จับตาพี่น้อง ‘3 ป.-บิ๊กน้อย’ อุ้มบิ๊กตู่ นั่งนายกฯ ได้ถึงปี 2570 หลังทีมกฎหมายตรวจสอบชัดนายกฯ มีวาระ 8 ปี ต้องนับหนึ่งปี 2562 มั่นใจ ‘เพื่อไทย’ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความก็ออกมาเช่นนี้ ขู่ ส.ส.ใน พปชร.คิดจะเขย่าบิ๊กตู่ หลังเปิดสภา พ.ย.นี้ จะไม่มีที่ยืน ขอให้ดู ‘ผู้กองธรรมนัส’ เป็นบทเรียน มีเงินมหาศาลแต่ไม่มีอำนาจ พร้อมศึกษาเกมการเมืองพี่น้อง 3ป.ให้เข้าใจ ‘ลึกซึ้ง-เหนียวแน่น’ มุ่งผลสัมฤทธิ์ปกป้องโครงสร้างประเทศให้ปลอดภัย ชี้หากปรับ ครม. ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ นั่งรองนายกฯ ปราบทุจริตคอร์รัปชันสร้างผลงานให้ ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ โดนใจประชาชน เชื่อจะมีการยุบสภาในราวเดือนกุมภาพันธ์ 2566!
การยึดกุมอำนาจทางการเมืองของพี่น้อง ‘3 ป.’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร). ในฐานะพี่ใหญ่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หรือบิ๊กป๊อก ในฐานะพี่รอง และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม หรือน้องเล็ก รวมทั้งการเข้ามาของ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หรือบิ๊กน้อย ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม!
โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ใกล้ชิดแบบรู้ใจ หรือ คนในพรรค พปชร.อาจเชื่อว่า พี่น้อง 3 ป.ขัดแย้งกันเพียงแค่เห็นสิ่งที่ปรากฏต่อสาธารณชน ในเรื่องการแยกกันเดินสายหาเสียง หรือการสั่งปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นเก้าอี้ รมช.เกษตรฯ พร้อม ‘คู่หู’ อย่างนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน หรืออดีตโฆษกบิ๊กอาย ชนิดข้ามหัวพี่ใหญ่อย่างบิ๊กป้อม เสมือนไม่มีตัวตน หรือไม่อยู่ในสายตาอีกต่อไป
รวมทั้งการดึง ‘บิ๊กน้อย’ เข้ามาร่วมวงไพบูลย์ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรค ถึงขนาดร่วมแรงร่วมใจกับพี่ป้อม ขอให้ ‘บิ๊กตู่’ คืนเก้าอี้ให้อดีต 2 รมช.ก็ยังไม่สำเร็จ
แถมยังมีกระแสข่าว ส.ส.กลุ่มหนึ่งยังคิดจะเขย่าเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อมีการเปิดสภาสมัยประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 ช่วงวันที่ 1 พ.ย.64-28 ก.พ.65 ซึ่งจะมีกฎหมายสำคัญๆ หลายฉบับที่จะเสนอเข้าไป หากกฎหมายไม่ผ่านรัฐบาลก็อยู่ไม่ได้
วิธีการคิดดังๆ ของ ส.ส.กลุ่มนี้ ลืมไปว่าพี่น้อง 3 ป.ยังรักและผูกพัน มีเป้าหมายทำภารกิจร่วมกันให้สำเร็จ และที่สำคัญมีสายข่าวและเหยี่ยวข่าวเป็นตาสับปะรดที่คอยเก็บข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์และรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
“ส.ส.คนไหนคิดไม่ดี ระวังตัวให้ดีจะไม่ได้ลงสมัคร ส.ส.ในสมัยหน้า จะย้ายไปอยู่พรรคอื่น พปชร.ก็ไม่กระเทือน เพราะการเมืองคนที่มีอำนาจเป็นทางการจะมีโอกาสมากกว่า ให้ดูผู้กองธรรมนัส เป็นบทเรียน มีเงินทุนมหาศาล แต่ไม่มีอำนาจในฐานะรัฐมนตรี เป็นเช่นไร” แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุ
