xs
xsm
sm
md
lg

ถล่ม 2 พระมหา “สมปอง-ไพรวัลย์” ยืนฝั่งตรงข้ามรัฐบาล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไลฟ์สดแสดงธรรมของ 2 พระดังอย่างพระมหาสมปอง-ไพรวัลย์ บานปลาย ฝ่ายไม่เห็นด้วยร้องมหาเถรสมาคมตรวจสอบ ทั้งๆ ที่หากจะผิดก็โทษเบา คนในวงการสงฆ์เฉลยทั้งหมดมาจากการเมือง เหตุพระดังทั้ง 2 ยืนคนละฝั่งกับรัฐบาล ขัดคำสั่งห้ามพระ-เณรเกี่ยวข้องกับการเมือง โดนมหาเถรสมาคมเตือนมาแล้วทั้งคู่

กลายเป็น Talk of the Town สำหรับการ Live ของพระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ พระประจำวัดสร้อยทอง กรุงเทพมหานคร ได้ไลฟ์สนทนาธรรมกับ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต พระนักเทศน์ชื่อดัง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ดังนั้นจะมาเป็น พส.เหมือนกันไม่ได้ ไม่ใครก็ใครจะต้องสู่ขิต” ดึงผู้ชมมาพร้อมๆ กันได้ถึง 2 แสนคน เมื่อค่ำวันที่ 3 กันยายน 2564 นับว่าการไลฟ์ครั้งนี้มีผู้ชมพร้อมกันเป็นจำนวนมาก มากกว่าหลายๆ คนที่เคยทำมาก่อน

เนื่องจากทั้งพระมหาสมปอง และพระมหาไพรวัลย์ แห่งวัดสร้อยทอง เป็นพระที่มีจุดเด่น ออกสื่อหลักบ่อยครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและพระสงฆ์ ดังนั้น จึงมีฐานผู้ที่ชื่นชอบเป็นจำนวนมาก เมื่อจัดให้พระทั้ง 2 รูปมาประชันกันย่อมดึงดูดคนให้เข้ามาร่วมชมได้มาก ประกอบกับมีคนดังหลายคนเข้ามาร่วมพูดคุยในการ Live ครั้งนี้ ยิ่งทำให้เพิ่มจำนวนผู้ชมให้มากยิ่งขึ้น

โฆษณาแฝงมาเพียบ

นักวิชาการด้านพุทธศาสนาที่ร่วมงานกับพระเถระผู้ใหญ่รายหนึ่ง มองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เรื่องที่มันดังขึ้นมาไม่ใช่เรื่องของผู้เข้าชมพร้อมๆ กัน 2 แสนคนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของโฆษณาแฝงของเพจทางธุรกิจต่างๆ ที่เข้ามาในรูปคอมเมนต์ จึงเกิดการกล่าวถึงกันถึงความเหมาะสม ทำให้คนที่ไม่ได้ชมการ Live สด ติดตามเข้าไปดูย้อนหลัง ซึ่งเท่าที่ดูเนื้อหาเรื่องธรรมะอาจมีไม่มากนัก

การไลฟ์ของพระชื่อดังทั้ง 2 ครั้งนี้ถูกขยายผลออกไปอย่างมาก ทั้งด้านบวกและด้านลบ ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พระผู้ใหญ่ กรรมาธิการศาสนา ประชาชนบางส่วนได้ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้เป็นวงกว้าง เรื่องดังกล่าวขึ้นอยู่กับว่าจะมองในมุมใด ด้านบวกถือเป็นการเผยแผ่ธรรมะอีกรูปแบบหนึ่งในยุคสังคมออนไลน์ ยุคที่ผู้คนห่างเหินจากพระพุทธศาสนา ขณะที่พระที่จะออกมาเทศน์หรือสอดแทรกธรรมะในลักษณะนี้มีไม่มากนัก ก่อนหน้านี้ อาจมีพระอาจารย์พยอม แต่ด้วยวัยท่านผ่านจุดนั้นไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีพระมหาสมปอง กับพระมหาไพรวัลย์ ที่อยู่วัดสร้อยทองด้วยกันที่มาในแนวสร้างให้การฟังธรรมไม่น่าเบื่อ

