าน ทั้งผู้นำแรงงานและลูกจ้างต่างพอใจการทำงานที่รวดเร็วของท่าน เพราะคนอายุ 55 ถือว่าอายุมากแล้ว จะไปหางานที่ไหนก็ไม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเลื่อนนโยบายนี้ไปใช้ปีไหนก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น” ประธานสภาองค์การลูกจ้าง กล่าว

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
นายมนัส ยังได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาเงินกองทุนประกันสังคมไม่เพียงพอซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ว่า การที่สำนักงานประกันสังคมมองว่าไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ วัยแรงงานซึ่งจะส่งเงินสมทบเข้าระบบประกันสังคมมีแนวโน้มลดลง ในอีก 30 ปีข้างหน้าสำนักงานงานประกันสังคมอาจไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายบำนาญให้แรงงานที่เกษียณอายุนั้นตนมองว่าเรื่องนี้ขึ้นกับการบริหารจัดการเงิน ซึ่งหากจะแก้ปัญหาระยะยาวจะต้องดำเนินการ 2 อย่างควบคู่กัน

ประการแรกคือ ขยายฐานผู้ประกันตนที่ประกอบอาชีพอิสระ หรือผู้ประกันตนมาตรา 40 โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์จูงใจ พร้อมทั้งพยายามรักษาผู้ประกันตนเดิมเอาไว้ ซึ่งที่ผ่านมา สภาองค์กรลูกจ้าง และเครือข่ายประกันสังคมเคยยื่นเรื่องต่อรัฐบาลหลายรัฐบาลแล้ว ให้ปฏิรูประบบประกันสังคมโดยให้มีการประกันสังคมแบบถ้วนหน้า คือคนที่ประกอบอาชีพอิสระ ไม่ได้เป็นลูกจ้างก็สามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคมได้ โดยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ซึ่งจะทำให้คนไทยมีสวัสดิการสังคมที่ดีและทั่วถึง

ซึ่งหากสามารถขยายผู้ประกันตนในส่วนนี้ได้ฐานตัวเลขผู้ประกันตนจะเพิ่มขึ้นมาก กองทุนประกันสังคมจะโตขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน ต้องรักษาผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่ 13 ล้านคนเอาไว้ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่จูงใจ เช่น จากเดิมที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ต้องรับการรักษาในระบบบัตรทอง เปลี่ยนเป็นให้สามารถเลือกรักษาในโรงพยาบาลเอกชนเช่นเดียวกับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งเป็นลูกจ้างและพนักงานบริษัทได้ ซึ่งหากคนที่ประกอบอาชีพอิสระรู้สึกว่าทำประกันสังคมแล้วคุ้ม ก็จะหันมาทำประกันสังคมกันมากขึ้น ส่งผลให้มีผู้ประกันตนส่งเงินสมทบเข้าระบบเพิ่มขึ้น เมื่อกองทุนประกันสังคมโตขึ้นก็สามารถบริหารจัดการเงินได้ดีขึ้น

“ปัจจุบันผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 20 กว่าล้านคน ซึ่งเท่ากับ 50% ของวัยทำงาน โดยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ประมาณ 11 ล้านกว่า และผู้ประกันตนอิสระอีกประมาณ 13 ล้านคน แต่เนื่องจากปัญหาโควิดที่ทำให้บริษัทหรือผู้ประกอบการต่างๆ ต้องปรับลดคนหรือปิดกิจการ ทำให้มีการเลิกจ้างพนักงาน ส่งผลให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มีจำนวนลดลง แม้บางส่วนยังคงรักษาสถานภาพโดยเปลี่ยนเป็นผู้ประกันสังคมตามมาตรา 39 ซึ่งส่งเงินสมทบเอง แต่มีจำนวนไม่น้อยที่ออกจากระบบประกันสังคมไป และหารายได้ด้วยการทำอาชีพอิสระ เช่น เป็นฟรีแลนซ์ ทำงานผ่านระบบออนไลน์ ดังนั้น สำนักงานประกันสังคมจึงต้องพยายามเพิ่มจำนวนผู้ประกันตนอิสระ ตามมาตรา 40 ให้มากยิ่งขึ้นเพื่อชดเชยกับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ลดลง และสร้างความมั่นคงให้กองทุนประกันสังคม” ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน ระบุ

แม่ค้าออนไลน์ หนึ่งในอาชีพอิสระที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้
นายมนัส กล่าวต่อว่า แนวทางการแก้ปัญหาเงินกองทุนประกันสังคมไม่เพียงพอ ประการที่สอง คือ การขยายฐานเงินเดือนในการส่งเงินสมทบของผู้ประกันตน จากปัจจุบันฐานเงินเดือนที่ต้องส่งเงินประกันสังคม ต่ำสุดที่ 1,650 บาท สูงสุดอยู่ที่ 15,000 บาท โดยจ่ายสมทบประกันสังคมในอัตรา 5% ของเงินเดือน ซึ่งฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท จ่ายสมทบที่เดือนละ 750 บาท

โดยเครือข่ายประกันสังคมคนทำงานเห็นว่าเนื่องจากเส้นความยากจนของประเทศไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 3,000 บาท และลูกจ้างที่ส่งประกันสังคมซึ่งมีฐานเงินเดือนต่ำกว่า 8,000 บาทนั้นมีอยู่ประมาณ 3 ล้านกว่าคน จากทั้งหมด 11 ล้านคน ขณะที่ลูกจ้างที่มีฐานเงินเดือนสูงกว่า 15,000 บาท มีอยู่จำนวนไม่น้อย ดังนั้น จึงควรพิจารณาว่าฐานเงินเดือนต่ำสุดและสูงสุดในการส่งสมทบควรเป็นเท่าไหร่จึงจะสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