พร้อมกับย้ำว่า ถ้า ส.ส.ในก๊วนต่างๆ ของ พปชร.มองให้ลึกและวิเคราะห์กันให้ดีจะรู้ว่าความสัมพันธ์ของ 3 ป.ลึกซึ้งขนาดไหน แค่ดูการที่บิ๊กป้อม ตั้งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และกรรมการบริหารพรรค และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ มาเป็นที่ปรึกษาและช่วยงานหัวหน้าพรรค พปชร. โดยตรง แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของ 3 ป.ชัดเจน และต้องมองให้ลึกลงไปด้วยว่า เขากำลังจะขับเคลื่อนการบริหารประเทศและ พปชร.ไปในทิศทางใด และอย่างไร
“ส.ส.ในพรรคจะโจมตีอยู่บ่อยๆ ว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีในโควตาพรรคตกไปอยู่ในโควตาของบิ๊กตู่มากมาย โดยที่ ส.ส.หรือสมาชิกพรรคควรจะได้เก้าอี้รัฐมนตรีบ้าง เช่น ปลดผู้กองธรรมนัส และบิ๊กอายไปแล้ว ก็ควรตั้งคนในพรรคเข้ามาทดแทน แต่จริงๆ ในการบริหารต้องดูภาพใหญ่ ต้องดูโครงสร้างอื่นประกอบไม่ใช่แค่คิดแบบการเมืองคือ มุ้งเราต้องได้”
ดังนั้น การที่นายพีระพันธุ์ สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแล้ว ก็เท่ากับนายพีระพันธุ์ เป็นคนของพรรค และยังมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคอีกด้วย ก็แปลว่า พี่น้อง 3 ป.เขาคุยกันลงตัว และมีการพูดคุยกับนายพีระพันธุ์ ต้องทำอย่างไรบ้าง ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายพีระพันธุ์ ยังไม่ตัดสินใจจะสังกัดพรรคการเมืองใด ส่วนการเข้ามาในรัฐบาลบิ๊กตู่ เพื่อจะช่วยงานตามที่ได้รับมอบหมายเพียงเท่านั้น
ส่งผลให้ชื่อของนายพีระพันธุ์ โดดเด่นขึ้นมาและมีการมองว่าในอนาคตอันใกล้เขาจะเข้ามามีตำแหน่งใน ครม.เพื่อสร้างผลงานช่วยรัฐบาลบิ๊กตู่ได้เป็นอย่างดี
“นาย มองข้ามไปไกลมาก ไม่ได้คิดแค่การเมือง แต่คิดถึงภารกิจในเรื่องของการปกป้องโครงสร้างของประเทศ และจะต้องแสวงหาคนมาสานต่อภารกิจนี้ให้ได้ภายใต้เวลาที่มีจำกัดคือ 8 ปี นับจากการเลือกตั้งปี 62 นะ และยังเรื่องสุขภาพด้วยว่าจะยังไหวกันหรือเปล่า ซึ่งตอนนี้ยังมองไม่เห็นใครที่จะมารับไม้ต่อ”
แหล่งข่าวบอกอีกว่า จุดอ่อนที่รัฐบาลถูกโจมตียังคงมีเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันในหน่วยงานต่างๆ แม้ว่าในช่วงรัฐบาล คสช.ดูเหมือนว่าตัวเลขการทุจริตจะลดลง รวมไปถึงเปอร์เซ็นต์การจ่ายใต้โต๊ะจะน้อยลงไปเช่นกัน แต่ระยะหลังมีกระแสข่าวออกมาอีกว่า การทุจริตในโครงการต่างๆ มีมากขึ้น และต้องจ่ายใต้โต๊ะสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งประเด็นในเรื่องการปราบปรามการทุจริตนั้น หากนายกฯ สามารถหาคนใน พปชร.ที่มีคุณสมบัติในการทำหน้าที่ปราบทุจริตได้ เข้ามามีตำแหน่งใน ครม.ถามว่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนหรือไม่? และจะสร้างผลงานให้รัฐบาลได้หรือไม่?