แต่ไลฟ์ที่ผ่านมาจะออกมาในแนวขายขำเสียมากกว่า และบุคลิกส่วนตัวของท่านไพรวัลย์ที่อาจหัวเราะมากเกินไป จึงถูกวิจารณ์ว่าไม่สำรวม

ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา ได้ส่งเรื่องให้มหาเถรสมาคมพิจารณาเรื่องดังกล่าว ผลน่าจะคล้ายกับที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ออกมาพูดก่อนหน้านี้ โดยรวมแล้วเมื่อตีความในข้อกำหนดของสงฆ์ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดร้ายแรง


เหตุปมการเมือง

นักวิชาการรายนี้ยังกล่าวอีกว่า สาเหตุที่เรื่องนี้ถูกขยายวงกว้างออกไป แม้การ Live จะไม่ได้ผิดร้ายแรง อย่างมากก็แค่ถูกว่ากล่าวตักเตือน ซึ่งพระทั้ง 2 รูปยืนยันว่ายังจะ Live ต่อไปและพร้อมจะลดโทนลง แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นจากมีการเชื่อมโยงเรื่องนี้ไปในทางการเมือง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าพระมหาทั้ง 2 รูป เคยออกมากล่าวถึงการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้มาก่อน ไม่ว่าจะออกมาในรูปของการเทศน์แบบขำๆ แซว เหน็บแนม หรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในบางเรื่องอย่างจริงจัง ดังนั้นฝ่ายที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลย่อมใช้โอกาสนี้เห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ส่วนฝ่ายที่ชื่นชอบมีทั้งชอบความสนุก ใช้ภาษาหรือศัพท์ที่ตรงกับคนรุ่นใหม่ เข้ามาตามกระแส รวมถึงสายของฝ่ายที่ไม่ชื่นชอบรัฐบาล

ที่จริง Live ครั้งนั้นก็ไม่ต่างกับโชว์อีกรูปแบบหนึ่ง คนที่ยืนคนละฝั่งกับรัฐบาลหวังว่าจะได้ฟังอะไรตรงกับที่ตัวเองคิด แต่พูดไม่ได้ หวังให้การ Live ครั้งนี้ออกมาพูดแทน

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์กับวัดพระธรรมกาย ที่มีการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ โครงสร้างอำนาจของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมเปลี่ยนไปจากเดิม แน่นอนว่ากระทบกับพระในสายของมหานิกายอยู่ไม่น้อย ที่จริงก่อนหน้านี้ มีพระสายมหานิกายออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เช่น เจ้าคุณพิพิธ วัดสุทัศน์ และเจ้าคุณประสาร จากมหาจุฬาฯ ซึ่งก็ถูกเตือนและลดบทบาทลงไป

ต้องยอมรับความจริงว่าพระสงฆ์ส่วนหนึ่งไม่ชื่นชอบแนวทางของรัฐบาลปัจจุบัน ทั้งคดีวัดพระธรรมกาย คดีเงินทอนวัด และโครงสร้างของมหาเถรสมาคมที่เปลี่ยนไป ที่จริงก่อนหน้านี้ หลายคนก็ไม่ชอบการทำงานของอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ของ พ ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เมื่อเกิดม็อบของเยาวชนที่ออกมาขับไล่รัฐบาลในช่วงปี 2563 ในระยะแรกจึงได้เห็นพระสงฆ์ สามเณรกลุ่มหนึ่งเข้าร่วมชุมนุมด้วย


มหาสมปองแซวเรือดำน้ำ

คนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาโดยตลอดจะทราบดีว่าพระมหาทั้ง 2 รูปจากวัดสร้อยทอง มักถูกร้องเรียนกับทางมหาเถรสมาคมถึงการแสดงความคิดเห็นในทางการเมืองต่อรัฐบาล

