xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องลึกโค่น ‘บิ๊กตู่’ ไม่ง่าย ระบอบประยุทธ์อยู่ยาว!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จับตาเกมเขย่าเก้าอี้ ‘บิ๊กตู่’ ไม่ง่ายอย่างที่คิด ใช้วิกฤตโควิด-19 เป็นเป้าโจมตี 3 ประเด็นใหญ่ ‘นายกฯ’ สอบผ่านทุกข้อ ยอมรับรัฐบาลสอบตกเรื่องการสื่อสาร แต่ทุกข้อใช้ข้อมูลจริงอธิบายได้ ชี้เปิดสมัยประชุมสภาฯ 27-28 พ.ค.นี้ หวั่นจะมีการโจมตี ‘วัคซีนบุรีรัมย์’ ในสภา มั่นใจนายกฯกำจัดจุดอ่อนไม่ให้มีการทุจริตได้ วงในชี้ ‘บิ๊กตู่’ รู้การเคลื่อนไหวรัฐมนตรีผ่านปลัดกระทรวง ยืนยันจะเป็น ‘ร่ม’ คอยปกป้อง..ใครมีอะไรให้บอก ส่วนปัญหาเศรษฐกิจต้องปรับวิธีการขับเคลื่อนใหม่ให้ ‘ภาคเอกชน’ เป็นธงนำ รัฐคือผู้สนับสนุน แต่ต้องไม่ให้ ‘เจ้าสัว’ ผูกขาด มั่นใจรัฐบาลอยู่ครบเทอม!

สถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังถาโถมเข้าใส่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในเวลานี้ไม่ใช่เพียงวิกฤตโควิด-19 และวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาเพียงเท่านั้น ยังมีวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นจากพรรคฝ่ายค้าน กลุ่มชู 3 นิ้ว ผสมผสานบรรดาแกนนำม็อบรุ่นเก่าที่เคยสนับสนุนบิ๊กตู่ อย่างกลุ่มพันธมิตร กลุ่ม กปปส. กลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล และคลื่นใต้น้ำที่อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ร่วมวงเขย่าเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการชูเป้าหมาย ‘บิ๊กตู่...ออกไป’

อย่างไรก็ดี ประเด็นปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ บิ๊กตู่ รู้และเข้าใจเป็นอย่างดี และเตรียมพร้อมที่จะรับมือทั้งการอภิปรายเมื่อมีการเปิดประชุมสภาฯ รวมไปถึงการป้องกันสิ่งที่เป็นจุดอ่อนที่สุดคือความไม่โปร่งใส หรือการทุจริตคอร์รัปชันไม่ให้เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ จนนำไปสู่การโจมตี พร้อมกับจะต้องบริหารอย่างไรที่จะให้รัฐบาลชุดนี้อยู่จนครบวาระได้


“ถ้าเกิดวิกฤตจริงๆ จนเป็นเหตุให้ ‘บิ๊กตู่’ ต้องลาออก หรือต้องยุบสภา นายกฯพร้อม..” แหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาลบอก และย้ำด้วยว่า ประเด็นที่บรรดากลุ่มต่างๆ จะนำไปใช้ในการโจมตี หรือเขี่ยบิ๊กตู่ ในเวลานี้จะเป็นเรื่องของวัคซีนโควิด-19 ที่พยายามตอกย้ำว่า ‘บิ๊กตู่’ บริหารวัคซีนล้มเหลวที่สุด ด้วยการพยายามเชื่อมโยง 3 ประเด็นเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย

1.ทำไมประเทศไทยถึงได้วัคซีนโควิด-19 ช้า 2.ทำไมถึงมีวัคซีนแค่ 2 ยี่ห้อ กว่าจะมีนโยบายวัคซีนทางเลือกเกิดขึ้น 3.ทำไมคนไทยได้ฉีดวัคซีนช้ากว่าประเทศอื่นมาก

โดยทั้ง 3 ประเด็นขอให้สังคมเชื่อมั่นได้ว่า นายกรัฐมนตรีตอบได้ทุกข้อ โดยเฉพาะในข้อที่ 1.ไม่ใช่ว่ารัฐจัดหาวัคซีนช้า แต่เป็นเพราะช่วงนั้นวัคซีนโควิด-19 ขาดแคลนทั่วโลกและวัคซีนที่เรามีอยู่ในมือในเวลานั้นก็กระจายไปทุกจังหวัด ผู้ที่จะโจมตีก็ต้องศึกษาข้อมูลด้วยว่าการเจรจาซื้อวัคซีนต้องเจรจาทั้งผู้ขาย และผู้ผลิต ซึ่งในเวลานั้นยังวิจัยไม่เสร็จสมบูรณ์ ทุกขั้นตอนจึงต้องรัดกุม รัฐบาลมีข้อมูลตัวเลขชี้แจงได้ทั้งหมด

“วัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนที่ทั่วโลกเอามาใช้ในภาวะฉุกเฉิน บริษัทผู้ผลิตจึงมักจะมีเงื่อนไขในการนำมาใช้ค่อนข้างมากเพราะผลวิจัยยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เช่น ถ้าเกิดผลข้างเคียงบริษัทจะไม่รับผิดชอบ การจะเลือกวัคซีนตัวไหนจึงต้องมีความมั่นใจ คำนึงถึงประสิทธิภาพ คุณภาพและความปลอดภัยที่จะฉีดให้ประชาชน”

ประเด็นที่ 2 เชื่อมโยงกับข้อที่ 1 เป็นเรื่องของความขาดแคลน ประเทศผู้ผลิตบางรายก็จะเก็บไว้เพื่อใช้ในประเทศของตัวเอง และมีเงื่อนไขว่าจะขายกับรัฐบาลเท่านั้น แต่เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศผู้ผลิตวัคซีนเริ่มคลี่คลาย เขาก็จะปล่อยวัคซีนที่มีการสต๊อกไว้ออกมาขายให้ประเทศอื่นมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ภาคเอกชนมากระทุ้งแล้วรัฐบาลจึงดำเนินการ

ประเด็นที่ 3 ไม่ใช่ว่ารัฐบาลหรือกระทรวงสาธารณสุขระดมฉีดวัคซีนช้า แต่เป็นเพราะวัคซีนมีจำกัด จึงต้องจัดสรรไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงก่อน รวมไปถึงบุคลากรที่มีความเสี่ยงเป็นอันดับแรก

“ทั้ง 3 ข้อเชื่อมโยงกันไปหมด รัฐบาลก็มีข้อมูลตัวเลขไว้ชี้แจงได้ ไม่มีอะไรน่าห่วง”

ส่วนที่พยายามโจมตีว่าวัคซีน 2 ตัว คือ Sinovac และ AstraZeneca ที่รัฐบาลจัดหามานั้นไม่มีคุณภาพเท่าวัคซีนทางเลือกนั้นคงจะมีการอภิปรายในสภาฯ แน่นอน ประเด็นนี้รัฐบาลไม่ห่วงเพราะสามารถพิสูจน์ได้จากผลการวิจัยที่เสร็จสมบูรณ์และมีการทยอยตีพิมพ์ออกมา รวมทั้งอัตราการฉีดวัคซีน 2 ชนิดนี้และอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งที่เกิดในประเทศไทย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มีการเก็บข้อมูลสถิติไว้ในทุกๆ เคส ที่มีการฉีดและมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น


แหล่งข่าวจากทำเนียบ อธิบายว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ ประเด็นเรื่องของการสื่อสาร ที่รัฐบาลยอมรับว่าอาจจะสอบตกในสายตาประชาชน จนทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น และไปเชื่อข่าวเฟกนิวส์ว่าวัคซีนที่รัฐจัดหามาทั้ง 2 ชนิด ไม่มีคุณภาพ และมีความเสี่ยงสูง จึงไม่ให้ความร่วมมือในช่วงแรกในการเข้ามาลงทะเบียนฉีดวัคซีน จนกลายเป็นประเด็นโจมตีของพรรคฝ่ายค้านและกลุ่มต่างๆ ในโลกโซเชียล ทั้งทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ซึ่งพวกเขามีความเชี่ยวชาญออกมาถล่มอย่างต่อเนื่อง

“เราเพลี่ยงพล้ำเรื่องการสื่อสาร คนจึงมาฉีดน้อย นักการเมืองไปพูดเชิญชวนประชาชนไม่ให้น้ำหนัก จึงไม่ฟัง แต่พออาจารย์แพทย์ออกมาพูด ประชาชนให้น้ำหนัก เชื่อถือมากที่สุด เพียงแต่ว่าบางคนอาจไม่เข้าใจภาษาที่หมอใช้สื่อ เมื่อเทียบกับดาราออกมาโพสต์รูปฉีดวัคซีน และโพสต์ข้อความต่างๆ จึงได้รับการตอบรับที่ดีมาก ประชาชนต้องการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นมาก”

ปัจจุบัน จำนวนการได้รับวัคซีนสะสม (28 ก.พ.-19 พ.ค.2564) รวม 2,540,116 โดส ใน 77 จังหวัด เป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 1,647,871 ราย (จำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนทั้งหมด) และมีผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 892,245 ราย (ซึ่งได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์)