“คนใกล้ชิดจะรู้ว่า นาย กำลังคิดอะไร ซึ่งพวกเราเชื่อว่า คุณพีระพันธุ์ มีคุณสมบัติพร้อมมากที่จะมาทำหน้าที่ตรงนี้ ถามว่าทีมที่ปรึกษาเชียร์หรือไม่ ต้องบอกว่าเชียร์ เพียงแต่ว่าจะออกมาสูตรไหน จะเป็นรองนายกฯ ดูแลด้านปราบปรามทุจริตชัดๆ กันไปเลย ไม่ต้องไปยุ่งกับกระทรวงต่างๆ แล้วก็หาคนในพรรคอีกคนมานั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ หรือกลุ่มสามมิตรจะสับเปลี่ยนตำแหน่งกันอย่างไรก็ต้องดู เพราะ ครม.มีนายกฯ บวกรัฐมนตรี 35 คน ต้องรอดูว่าจะเคาะออกมาแบบไหนเป็นเรื่องที่ (นาย) ตัดสิน”
แหล่งข่าวระบุว่า จากข้อมูลที่มีอยู่เชื่อมั่นว่า พี่น้อง 3 ป.และบิ๊กน้อย จะร่วมผลักดันให้รัฐบาลอยู่ครบเทอมคือ 23 มีนา 2566 และบิ๊กตู่จะนั่งเป็นนายกฯ รักษาการต่อไป กระทั่งมีการเลือกตั้ง และเข้ามาเป็นรัฐบาลที่มีบิ๊กตู่ เป็นนายกฯ อีกสมัยซึ่งจะไปสิ้นสุดในปี 2570
“3 ป.ได้ข้อสรุปการนับอายุ 8 ปีของบิ๊กตู่จากนักกฎหมายชัดเจนแล้ว และเชื่อมั่นว่าทิศทางการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหากฝ่ายค้านยืนตีความไม่น่าจะต่างไปจากนี้ เพราะกฎหมายใช้หลักการเดียวกัน มีความชัดเจน เพราะที่มาของนายกฯ ในช่วง คสช. และการเลือกตั้งมีบริบทและที่มาต่างกัน คือปี 2557 นั่งเป็นนายกฯ จากการรัฐประหาร ไม่ได้จากรัฐธรรมนูญ และปี 2560 ที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญออกมาเป็นการนั่งนายกฯ ต่อเนื่องมาจากปี 2557 แต่จะมีการแต่งตั้งใหม่ก็หลังเลือกตั้งปี 62”
ตรงนี้คือเหตุผลที่ พี่น้อง 3 ป.มั่นใจว่าตำแหน่งนายกฯ ของบิ๊กตู่ เริ่มนับหนึ่งปี 2562 และมั่นใจว่าจะอยู่กันจนครบเทอม และใช้เวลาที่เหลืออยู่บริหารประเทศให้ดีที่สุด พร้อมวางยุทธศาสตร์ให้ พปชร.สามารถชนะเลือกตั้งเพื่อสามารถผลักดันบิ๊กตู่ กลับมาเป็นนายกฯ ได้อีก 1 สมัย ภายใต้รัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ จนถึงปี 2570
“พรรคเพื่อไทย มีนายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด มือกฎหมายก็รู้อยู่แล้วว่าจะนับหนึ่งที่ตรงไหน หากเพื่อไทยจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความในช่วง ส.ค.65 ก็เป็นเรื่องของเพื่อไทย แต่ทางพี่น้อง 3 ป. ชัดแล้ว”
แหล่งข่าวระบุว่า หากรัฐบาลบิ๊กตู่จะอยู่ครบเทอม คือ 2566 นั้น น่าจะมีการปรับ ครม.และตั้งนายพีระพันธุ์ เข้ามามีตำแหน่งใน ครม.ที่เกี่ยวข้องกับการปราบทุจริต เพราะที่ผ่านมานายพีระพันธุ์ ถือว่าเป็นมือปราบทุจริตตั้งแต่อยู่พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อลาออกจากพรรค ปชป. นายกฯ ให้คนชวนนายพีระพันธุ์ มาอยู่ด้วยในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้ไปแก้วิกฤตการบินไทย เข้าไปแก้เรื่องเหมืองทองอัครา เพื่อหาจุดแข็งในการต่อสู้ไม่ให้รัฐบาลไทยต้องเสียค่าโง่ รวมถึงไปนั่งเป็นประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเห็นด้วยที่ตั้งนายพีระพันธุ์ มาเป็นประธาน
