ดอกเบี้ยพันธบัตร ออมไปด้วยกัน ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด คาดหมดเร็ว ไม่จำกัดเพดานซื้อ-ไม่จำกัดรอบ นักการเงินชี้สัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้น พลาดรอบนี้ ปีหน้าอาจได้ดอกสูงกว่า แนะรัฐควรเปิดโอกาสให้คนมีรายได้น้อยเข้าถึงง่าย ส่วนผู้เป็นหนี้แม้ภาระเพิ่มไม่เป็นปัญหา หากเศรษฐกิจฟื้น จ้างงานเพิ่ม รายได้เพิ่ม
กระแสตอบรับพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “ออมไปด้วยกัน” บนวอลเล็ต สบม. ในแอปเป๋าตัง วงเงิน 10,000 ล้านบาท หมดภายใน 12 นาที ทั้งรุ่นอายุ 5 ปีและ 10 ปี ประชาชนและนักลงทุนให้การตอบรับเข้าลงทุนอย่างท่วมท้น สามารถขายหมดเต็มวงเงิน ตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 เริ่มเปิดขายตั้งแต่ 08.30 น. สิ้นสุดการขายในเวลา 08.42 น. โดยมีผู้ลงทุนตั้งอายุ 15-90 ปี ทุกจังหวัดทั่วประเทศแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 33.5% และต่างจังหวัด 66.5%
การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ฯ รุ่นออมไปด้วยกัน วงเงินรวม 70,000 ล้านบาท เปิดจำหน่ายสำหรับบุคคลธรรมดาระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม 2564 วงเงิน 55,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท ไม่จำกัดวงเงินจองซื้อสูงสุด ผ่านช่องทางแอป Krungthai NEXT พร้อมด้วยธนาคารกรุงเทพ ไทยพาณิชย์ และกสิกรไทย
ประกอบด้วยรุ่นอายุ 5 ปี จ่ายอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ปีที่ 2-4 อัตราดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี และปีที่ 5 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.10% ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี จ่ายอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี ปีที่ 4-5 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี ปีที่ 6-9 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ต่อปี และปีที่ 10 อัตราดอกเบี้ย 4.00% คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.00% ต่อปี จ่ายอัตราดอกเบี้ยทุก 3 เดือน
สำหรับนิติบุคคลไม่แสวงหากำไร จำหน่ายให้สภากาชาดไทย มูลนิธิสมาคม สหกรณ์ วัด สถานศึกษาของรัฐ โรงพยาบาลของรัฐ และองค์กรอื่นที่ไม่มีวัตถุประสงค์แสวงหากำไร เปิดจำหน่ายระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม 2564 วงเงิน 15,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท ไม่จำกัดวงเงินจองซื้อสูงสุด จำหน่ายผ่านสาขาทั่วประเทศ จ่ายอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.20% ต่อปี ทุกๆ 6 เดือน
ดอกเบี้ยดี-หมดเร็ว
ตัวแทนผู้จำหน่ายพันธบัตรรายหนึ่งกล่าวว่า พันธบัตรรุ่นออมไปด้วยกันที่จะเปิดขายให้บุคคลทั่วไปในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 นี้ คาดว่าน่าจะได้รับความสนใจจากผู้มีเงินออมที่เน้นเรื่องความมั่นคงสูง เห็นได้จากการจำหน่ายผ่านบนวอลเล็ต สบม. ในแอปเป๋าตัง วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท หมดภายใน 12 นาที ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดเพดานซื้อสูงสุดให้ถึง 10 ล้านบาท
ขณะที่การเปิดขายในวันที่ 22 พ.ย.นี้ สามารถซื้อเท่าไหร่ก็ได้ไม่จำกัดเพดานซื้อสูงสุด และไม่จำกัดจำนวนครั้งที่เข้าซื้อ แม้ว่าวงเงินที่จำหน่ายสูงถึง 5.5 หมื่นล้านบาท แต่น่าจะหมดภายในระยะเวลาไม่นานนัก
เมื่อย้อนกลับไปดูพันธบัตรที่เปิดจำหน่ายรุ่นก่อนหน้าในปี 2564 มีรุ่นเราชนะ รุ่นยิ่งออมยิ่งได้ เมื่อเทียบกับล่าสุดรุ่นออมไปด้วยกัน อัตราดอกเบี้ยของรุ่นออมฯ ค่อนข้างสูงกว่ารุ่นก่อนๆ ชัดเจนคือรุ่น 10 ปี เราชนะให้ 2.5% ยิ่งออมยิ่งได้ให้ 2.2% แต่รุ่นออมไปด้วยกันให้ 3% ขณะที่รุ่น 5 ปีให้สูงกว่ารุ่นก่อนไม่มากนักแค่ 0.1%
