พิษโควิด-19 หนัก แม้การไฟฟ้าฯ ยังกลายเป็นเจ้าหนี้ ประชาชนไม่มีกำลังจ่ายแม้แต่ค่าไฟ นักการเงินแนะทางออกลูกหนี้สำรวจตัวเอง หาทางลดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด ให้มีเงินเหลือใช้เพื่อการดำรงชีพ เลือกแนวทางแก้ปัญหาหนี้ให้เหมาะกับตัวเองอะไรที่แบกไม่ไหวให้ทิ้ง อย่าเสียดาย รอผ่านพ้นการแพร่ระบาดค่อยว่ากันใหม่ ขณะที่ตัวเลข NPLs ขยับขึ้นส่งผลกระทบต่อกำไรแบงก์ครึ่งปีหลัง แนะเร่งช่วยเหลือลูกหนี้
มาตรการเข้มของรัฐบาลทั้งขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่บ้าน ให้ภาคเอกชนทำงานที่บ้านให้มากที่สุด ลดการเดินทางข้ามจังหวัด เคอร์ฟิว ล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ระลอกนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
พร้อมด้วยมาตรการให้กิจการที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดต้องหยุดให้บริการ นับเป็นอีกครั้งหลังจากที่ช่วงเดือนเมษายน 2563 ประเทศไทยเคยใช้มาตรการลักษณะนี้มาแล้ว แต่ครั้งนั้นการระบาดและความรุนแรงของโรคน้อยกว่าครั้งนี้มาก
ระยะเวลาการแพร่ระบาดที่ข้ามเข้าสู่ปีที่ 2 และยังไม่มีทีท่าว่าทั่วโลกจะควบคุมโรคนี้ได้ แม้ว่าจะมีวัคซีนออกมาฉีดป้องกันให้แก่ประชาชนในเกือบทุกประเทศแล้วก็ตาม การหวนกลับมาระบาดระลอกใหม่นี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะภายในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในหลายประเทศ
ขณะเดียวกัน การแพร่ระบาดที่รวดเร็วและขยายไปในวงกว้าง จนเกิดปัญหาต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ จำนวนเตียงเริ่มไม่เพียงพอต่อผู้ป่วยในแต่ละวัน ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งต้องเสียชีวิตที่บ้านและตามสถานที่สาธารณะ
แนวทางในการควบคุมโรคดังกล่าวต้องแลกมาด้วยรายได้ที่ขาดหายไปของแรงงานในกิจการที่ถูกสั่งปิด แน่นอนว่าหลายกิจการต้องได้รับผลกระทบอีกครั้ง กิจการร้านอาหาร ร้านตัดผม ร้านนวด ธุรกิจกลางคืน ผับ บาร์ต่างๆ ต้องกลับมาเจอกับสภาพที่ต้องขาดรายได้อีกครั้ง แม้จะมีมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่คงไม่เพียงพอหรือเท่ากับรายได้เดิมที่พวกเขาเคยรับกันอยู่
โควิด-19 เกิดขึ้นในปี 2563 เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่มีใครคาดคิดว่าโรคนี้จะรุนแรงคร่าชีวิตคนทั้งโลกเป็นจำนวนมาก ก่อนการแพร่ระบาดหลายคนใช้ชีวิต วางแผนชีวิตตามปกติ สร้างหนี้สินเพื่อความมั่นคงของชีวิต หลายคนจึงประสบ
ปัญหาเรื่องภาระหนี้สินที่มีอยู่
การระบาดของโรคทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบมีทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนหนึ่งต้องหยุดประกอบธุรกิจ เนื่องจากเป็นต้นทางของการแพร่ระบาด นับเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการมาตรการควบคุมโรคโดยตรง
การห้ามออกจากบ้านตั้งแต่ 3 ทุ่ม ประชาชนที่ค้าขายกลางคืน ทั้งร้านอาหารข้างทาง รถแท็กซี่ย่อมไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ และไม่สามารถประกอบกิจการได้ รวมถึงห้างสรรพสินค้าต้องปิดให้บริการ รวมถึงหลายกิจการที่ต้องหยุดประกอบธุรกิจ รายได้ของพนักงานในกลุ่มนี้จึงขาดหายไป แม้กลุ่มที่ไม่ถูกสั่งหยุดกิจการแต่รายได้จากการค้าขายก็เริ่มลดลงจากความกังวลของประชาชนที่จับจ่ายด้วยความระมัดระวังมากขึ้น
การไฟฟ้าเป็นเจ้าหนี้
นักบริหารเงินให้คำแนะนำในการประคองชีวิตภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ว่า ภาระค่าครองชีพของแต่ละคนมีค่าใช้จ่ายที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตของแต่ละคนหรือแต่ละครอบครัว ดังนั้น เมื่อเหตุที่มากระทบต่อรายได้ ย่อมส่งผลต่อค่าใช้จ่ายที่มี มากน้อยขึ้นอยู่กับแล้วสถานการณ์ของแต่บุคคล
โควิด-19 เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ผู้คนใช้ชีวิตตามปกติ สร้างภาระหนี้สินเพื่อความมั่นคงและความสะดวกสบายของชีวิต ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิตหรือสินเชื่ออื่นๆ ซึ่งมีสถานะลูกหนี้และเจ้าหนี้ระหว่างกัน