“จากตัวเลขดังกล่าว เราควรพิจารณาฐานเงินเดือนในการส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมใหม่ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ดูว่าฐานเงินเดือนต่ำสุดในการส่งสมทบควรจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไหร่ และฐานเงินเดือนสูงสุดในการส่งสมทบปรับขึ้นมาที่เท่าไหร่ ซึ่งหลายคนเสนอว่าน่าจะอยู่ที่ 20,000 บาท เมื่อคำนวณจากอัตราการส่งสมทบที่ 5% ของเงินเดือน เงินที่ส่งสมทบจะเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ในระยะยาวเงินออมของผู้ประกันตนจะมากขึ้น ขณะที่กองทุนประกันสังคมมีความมั่นคงขึ้นด้วย” นายมนัส กล่าว


นอกจากนั้น องค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานยังเสนอให้กองทุนประกันสังคมดำเนินการจัดตั้ง “ธนาคารแรงงาน” เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อแก่ลูกจ้างในยามจำเป็น ขณะที่กองทุนประกันสังคมมีรายได้จากดอกเบี้ยซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงให้กองทุนได้อีกทางหนึ่ง

นายมนัส กล่าวว่า เนื่องจากในช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้กิจการต่างๆ ต้องปิดตัวลงหรือปรับลดพนักงาน ซึ่งส่งผลให้ลูกจ้างได้รับความเดือดร้อนจากการขาดรายได้ และมีผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวยื่นเรื่องต่อสำนักงานประกันสังคมเพื่อขอกู้เงินบำเหน็จบำนาญของตนเองออกไปใช้ก่อน แต่สำนักงานประกันสังคมพิจารณาระเบียบและข้อกฎหมายแล้วไม่สามารถทำได้ ทางสภาองค์การลูกจ้างจึงได้เสนอให้มีจัดตั้ง ”ธนาคารแรงงาน” เพื่อปล่อยกู้ให้แก่ผู้ประกันตนเพื่อบรรเทาปัญหาจากผลกระทบเรื่องรายได้ และเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการหารายได้ของกองทุนประกันสังคม โดยดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้นั้นจะสูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี จะต้องไปแก้ระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย และยกร่างกฎหมายก่อนจึงจะสามารถดำเนินการได้

“หากมีธนาคารแรงงาน ผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นผู้ประกันตนจะสามารถขอสินเชื่อหรือกู้เงินได้ง่ายขึ้น โดยเป็นการกู้เงินจากกองทุนประกันสังคมผ่านธนาคารแรงงาน และใช้เงินบำนาญของตนเองในการค้ำประกัน ซึ่งเงินส่วนนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทั้งการใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉิน และใช้ในการลงทุนเพื่อสร้างอาชีพเสริม ขณะที่กองทุนประกันสังคมมีรายได้จากดอกเบี้ย ทำให้กองทุนเติบโตขึ้น ซึ่งสภาองค์การลูกจ้างพยายามผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะถ้ากลุ่มแรงงานไม่มีธนาคารของตัวเอง การหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเป็นไปได้ยาก” นายมนัส กล่าว

พนักงานบริษัท หนึ่งในอาชีพซึ่งเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 33
อย่างไรก็ดี ขณะนี้หลายฝ่ายต่างวิตกถึงประสิทธิภาพในการบริหารเงินของกองทุนประกันสังคม ซึ่งประเด็นนี้ ประธานสภาองค์การลูกจ้าง ระบุว่า ที่ผ่านมาสภาองค์กรลูกจ้างได้ติดตามเรื่องเสถียรภาพและการบริหารเงินกองทุนประกันสังคมมาตลอด โดยกองทุนประกันสังคมนั้นแบ่งเงินออกเป็น 3 ตะกร้า คือ ตะกร้าแรก ได้แก่ เงินที่ใช้เพื่อดูแลเรื่องปัญหาการเจ็บป่วย เสียชีวิตและทุพพลภาพ จะเก็บจากผู้ประกันตน 1.5% ของเงินเดือน (คิดที่ฐานเงินเดือนไม่เกิน 15,000) นายจ้าง 1.5% และรัฐบาลจ่ายสมทบ 1.5% ปัจจุบันตะกร้านี้มีเงินอยู่ประมาณ 80,000 กว่าล้านบาท

ตะกร้าที่ 2 ได้แก่ กองทุนบำนาญชราภาพและสงเคราะห์บุตรด้วย ซึ่งเก็บจากผู้ประกันตน 3% นายจ้าง 3% และเงินสงเคราะห์บุตรซึ่งรัฐจ่ายสมทบให้ 1% ปัจจุบันตะกร้านี้มีเงินอยู่ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท และตะกร้าที่ 3 เงินที่ใช้ในกรณีว่างงาน ปัจจุบันมีเงินอยู่เกือบ 1 แสนล้านบาท

“การบริหารเงินของสำนักงานประกันสังคมนั้นอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ซึ่งกำหนดให้ลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยง เช่น ซื้อตราสารหนี้ของรัฐบาลซึ่งไม่มีความเสี่ยง แต่แน่นอนว่าได้ผลตอบแทนต่ำ ไม่สามารถลงทุนในกลุ่มที่ให้ผลแทนดีแต่มีความเสี่ยงสูง อย่างลงทุนในตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ แต่โดยรวมแล้วถือว่ายังสามารถบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยขณะนี้กองทุนประกันสังคมมีเงินอยู่ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท มีกำไรทุกปี และมีผลประกอบการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันมีรายได้อยู่ที่ปีละกว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการดูแลผู้ประกันตนทั้งระบบ ทั้งในส่วนของการรักษาพยาบาล การว่างงาน และบำนาญชราภาพ” นายมนัส กล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น