ประการต่อมา รุ่นออมฯ เป็นการจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ขณะที่รุ่นก่อนจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน เป็นการตอบโจทย์คนที่ต้องการดอกเบี้ยที่ได้รับเพื่อนำมาใช้จ่ายได้เร็วขึ้น
“ออมไปด้วยกัน” ให้สูงกว่าตลาด
ขณะที่นักการเงินกล่าวถึงพันธบัตรรุ่นออมไปด้วยกันว่า ตามปกติการกำหนดอัตราดอกเบี้ยบนพันธบัตรจะยึดเอาผลตอบแทนที่ซื้อขายกันในตลาดพันธบัตร (Government Bond Yield) บวกด้วยภาษีอีก 15% โดย Yield ในช่วงนี้พันธบัตร 5 ปี อยู่ที่ 1.195% อายุ 10 ปี อยู่ที่ 1.951% เมื่อบวกภาษีเข้าไป ตัวเลขยังต่ำกว่าดอกเบี้ยรุ่นออมไปด้วยกัน คาดว่าพันธบัตรรุ่นนี้อาจเป็นการบวกเรื่องทิศทางอัตราเงินเฟ้อเพิ่มให้อีก จึงนับว่าเป็นรุ่นที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าตลาดอยู่ 0.3-0.4%
คนที่สนใจออมเงินก็ดูออกว่าพันธบัตรรุ่นนี้ดอกเบี้ยค่อนข้างดี จึงหมดลงอย่างรวดเร็วบนวอลเล็ต โอกาสที่จะหมดลงภายในระยะเวลาไม่นานสำหรับการขายในวันที่ 22 พฤศจิกายนก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน
แนะเปิดโอกาสให้คนมีน้อยเข้าถึง
แน่นอนว่าการเปิดจำหน่ายพันธบัตรแทบทุกรอบจะมีทั้งคนสมหวังและพลาดหวัง การที่พันธบัตรจะหมดเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่กำหนด ที่ผ่านมา รุ่นที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำอาจต้องใช้เวลาจำหน่าย 1-2 สัปดาห์ ขาจรมีโอกาสที่จะซื้อพันธบัตรได้เพราะคนมีเงินออมมากไม่เข้าซื้อ แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ดอกเบี้ยดีส่วนใหญ่จะหมดภายในระยะเวลาไม่นานในวันแรกที่เปิดจำหน่าย
ประการต่อมาคือ เพดานการซื้อ ถ้าไม่จำกัดและพันธบัตรรุ่นนั้นให้ดอกเบี้ยสูงกว่าตลาด ย่อมถูกกว้านซื้ออย่างรวดเร็ว แถมไม่จำกัดรอบในการเข้าซื้อ เงื่อนไขแบบนี้สถาบันการเงินผู้จำหน่ายพันธบัตรจะชอบ เพราะทำรายการให้ลูกค้าไม่มากนักก็ขายหมดและรับค่าคอมมิชชันขาย ลูกค้ารายใหญ่จะถูกเสนอขายให้เป็นลำดับแรกๆ โอกาสที่จะมาถึงลูกค้าขาจรย่อมเหลือน้อย
การออกแบบในการขายนั้นขึ้นอยู่กับภาครัฐว่าต้องการขายเร็ว หมดเร็ว หรือต้องการกระจายให้คนที่เริ่มเก็บออม มีเงินน้อยได้เข้าถึงก่อน แต่รุ่นออมไปด้วยกันนั้นไม่กำหนดเพดานซื้อ
รุ่นที่ดอกเบี้ยดี ถ้ารัฐอยากให้คนที่มีเงินออมไม่มากเข้าถึงก่อนก็สามารถทำได้ เช่น เปิดช่วงเวลาให้บุคคลกลุ่มนี้ก่อน กำหนดเพดานซื้อไว้ เช่น ไม่เกิน 5 หมื่น 1 แสน หรือ 1 ล้านบาท จากนั้นจึงเปิดเป็นรอบที่ไม่กำหนดเพดานซื้อ รูปแบบนี้จะช่วยให้คนมีเงินออมไม่มากนักได้เข้าถึงแหล่งออมที่มั่นคง ดีกว่าให้พวกเขาไปเสี่ยงกับแหล่งออมนอกระบบแม้จะให้ดอกเบี้ยสูงกว่า แต่โอกาสที่จะถูกเชิดเงินไปทั้งหมดก็มีเช่นกัน นอกจากนี้ ยังเป็นการลดช่องว่างของคนมีน้อยกับคนมีมากไปในตัว
สัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้น
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า ทิศทางผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยเริ่มขยับขึ้น หลังจากทั่วโลกเริ่มมีวัคซีนในการสกัดกั้นโควิด-19 กิจกรรมที่เคยถูกระงับไว้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเริ่มกลับมาเปิดให้บริการได้ คนที่มีรายได้ไม่ถูกกระทบจากโควิด-19 พร้อมที่จะจับจ่าย ราคาสินค้าหลายประเภทที่ชะลอตัวจากกำลังซื้อหดหายเตรียมปรับราคา ทั้งจากต้นทุนการผลิต ราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบ หรือปัจจัยอื่นๆ ยิ่งประเทศไทยมีปัญหาเรื่องน้ำท่วมหลายพื้นที่ พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง มีเหลือออกสู่ตลาดน้อย ย่อมส่งผลให้ราคาปรับสูงขึ้น อาจยกเว้นข้าวที่ราคาตกลงอันเป็นผลมาจากคู่แข่งของไทยในตลาดโลกมีผลผลิตมาก