สำหรับผลงานที่โดดเด่นของนายพีระพันธุ์ ที่ผ่านมาในสมัยอยู่พรรค ปชป.จะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการทุจริต เคยเป็นประธานคณะ กมธ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร และผลงานที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือ การสอบสวนการทุจริต ‘ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท’ ซึ่งถูกนำไปใช้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลและประสบชัยชนะ ทำให้คนไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่ทางด่วนพร้อมดอกเบี้ยนับหมื่นล้านบาท
“โปรไฟล์ คุณพีระพันธุ์ เคยเป็นอดีตผู้พิพากษา แม่นกฎหมายมาก เป็นคนเอาจริงเอาจัง จับเรื่องใดเกาะไม่ปล่อย ชาติตระกูลพร้อม ไม่ทุจริตคดโกงแน่ๆ และเป็นคนที่รักสถาบันยิ่งชีพ เคยเสนอตัวชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประกาศถ้าได้เป็นรัฐบาลจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี แต่จะใช้เวลาในช่วงนั้นปฏิรูปพรรคให้กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง แต่ด้วยปัญหาภายใน ปชป.ทำให้คุณพีระพันธุ์ ตัดสินใจลาออก นายกฯ ให้ไปชวนมาช่วยงาน ถือว่าได้คนคุณภาพมาร่วม”
อย่างไรก็ดี มีการพูดคุยในวงคนใกล้ชิดว่า หากนายกฯ ตั้งนายพีระพันธุ์ เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลด้านการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน และหยิบเรื่องสำคัญๆ ขึ้นมา หากทำสำเร็จและเป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ จะยิ่งทำให้นายกฯ บิ๊กตู่มีผลงานโดดเด่นมาก และที่สำคัญนายกฯ สามารถมอบหมายให้นายพีระพันธุ์ ตอบกระทู้ต่างๆ ในสภาฯ แทนได้ด้วย
“รัฐบาลต้องเร่งจัดการคนโกง ปฏิรูปด้านทุจริต สร้างผลสัมฤทธิ์ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ตำแหน่งเป็นรองนายกฯ มีอำนาจสั่งการเรียกเอกสารต่างๆ ได้ ไม่ต้องไปคุมกระทรวง ทำงานตามที่นายกฯ มอบหมาย ถ้าทำสำเร็จเขาจะเป็นรองนายกฯ คู่ใจบิ๊กตู่ และสร้างผลงานให้พรรค เพราะวันนี้คุณพีระพันธุ์ เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พปชร.ไปแล้ว”
จากนี้ไปคงต้องจับตาดู นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐจะถูกส่งมานั่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเพื่อทำภารกิจมือปราบทุจริตสร้างชื่อเสียงให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพี่น้อง 3ป.ได้จริงหรือไม่?
พร้อมนำไปสู่เป้าหมายการยุบสภาที่จะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 และจะเป็นรัฐบาลรักษาการเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งและกลับมาเป็นรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อีก 1 สมัย ครบ 8 ปีในปี 2570 ต่อไป
ที่สำคัญหากใครคิดจะเข้ามาบริหารประเทศในยุคนี้หากไม่มี “ทหารหรือกองทัพ” สนับสนุนหรือค้ำบัลลังก์ บอกได้อย่างเดียวว่า ‘อยู่ยาก’ ที่สุด!?