เริ่มที่พระมหาสมปอง มีเรื่องให้กล่าวถึงอยู่ไม่น้อย อย่างการรีวิวสินค้า (ปุ๋ยน้ำ) ของลูกศิษย์ ได้รับการชี้แจงว่า กรณีรีวิวสินค้าเกิดจากการที่มีลูกศิษย์นำมาถวาย และบอกวัตถุประสงค์ต้องการให้ขายดี จึงขอให้ช่วยรีวิวสินค้า โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนแต่อย่างใด ซึ่งเรายอมรับว่าขาดความระมัดระวัง เมื่อภาพปรากฏออกไปกลายเป็นกระแสด้านลบ ทำให้ไม่สบายใจ จึงต้องขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าต่อไปในภายหน้าจะไม่กระทำอีก จะระมัดระวังตัวในการแสดงออกทางสื่อ โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียที่แพร่กระจายข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว

ต่อมา เป็นการรับเป็นที่ปรึกษาสโมสรฟุตบอลจัมปาศรี ยูไนเต็ด พระมหาสมปองชี้แจงว่า กรณีถูกตั้งเป็นที่ปรึกษาสโมสรฟุตบอลนั้น ได้มีโอกาสพบกับประธานสโมสรจัมปาศรี ยูไนเต็ด ซึ่งตนมีความชื่นชอบในกีฬาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตั้งใจนำเรื่องวัฒนธรรมอันดีงามของพุทธศาสนามาช่วยในเรื่องของกีฬา เสริมสร้างทางด้านจิตใจให้นักกีฬามีจิตใจที่รู้จักแพ้ ชนะ และให้อภัย โดยการรับเป็นที่ปรึกษา ไม่ได้รับค่าตอบแทน มีแต่ส่งเสริมสนับสนุน และให้คำปรึกษาที่ดีอย่างยิ่งต่อการพัฒนากีฬาเท่านั้น

เรื่องที่ดูจะหนักที่สุดของพระมหาสมปองคือเรื่องแสดงความเห็นทางการเมือง เนื่องจากมีมติของที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 11/2564 เมื่อวันที่ 30 เม.ย.2564 มส. ได้มีมติ เรื่อง การแสดงความคิดเห็นของพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต กรณีโควิด-19 กับการทำงานของรัฐบาล และการแสดงที่ไม่เหมาะสมนอกเหนือกิจของสงฆ์

โดยระบุว่า ตามที่ปรากฏข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2564 ได้นำเสนอความคิดเห็นของพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต วัดสร้อยทอง แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ ดังนี้

1.ปรากฏข้อความในบัญชีเฟซบุ๊กของ สาโรจน์ จุ้ยเจริญ ความว่า ช่วงหลังหนักมาแต่ทางโลก เป็นเรื่องทางโลกที่ขาดซึ่งธรรมะ ปล่อยให้กิเลส หรืออคติครอบงำ จึงเลือกข้าง โดยกล่าวถึงการทำงานของรัฐบาลตามที่พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต กล่าวไว้ว่า "อ้างนั่น อ้างนี่ งบไม่มี เตียงไม่พอ งบไปไหน ซื้อมาสิล้านเตียง เอาไปซื้อเรือดำน้ำ รถถัง เอามาพวกนี้ก่อนสิ เลิกๆ ไปก่อน หยุดไว้เลย ไม่มีใครรบกับคุณหรอก ช่วงนี้คนอ่อนแอ เอามารบกับโควิด"

2.ร่วมจัดรายการวิเคราะห์ วิจารณ์ข่าวทางสถานีวิทยุโทรทัศน์และสื่อสังคมออนไลน์

3.ทำการประชาสัมพันธ์โฆษณาขายสินค้า (ปุ๋ยน้ำ) ออกสื่อสังคมออนไลน์

ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเห็นว่าเข้าข่ายการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และเป็นการแสดงที่ไม่เหมาะสมกับสมณสารูป มอบสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานพระสังฆาธิการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป

หลังจากที่เจอ 3 เรื่องดังกล่าว พระมหาสมปองก็ลดบทบาทลง และกลับมาเป็นที่กล่าวถึงอีกครั้งในการ Live เมื่อ 3 กันยายน 2564

มหาไพรวัลย์คู่ฟัดปวิน

ขณะที่พระมหาไพรวัลย์ ถือว่าเป็นพระรุ่นใหม่ที่มักให้ความเห็นต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ จนหลายครั้งที่ถูกมองว่ายืนอยู่คนละฝั่งกับรัฐบาล โดยเฉพาะกรณีของวัดพระธรรมกาย ที่มีการใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดเพื่อหาตัวพระธัมมชโยมาดำเนินคดี

แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุด คือ การปะทะกันระหว่างพระมหาไพรวัลย์กับนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ต้องหาคดี 112 หนีคดีไปอยู่ที่ญี่ปุ่น ทั้ง 2 ทำสงครามความเห็นผ่านโลกโซเชียลอย่างเผ็ดร้อน เมื่อปี 2562

พูดความจริงว่าพระอย่างไพรวัลย์ หลงระเริงทางโลกมาก เล่นเฟซบุ๊กเป็นอาชีพ ถ่ายรูปตัวเองลงมากกว่าฆราวาส เล่นกระแสโซเชียลต่างๆ นี่เพิ่งเห็นว่าโพสต์ด่ากลับดิฉันว่าถ่อยและทราม การชี้จุดอ่อนพระแบบนั้น ถ้าคิดว่าถ่อยและทราม ดิฉันรับไว้หมด แต่พอซะทีกับการที่ทำตัวเป็นพระเซเลบ มันเหม็นเบื่อ มันยังลุ่มหลงในชื่อเสียงลาภยศ อย่าเป็นเลยดีกว่าไอ้อาชีพพระเนี่ย อ้อ ดูจากเนื้อความแล้วนางโกรธดิฉันมาก 55555 แค่ความโกรธก็ดับไม่ลง จะเอาอะไรมากกว่านี้

“ดิฉันมีปัญหากับพระเล่นเฟซบุ๊กมากนะคะ คือตอนแรกคิดว่าใช้เฟซบุ๊กเป็นสื่อธรรมะ แต่หลังๆ มันไม่ใช่อะ พระพวกนี้เล่นตามกระแสที่ชาวฆราวาสเล่น อย่างเปรียบเทียบอายุ 10 ปี หรือเรื่องการรายงานความเคลื่อนไหวของตัวเองรายชั่วโมงว่าไปทำอะไรมาบ้าง บางทีไม่เกี่ยวกับศาสนาเลย คือถ้ายังตัดทางโลกไม่ได้ สึกออกมาเถอะค่ะ เห็นแล้วเหนื่อยใจ อ้อ พระพวกนี้จะโกรธมากถ้าเราทักแบบนี้ เผอิญดิฉันเป็นมารศาสนา ด่าอีกที ถ้าจะทำให้ดิฉันตกนรกไปลึกกว่านี้ ดิฉันยอม...”

พระมหาไพรวัลย์ ตอบโต้ว่า อาตมาเคยเห็นใจคนอย่างปวินนะ อันนี้พูดจากหัวใจ เห็นใจที่เขาถูกรังแกอย่างไม่เป็นธรรม และเห็นว่า การที่เขาแสดงความเห็นแม้จะด่าทอโกรธแค้นในการต่อต้านรัฐ ก็เป็นเรื่องที่ควรรับฟัง เพราะอย่างน้อยเขาก็ทำในฐานะของคนที่พยายามต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง แต่ตอนหลังมาปวินเหมือนคนเสียสติที่กัดเหวี่ยงคนอื่นไปทั่ว

