xs
xsm
sm
md
lg

สรรหา “ผอ.ไทยพีบีเอส” ปัญหาเรื้อรังตั้งแต่ปี 59 “แก้วสรร” ชี้เป็นองค์กร GMO ไซฟ่อนเงินภาษีบาป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปมเลือก ผอ.ไทยพีบีเอส ปัญหาซ้ำซากตั้งแต่ปี 59-64 ทั้งเรื่องคุณสมบัติและความโปร่งใส แฉ “ชวรงค์” ตั้งเกณฑ์แปลกประหลาด ห้ามใช้สื่อประกอบการแสดงวิสัยทัศน์-ให้เวลาแค่ 15 นาที ทั้งที่ ผอ.ต้องบริหารองค์กรซึ่งใช้เงินภาษีประชาชนปีละเกือบ 3 พันล้าน เผยสัมพันธ์ลึกผู้บริหาร สสส.-ไทยพีบีเอส ด้าน “แก้วสรร” ชี้เป็นองค์กร GMO ที่ไซฟ่อนเงินผ่านสารพัดโปรเจกต์

กล่าวได้ว่าปัญหาการสรรหาผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ผอ.ไทยพีบีเอส ที่ล่าสุดได้ “รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล” ดำรงตำแหน่งต่ออีกสมัย ขณะที่สังคมเคลือบแคลงเรื่องความโปร่งใสนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในการสรรหา ผอ.ไทยพีบีเอสในปี 2564 เท่านั้น หากแต่เรื่องนี้เหมือนการฉายหนังซ้ำเมื่อครั้งที่มีการสรรหา ผอ.ไทยพีบีเอส เมื่อปี 2560

“รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล” นั่งตำแหน่ง ผอ.ไทยพีบีเอส ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2
หากย้อนไปในปี 2560 จะพบว่ามีประเด็นปัญหาในการสรรหา ผอ.ไทยพีบีเอสที่คล้ายกับปี 2564 อยู่หลายจุด โดยเฉพาะเรื่องวิธีการและขั้นตอนในการสรรหาซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง “ความโปร่งใส” โดยการสรรหาในปี 2560 นั้น หลังจากคณะกรรมการสรรหาได้พิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร และรับฟังวิสัยทัศน์ของผู้สมัครทั้ง 7 คน (จากเดิมสมัคร 9 คน แต่ถอนตัวไป 2 คน) ครบถ้วนแล้ว เห็นว่า ในจำนวนผู้สมัคร 7 คน ในเบื้องต้นน่าจะมีผู้สมัครไม่เกิน 2 คน ที่เหมาะสมที่จะได้รับการเสนอชื่อต่อคณะกรรมการนโยบายเพื่อคัดเลือกในขั้นตอนสุดท้ายเป็น ผอ.ไทยพีบีเอส

จากนั้นคณะกรรมการสรรหาก็ได้ทำการโหวตกันว่า 2 คนนั้นจะเป็นใคร โดยกรรมการแต่ละคนใช้วิธีเขียนชื่อของผู้สมัคร 2 คน ที่ตนเองเลือกลงในกระดาษแล้วเปิดออกดูในที่ประชุม เพื่อดูว่าผู้สมัครคนใดที่ได้คะแนนมากลำดับ 1 และลำดับ 2 ซึ่งผู้สมัคร 2 คนที่ได้รับเลือกจากคณะกรรมการสรรหา ก็คือ นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล อดีตรองผู้อำนวยการไทยพีบีเอส (ในสมัยของ ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ อดีตผู้อำนวยการไทยพีบีเอส) จากนั้นก็เสนอรายชื่อทั้ง 2 คน ไปให้คณะกรรมการนโยบายลงมติเลือก 1 คน เป็น ผอ.ไทยพีบีเอส

นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการธรรมาภิบาล ไทยพีบีเอส ซึ่งเคยยื่นทำหนังสือเห็นแย้งเรื่องวิธีการคัดเลือก ผอ.ไทยพีบีเอส
แต่กรรมการธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคมของไทยพีบีเอส ในขณะนั้น อย่างน้อย 3 ท่าน คือ นายณัฐวัฒน์ อริย์ธัชโภคิน นายพิพัทธ์ ชนะสงคราม และนายแก้วสรร อติโพธิ ไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าว โดยนายแก้วสรร ได้ทำหนังสือเห็นแย้ง โดยระบุว่าวิธีการคัดเลือกดังกล่าวไม่ถูกต้อง ที่ถูกคือคณะกรรมการสรรหาต้องโหวตให้คะแนนผู้สมัครทั้ง 7 คน เป็นรายบุคคลไปจึงจะเป็นธรรม หากผู้ใดได้คะแนนเกินเกณฑ์กำหนดก็ถือว่าผ่านการกลั่นกรองและให้เสนอชื่อได้

“คณะกรรมการสรรหากลับลุแก่อำนาจ ไม่กลั่นกรองคุณสมบัติผู้ใดเลย โหวตตัดผู้สมควรให้เหลือ 2 คน โดยไม่มีเหตุผลว่า 2 คนที่ได้นี้เหมาะสมแก่ตำแหน่งหรือไม่ อีก 5 คนที่ตกไปมีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ ไม่มีการวินิจฉัยให้ปรากฏเลย ถือเป็นการปฏิเสธสิทธิของผู้สมัคร ที่เมื่อสมัครแล้วก็มีสิทธิต้องได้รับการพิจารณาในเนื้อผ้า” นายแก้วสรร ระบุ

ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ อดีต ผอ.ไทยพีบีเอส ที่ข้ามห้วยมาจาก สสส.
อีกทั้งขณะนั้นหลายคนมองว่า นายอดิศักดิ์ ซึ่งเป็นอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นตัวเก็งและน่าจะได้รับตำแหน่ง ผอ.ไทยพีบีเอส เนื่องจากมีประสบการณ์ในการบริหารสื่อมานาน แต่สุดท้ายกลับพลิกโผ เมื่อทางผู้สนับสนุน รศ.ดร.วิลาสินี ใช้หนังสือของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นข้ออ้างว่านายอดิศักดิ์ เป็นผู้ไปล็อบบี้ให้ สตง. เอาผิดกับ รศ.ดร.วิลาสินี จากกรณีที่ “ผู้บริหารชุดเก่า” นำเงินไทยพีบีเอสไปซื้อหุ้นกู้บริษัทซีพีเอฟซึ่งเป็นเอกชน อันเป็นเหตุให้ ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ต้องลาออกจากตำแหน่ง ผอ.ไทยพีบีเอส ไปเมื่อเดือน มี.ค.2560 ก่อนที่จะมีการสรรหา ผอ.ไทยพีบีเอสคนใหม่ ในช่วงต้นเดือน ก.ค.2560 เนื่องจากผู้บริหารเข้าข่ายไม่ปฏิบัติตามระเบียบของ ส.ส.ท. คือใช้จ่ายเงินเกินกว่า 50 ล้านบาท แต่ไม่ได้ขออนุมัติจากบอร์ดนโยบาย โดย“รศ.ดร.วิลาสินี” ซึ่งเป็นรอง ผอ.ในช่วงที่มีการซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวก็มีชื่อเข้าข่ายการกระทำผิดร่วมกับ “หมอกฤษดา” ด้วย

จากข้อครหาเรื่องนายอดิศักดิ์ ล็อบบี้ สตง. คณะกรรมการสรรหาจึงตัดสินใจดัน รศ.ดร.วิลาสินี ขึ้นเบอร์ 1 ด้วยคะแนน 2 ใน 3 ของที่ประชุม ส่งผลให้สังคมต่างเรียกการสรรหา ผอ.ไทยพีบีเอส ในครั้งนั้นว่า “ฮั้วแตก” และ “หวยล็อก-หวยเต็ง” และถูกเปรียบเทียบไปถึงการที่ สสส. ส่งหมอฟันที่ไร้ประสบการณ์ด้านสื่อสารมวลชนอย่าง ทพ.กฤษดา ขึ้นเป็น ผอ. ไปก่อนหน้านี้แล้ว

“นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี” ประธานกรรมการสรรหาผู้อำนวยการ ส.ส.ท. (ผอ.ไทยพีบีเอส)
ส่วนการสรรหา ผอ.ไทยพีบีเอส ในปี 2564 นั้นก็ถูกมองว่าไม่โปร่งใสเช่นกัน เนื่องจากมีผู้สมัคร 5 ราย แต่ผู้ที่มีโอกาสในการแสดงวิสัยทัศน์มีแค่ 2 รายเท่านั้น คือ “รศ.ดร.วิลาสินี” อดีต ผอ.ไทยพีบีเอส และ “ผศ.ดร.มานพ กาญจนบุรางกูร” อดีต ผอ.องค์การสะพานปลา ขณะที่อีก 3 รายถูกคัดออก ซึ่งหนึ่งในคือ “นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที” พิธีกรข่าว News1 (ASTV) ที่มีประสบการณ์ในแวดวงสื่อมายาวนาน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เนื่องจาก ผอ.ไทยพีบีเอส เป็นตำแหน่งระดับบริหาร ดังนั้น ผู้ที่สมัครทุกคนควรมีโอกาสในการแสดงวิสัยทัศน์ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะทำให้สถานีโทรทัศน์ซึ่งขับเคลื่อนด้วยภาษีของประชาชนแห่งนี้เป็นสื่อที่มีคุณภาพ มีกลยุทธ์ในการบริการจัดการองค์กรอย่างไร วิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการสื่อสาธารณะเป็นอย่างไร และมีประสบการณ์ในการทำงานสื่ออย่างไรบ้าง

นอกจากนั้น ยังมีข้อกำหนดในการแสดงวิสัยทัศน์ที่ผิดปกติ โดย จดหมายที่ออกโดย “นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี” ประธานกรรมการสรรหาผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ซึ่งแจ้งให้ผู้สมัครนำเสนอวิสัยทัศน์ต่อคณะกรรมการสรรหา “แบบปากเปล่า” โดยไม่ใช้สื่อหรือเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ประกอบในการนำเสนอ อีกทั้งให้ใช้เวลาแสดงวิสัยทัศน์ในการบริหารสถานีโทรทัศน์ที่ใช้งบจากภาษีประชาชนปีละกว่า 2,000 ล้านบาท “แค่ไม่เกิน 15 นาที” เท่านั้น โดยจากข้อมูลพบว่า งบประมาณประจำปี 2563 ของไทยพีบีเอสนั้นสูงถึง 2,953.86 ล้านบาท เลยทีเดียว

ทั้งนี้ หากหันไปดูการสรรหาผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณของรัฐหลายๆองค์กรก็ล้วนแต่ให้ผู้สมัครแสดงวิสัยทัศน์โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ประกอบทั้งสิ้น เช่น การสรรหาผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค กำหนดให้ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกสามารถใช้สื่อประกอบในการแสดงวิสัยทัศน์ โดยใช้สื่อแสดงวิสัยทัศน์เป็นเวลา 10 นาที และสัมภาษณ์อีก 30 นาที รวมเป็น 40 นาที

หนังสือกำหนดหลักเกณฑ์ในการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้เข้ารับการสรรหาเป็น ผอ.ไทยพีบีเอส ซึ่งลงนามโดยนายชวรงค์
นอกจากนั้น สังคมยังตั้งข้อสังเกตว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ผู้ที่มาดำรงตำแหน่ง ผอ.ไทยพีบีเอสนั้นต่างมีสายสัมพันธ์โยงใยกับผู้บริหารของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมโปร่งใส อีกทั้งยังมีเรื่องเงินๆ ทองๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