ประเทศอื่นๆ เมื่อก้าวผ่านโควิด-19 จากการฉีดวัคซีนให้ประชากรในประเทศ อัตราเงินเฟ้อล้วนเพิ่มขึ้นทั้งนั้น เช่น ที่สหรัฐฯ หลายฝ่ายกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลต่อมายังส่วนอื่นๆ เห็นได้จากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น คาดกันว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า
สำหรับเงินเฟ้อในประเทศไทยเดือนตุลาคม 2564 เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ 2.38% และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นในเดือนต่อไป ซึ่งการควบคุมเงินเฟ้อภาครัฐอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากวิกฤตโควิด-19 นั้น ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม แต่ดอกเบี้ยในตลาดอาจขยับสูงขึ้นได้ โดยไม่อิงดอกเบี้ยนโยบาย
ตอนนี้ Government Bond Yield ขยับสูงขึ้นแล้ว พันธบัตรรัฐบาลรุ่นใหม่จึงให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าตลาด ก่อนหน้านี้ ธนาคารออมสินเริ่มออกโปรโมชันช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ ไม่เสียภาษี ระยะ 5 เดือน ดอกเบี้ย 0.425% และ 8 เดือน ดอกเบี้ย 0.475% ถือว่าให้ดอกเบี้ยสูงกว่าตลาด และยังออกโปรโมชันสลาก 2 ปี โดยเพิ่มรางวัลพิเศษ 1 ล้านบาท อีก 20 รางวัล สำหรับผู้ซื้อในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2564
สะท้อนถึงความต้องการระดมเงินเพื่อรองรับกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งการล็อกดอกเบี้ยไว้ก่อนย่อมได้เปรียบกว่า หากทิศทางดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น
ถ้าเศรษฐกิจฟื้น-ดอกเบี้ยขยับ-ไม่น่าห่วง
สัญญาณเหล่านี้ค่อนข้างชัดเจนว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยเริ่มขยับขึ้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่หลายประเทศฉีดวัคซีนให้ประชาชนและเริ่มเปิดประเทศ รวมถึงประเทศไทย โอกาสของการมีงานทำเริ่มเพิ่มมากขึ้น กำลังซื้อจึงค่อยๆ ฟื้น ความจำเป็นในการใช้สินเชื่อทั้งจากภาคบุคคลและภาคธุรกิจย่อมตามมา เชื่อว่าอีกไม่นานธนาคารพาณิชย์อาจมีการออกโปรโมชันชิงเงินฝากเช่นกัน
สำหรับผู้ที่พลาดหวังจากการซื้อพันธบัตรรอบนี้ เมื่อเห็นทิศทางอัตราดอกเบี้ยแล้วอาจสบายใจขึ้น พันธบัตรในปี 2565 อัตราดอกเบี้ยมีสิทธิที่จะเพิ่มขึ้นจากปลายปี 2564 แต่มีความเป็นไปได้ว่าสถานการณ์ในปีหน้าอาจมีความผันผวนได้ หากการแพร่ระบาดย้อนกลับมาอีกครั้ง
แม้ว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นเป็นผลดีกับฝั่งผู้มีเงินออม แต่อาจไม่ใช่เรื่องดีนักสำหรับผู้ที่ยังมีภาระหนี้สินอยู่ ยิ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยตรงแล้วยิ่งอาจเป็นภาระมากขึ้น หากถ้าสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นทำให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้มีงานทำ มีรายได้เข้ามา ปัญหาหนี้สินที่มีอยู่แม้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอาจสร้างภาระให้ แต่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการยืดระยะเวลาผ่อนชำระออกไป หรือเจ้าหนี้คงอัตราดอกเบี้ยเดิมไว้ให้ย่อมเป็นเรื่องที่ดี
เมื่อเศรษฐกิจเดินหน้าด้วยความร่วมมือของทุกฝ่ายเพื่อฝ่าวิกฤตครั้งนี้ การกลับเข้าสู่ภาวะปกติมีโอกาสกลับมาได้อีกไม่นาน