“ไม่เคยรับความจริงเลยนะคะหลวงพี่ ดิฉันพร้อมพูดความจริง เพราะรู้ว่าหลวงพี่ต้องดิ้น ถ่อยทรามตรงไหนไม่ทราบ พระเล่นเฟซบุ๊กขนาดนี้ ตัดทางโลกไม่ขาด สึกค่ะ ทำศาสนาเสื่อมเปล่าๆ” พระมหาไพรวัลย์ตอบกลับว่า “มีข้อไหนที่บอกว่าพระใช้เฟซบุ๊กแล้วต้องสึกอาจารย์ ถ้าคำพูดพวกนี้มาจากคนอีกฝั่ง อาตมาจะไม่ถือสาเลยนะ แต่นี่เป็นอาจารย์ ทำไมจึงมองอะไรมักง่ายแบบนี้ ทำไมถึงจ้องหาเรื่องกันกับสิ่งที่ไม่ควรหาเรื่องหาความ”


สิทธิชุมนุมของพระ

เมื่อเกิดการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาในปี 2563 ในระยะแรกมีพระ-เณรมาเข้าร่วมชุมนุมด้วย พระมหาไพรวัลย์ได้ออกมาแสดงความเห็นเรื่องของสิทธิในการชุมนุมของพระ

“พระ เณรที่ออกไปชุมนุมก็พูดถึงการแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่โครงสร้างทั้งหมดไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อพระภิกษุสงฆ์ แม้กระทั่งไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ยังไม่สามารถไปฟ้องศาลปกครองได้เลย และควรเปิดพื้นที่พระ เณร ได้แสดงความคิดเห็น เพื่อไม่ต้องลงถนนร่วมชุมนุม”

มีการตั้งเพจคณะปฏิสังขรณ์การพระศาสนาใหม่ ออกแบบโลโก้ล้อเลียนธงธรรมจักร จากเสาเสมาเป็นรูปแครอท พบว่า นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ กลุ่มขอนแก่นพอกันที และหนึ่งในแกนนำม็อบราษฎร ซึ่งเป็นคนจัดทำธงล้อเลียน "ธงแครอทธรรมจักร" มอบธงดังกล่าวให้พระมหาไพรวัลย์ เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2563

โลกออนไลน์ได้แชร์เอกสารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติลงวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ได้ทำหนังสือแจ้งต่อเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร พร้อมส่งเอกสารถอดเทปและสรุปประเด็นในรายการถามตรงๆ ช่องไทยรัฐทีวี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งในวันนั้นทางรายการได้เชิญ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ วัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ และ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร่วมพูดคุยในประเด็นกรณี “ห้ามพระ-เณร เอี่ยวการเมือง”

จากการถอดเทปจากคำพูดของพระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ อาจเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับการเมือง จึงนมัสการให้ พระธรรมสุธี เจ้าคณะจังหวัดกรุงเทพมหานครดำเนินการในทางปกครองคณะสงฆ์ และได้ผลอย่างไร แจ้งให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ต่อมา พระธรรมสุธี เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ได้ทำหนังสือถึงเจ้าคณะเขตบางซื่อ เจ้าคณะแขวง และรักษาการเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง เพื่อดำเนินการถวายคำแนะนำ ตักเตือน ให้ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ต่อไป พร้อมกันนี้ให้รายงานผลดำเนินการให้เจ้าคณะกรุงเทพมหานครทราบ เพื่อแจ้งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาต่อไป

ในหนังสือ เจ้าคณะเขตบางซื่อรับทราบและแจ้งให้รักษาการเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง ดำเนินการต่อไป ลงวันที่ 5 มกราคม 2564

ดังนั้น เราจึงได้เห็นทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการ Live ของ 2 พระมหาแห่งวัดสร้อยทอง เนื่องจากเส้นทางที่ผ่านมาของพระทั้ง 2 มักแสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง ทำให้ที่ประชุมมหาเถรสมาคมต้องแจ้งเรื่องให้พระปกครองทราบเพื่อตักเตือน




กำลังโหลดความคิดเห็น