แต่ขณะนี้พบว่าบางครอบครัวอาจมีเจ้าหนี้เพิ่มขึ้นอีก เช่น เจ้าหนี้การไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น เนื่องจากตามกฎระเบียบแล้วผู้ใช้ไฟมักจะค้างชำระได้เพียงแค่ 1-2 เดือนเท่านั้น หากไม่ไปชำระจะถูกตัดไฟหรือถึงขั้นยกมิเตอร์ไฟออก
รัฐบาลทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชนจึงให้นโยบายไม่มีการตัดไฟนานถึง 12 เดือน เราจึงได้เห็นมีผู้ที่ไปขอผ่อนชำระกับการไฟฟ้าที่มียอดค้างชำระถึง 11 เดือน จนการไฟฟ้ากลายเป็นเจ้าหนี้อีกรายของผู้ใช้ไฟ
ส่วนค่าน้ำประปานั้น ส่วนใหญ่ไม่เป็นปัญหาเนื่องจากค่าน้ำแต่ละเดือนของครัวเรือนทั่วไปไม่สูงนัก
ขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อการดำรงชีพยังคงมีอีกหลายรายการ ขึ้นกับวิถีชีวิตของแต่ละบุคคล ค่าอินเทอร์เน็ตนับว่าเป็นค่าใช้จ่ายอีกรายการหนึ่งที่หลายคนจำเป็นต้องจ่าย ด้วยสภาพสังคมที่อยู่ในยุค Social Network
ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะมากหรือน้อยคงขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัว เช่น หากมีสมาชิก 3 คน คงต้องใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือทุกคน บางบ้านอาจมีอินเทอร์เน็ตบ้านอีก 1 รายการ เมื่อรวมเฉพาะค่าใช้จ่ายในส่วนนี้บางบ้านอาจเป็นตัวเลขที่สูง ต้องดูว่าทุกคนในบ้านใช้ในแพกเกจใด ปรับลดลงไปใช้แพกเกจที่มีราคาต่ำกว่าได้หรือไม่ อินเทอร์เน็ตบ้านจำเป็นหรือไม่ หรือลดแพกเกจ ย้ายค่ายไปสู่ราคาที่ต่ำกว่าได้หรือไม่
หาทางลดค่าใช้จ่ายทุกช่องทาง
หนี้หลักๆ ของคนไทยจะมีอยู่ประมาณนี้คือ ผ่อนบ้าน รถยนต์ จำนำทะเบียนรถ บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล แต่ละคนแต่ละอาชีพคงได้รับผลกระทบที่ไม่เท่ากัน เอาเป็นว่าคนที่มีรายได้ลดลงหรือถึงขั้นต้องขาดรายได้ทั้งหมดถือเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมาก แต่สถานการณ์เช่นนี้ทางออกของปัญหาทำได้จำกัด การขาดรายได้ไปย่อมกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ใครที่มีภาระผ่อนชำระจากการกู้ยืมมากคงแบกรับความเครียดมากกว่าคนอื่น
ลำดับแรกให้จัดลำดับความสำคัญของค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตก่อน ค่าน้ำ ค่าไฟ อาหารการกิน ปรับลดเพื่อให้ราคาต่อมื้อลดลงได้หรือไม่ จากนั้นลองมาดูรายละเอียดของค่าใช้จ่ายที่จำเป็นว่าจำเป็นจริงๆ หรือไม่ จากนั้นต้องตัดสินใจว่าจะเลือกแก้ปัญหาหนี้ที่ต้องผ่อนชำระด้วยวิธีใด อะไรควรสู้ต่อ อะไรควรปล่อยไป เพื่อลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายออกไป
ภาระผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และรายการผ่อนชำระอื่นๆ อีกหรือไม่ ประเมินถึงรายได้ของตนเองที่มีอยู่ รวมถึงเงินออมที่มีว่าเพียงพอต่อภาระค่าใช้จ่ายหรือไม่ สามารถปรับลดลงมาได้หรือไม่ หรือมีตัวเลือกอื่นแค่ไหน บางรายอาจมีภาระเรื่องของเบี้ยประกัน เช่น กรมธรรม์แบบออมทรัพย์หรือประเภทอื่น ภาระเรื่องประกันรถยนต์ ถ้าประกันชั้น 1 ไม่ไหวก็อาจลดลงไปทำประเภทอื่นแทน
วิธีการที่ฝ่ายเจ้าหนี้เสนอมามีทั้งลดดอกเบี้ย พักชำระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้เป็นหนี้ระยะยาว หรือวิธีอื่นๆ ดังนั้น ลูกหนี้ต้องประเมินตัวเองให้ออกว่าสามารถรับเงื่อนไขแบบใดได้ เพื่อประคองตัวให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้
NPLs แบงก์ขยับขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินถึงผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์จากสถานการณ์โควิด-19 ว่า วิกฤตโควิด-19 ในประเทศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 2/2564 เริ่มมีผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของลูกหนี้มากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนจากข้อมูลลูกหนี้ที่เข้ารับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินในเดือนพฤษภาคม 2564 ซึ่งขยับขึ้นมาที่ 1.89 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือ 2.00 ล้านล้านบาท (จาก 1.79 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดภาระหนี้ 1.98 ล้านล้านบาท ในเดือนเมษายน 2564) โดยประเมินว่า ผลกระทบที่หนักและชัดเจนมากขึ้นของโควิด-19 ระลอก 3 อาจทำให้จำนวนบัญชีและยอดภาระหนี้ที่เข้ามาตรการช่วยเหลือมีโอกาสขยับขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3/2564 นี้