เริ่มจาก “ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์” ที่ข้ามห้วยจากผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มานั่งตำแหน่ง ผอ.ไทยพีบีเอส ในปี 2559 ทำให้พนักงานไทยพีบีเอสบางส่วนไม่พอใจ ถึงขั้นยื่นเรื่องต่อศาลปกครองให้มีคำสั่งให้คณะกรรมการสรรหาเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้ง ทพ.กฤษดา เนื่องจากมองว่า ทพ.กฤษดา ไม่มีความรู้และประสบการณ์ในการทำงานด้านสื่อเลย เมื่อรอดจากกรณีดังกล่าวมาได้ ทพ.กฤษดา ก็ได้แต่งตั้ง “รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ ภายใต้สังกัด สสส. ให้เป็นรอง ผอ.ไทยพีบีเอส แต่ต่อมาทั้งคู่ได้มีชื่อพัวพันกับการนำเงินไทยพีบีเอสไปซื้อหุ้นกู้บริษัทซีพีเอฟ จนถูก สตง.ตรวจสอบ และทำให้ ทพ.กฤษดา ต้องลาออกจากตำแหน่ง ขณะที่ รศ.ดร.วิลาสินี ก็พ้นจากเก้าอี้ไปด้วย

ส่วน “รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล” ซึ่งนั่งตำแหน่ง ผอ.ไทยพีบีเอส ควบ 2 สมัยนั้น นอกจากจะเคยป็นผู้อำนวยการอาวุโสสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ ภายใต้สังกัด สสส. แล้ว ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ สามีของเธอยังเป็นผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คนปัจจุบันอีกด้วย

ขณะที่ "นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี" ประธานกรรมการสรรหา ผอ.ไทยพีบีเอส ปี 2564 ก็เคยดำรงตำแหน่งกรรมการและรองเลขาธิการภายในมูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ในช่วงที่มูลนิธิฯ ดังกล่าวได้รับทุนจาก สสส. โดยเป็นการรับทุนติดต่อกัยถึง 8 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2551-2558 รวม 14 โครงการ เป็นเงินรวมกว่า 96.4 ล้านบาท และมีชื่อนายชวรงค์ เป็นผู้รับผิดชอบ จำนวน 9 โครงการ จึงมีผู้เคลือบแคลงใจว่าการที่คณะกรรมการสรรหา ผอ.ไทยพีบีเอส ที่มีนายชวรงค์ เป็นประธาน เลือก รศ.ดร.วิลาสินี ซึ่งเป็นอดีตลูกหม้อ สสส. นั่งตำแหน่ง ผอ.ไทยพีบีเอส นั้นเป็นกระบวนการ “ต่างตอบแทน” หรือไม่?

หนังสือกำหนดหลักเกณฑ์การแสดงวิสัยทัศน์ของผู้เข้ารับการสรรหาเป็นผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค
ด้าน นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการธรรมาภิบาลไทยพีบีเอส และอดีต คตส.(คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เกิดขึ้นกับไทยพีบีเอส ว่า ขณะนี้มีพฤติกรรมที่เรียกว่าองค์กร GMO คือ Genetically Modified Organization (องค์กรที่ตัดต่อพันธุกรรม) เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งองค์กร GMO ที่ว่านี้มีการเอาเงินภาษีบาปมาใช้เปลี่ยนแปลงในระดับยีน (Gene) กระบวนการของรัฐที่มีอยู่เดิม เมื่อใช้เงินกันง่าย ไซฟ่อนเงินกันง่าย เกิดโปรเจกต์ต่างๆ เพื่อใช้เงินไปสร้างโครงการนั่นโน่นนี่ โดยอ้างว่าเพื่อสาธารณะ

“คนเหล่านี้เคยเอาเงินขององค์กรไปลงทุนในในบริษัทยักษ์ใหญ่หลายล้าน เอาไปทำสื่อ จนสังคมเห็นเฟกนิวส์ที่เผยแพร่กัน ก็มีคำถามจากสังคมว่าเงินที่ใช้กันมันต่างอะไรกับสถานีโทรทัศน์ของเอกชน ทั้งที่เป็นเงินของคนไทย เงินที่ใช้กันง่าย สาธารณะได้อะไรบ้าง? คุ้มไม่คุ้มกับเงินจำนวนมาก ได้เฟกนิวส์หรือสติปัญญาของคนในชาติ ยิ่งสังคมเข้าสู่สังคมข่าวสารสมัยใหม่ คุ้มค่าหรือไม่? นี่หรือผลพวงภาษีบาปที่ก่อกำเนิดองค์กร GMO ในสังคมไทย นี่คือมุมมองที่ผมเห็น” นายแก้วสรร กล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น