หากย้อนกลับมามองที่สถานการณ์ NPLs ของระบบธนาคารพาณิชย์ แม้ยังเป็นช่วงที่ธนาคารพาณิชย์ยังได้รับอานิสงส์จากการผ่อนคลายเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ของ ธปท. ในกรณีที่สถาบันการเงินเร่งปรับโครงสร้างให้ลูกหนี้ แต่ด้วยความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อรายได้ของลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการในหลายๆ ธุรกิจเป็นเวลานาน ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ของระบบธนาคารพาณิชย์มีโอกาสขยับขึ้นมาที่กรอบ 3.15-3.25% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาสที่ 2/2564 จากระดับ 3.10% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 1/2564 โดยยังคงต้องติดตามสัญญาณด้อยคุณภาพของสินเชื่อในพอร์ตลูกค้า SMEs และลูกค้ารายย่อย เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันอย่างใกล้ชิด
ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยทำให้ธนาคารพาณิชย์ยังต้องระมัดระวังประเด็นด้านคุณภาพของหนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2/2564 ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งอาจตั้งสำรองในระดับที่สูงขึ้นกว่าในไตรมาสแรก และสูงกว่าระดับสำรองในสถานการณ์ปกติ ซึ่งจะส่งผลทาให้สัดส่วนการตั้งสารองต่อสินเชื่อ (Credit Cost) อาจขยับขึ้นมาที่กรอบ 1.35-1.45% ในไตรมาส 2/2564 เทียบกับ 1.30% ไตรมาส 1/2564 ขณะที่ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพน่าจะทรงตัวในระดับสูงในช่วงประมาณ 144-145%
กำไรเริ่มลดลง
สุดท้ายนี้ คงต้องยอมรับว่าการระบาดของโควิด-19 ที่ปะทุขึ้นเป็นระลอกที่ 3 อาจกดดันรายได้จากธุรกิจหลัก และทำให้ธนาคารพาณิชย์มีค่าใช้จ่ายในการกันสำรองเพิ่มมากขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า กำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยจะชะลอลงมาที่ 3.48 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 2/2564 เทียบกับกำไรสุทธิ 3.87 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 1/2564 ขณะที่ความผันผวนของสถานการณ์เศรษฐกิจอาจเพิ่มแรงกดดันต่อสถานะทางการเงินของลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการในหลายๆ ธุรกิจ ซึ่งทำให้คาดว่า สัดส่วน NPL ของระบบธนาคารพาณิชย์มีโอกาสขยับขึ้นมาที่กรอบ 3.15-3.25% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาสที่ 2/2564 จาก 3.10% ในไตรมาสที่ 1/2564
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การประคองผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ยังเป็นโจทย์ที่ท้าทาย เพราะสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในภาพรวมยังคงขึ้นอยู่กับการสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 การเร่งจัดหาและกระจายวัคซีน ตลอดจนการเยียวยาภาคส่วนที่ถูกกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ที่ทันต่อสถานการณ์ และสำหรับโจทย์ภารกิจเฉพาะหน้าที่สำคัญของสถาบันการเงินน่าจะอยู่ที่การเร่งช่วยเหลือลูกหนี้ในกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs และรายย่อยในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมเข้มงวด 10 จังหวัด โดยจากข้อมูล ธปท. สินเชื่อ SMEs และรายย่อยใน 10 จังหวัดดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 31.9% ของสินเชื่อรวม ณ ไตรมาสที่ 1/2564 ของระบบธนาคารพาณิชย์