ขณะเดียวกัน ยังมีประเด็นที่ บิ๊กตู่ ให้ความใส่ใจมาก และสั่งให้มีการติดตามก็คือเรื่องของการจัดซื้อ จัดหาวัคซีน ต้องมีความโปร่งใส อย่ามีเรื่องผลประโยชน์เกิดขึ้นเด็ดขาด

อีกทั้งประเด็นที่นายกฯ เชื่อว่าจะมีการหยิบยกไปอภิปรายกันในการเปิดประชุมสภาฯ ซึ่งจะมีการพิจารณางบประมาณแผ่นดินปี 2565 ในวันที่ 27-28 พ.ค.ที่จะถึงนี้ คือเรื่องการนำวัคซีนโควิด-19 ไปฉีดที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ของพรรคภูมิใจไทย

“ถูกหยิบยกมาอภิปรายแน่ๆ ทำไมจังหวัดอื่นๆ ถึงไม่ได้วัคซีนปูพรมเหมือนที่บุรีรัมย์ รัฐบาล พรรคภูมิใจไทย ทำอะไรกัน เราก็รู้กันอยู่ว่า บิ๊กตู่ ไม่ค่อยพอใจคุณอนุทิน ก็มีการเบรกเกิดขึ้น และเบรกไปถึงโครงการ Walk-In ซึ่งจะทำให้มีปัญหาในการจัดการวัคซีน ซึ่งนายกฯต้องการให้ผ่านการลงทะเบียนจะได้จัดสรรได้ง่าย จนเกิดกระแสโจมตีว่าบิ๊กตู่ กับอนุทินมีปัญหากัน”

แหล่งข่าวระบุอีกว่า ในเรื่องการแก้วิกฤตปัญหาโควิด-19 ที่เกิดขึ้น อยากให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า นายกฯ มีความเด็ดขาด และบริหารจัดการได้ดีมาก ทุกเรื่องที่นำเสนอออกมานั้นเป็นไปตามที่อาจารย์แพทย์เสนอทั้งสิ้น เพียงแต่ว่านายกฯ แสดงภายนอกเหมือนกับฟังความเห็นนักการเมืองหรือพรรคร่วมรัฐบาล แต่ความจริงไม่ใช่ นายกฯ มีธงมาทุกครั้ง เพราะจะฟังข้อเสนอของแพทย์มาก่อนทั้งสิ้น

“ถ้ามีอะไรที่ทำแล้วจะเกิดความขัดแย้งกับพรรคร่วม นายกฯ จะเลือกดึงอาจารย์แพทย์เข้ามาร่วมประชุมด้วย แล้วให้แพทย์ให้ความเห็นด้านวิชาการ ทุกอย่างก็จบ ถ้าจะพูดไปแล้วก็คือความฉลาดของบิ๊กตู่นั่นแหละ”


แหล่งข่าวบอกว่า คนไทยต้องมีความภูมิใจและเชื่อมั่นว่าระบบสาธารณสุขและแพทย์ของประเทศไทยเก่งมาก และดีที่สุด ดูได้จากการบริหารจัดการและตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดคือมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 และอัตราการตายน้อยที่สุด ซึ่งจากข้อมูลของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ระบุ สถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวเลขล่าสุดเมื่อวันที่ 20 พ.ค.นี้ มียอดผู้ติดเชื้อรวม 165,550,534 ราย อาการรุนแรง 100,123 ราย รักษาหายแล้ว 144,570,301 ราย เสียชีวิต 3,431,513 ราย โดยมีอันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ประกอบด้วย 1.สหรัฐอเมริกา จำนวน 33,802,324 ราย 2.อินเดีย จำนวน 25,771,405 ราย 3.บราซิล จำนวน 15,815,191 ราย 4.ฝรั่งเศส จำนวน 5,917,397 ราย 5.ตุรกี จำนวน 5,151,038 ราย

ขณะที่ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 92 มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 119,585 ราย!!

“เราต้องชื่นชมหมอไทยในการจัดการ มีการจัดตั้ง รพ.สนาม แยกคนป่วยเป็นสีๆ ตามความรุนแรง การจัดการเรื่องยาและปรับแผนในการฉีดวัคซีนเพื่อให้ประชาชนป่วยน้อยที่สุดและได้รับความปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งตอนนี้นายกฯ สั่งให้จัดหาวัคซีนให้ได้ 150 ล้านโดสแล้ว”


แหล่งข่าวบอกอีกว่า นายกฯ มีการข่าวที่รวดเร็วและเข้าถึงข้อมูลเคลื่อนไหวของรัฐมนตรีทุกกระทรวง และทำให้ข้าราชการกระทรวงต่างๆ มีความมั่นใจในตัวบิ๊กตู่มาก เพราะบิ๊กตู่ มีการประชุม พบปะและนั่งทานข้าวกับปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ทุกเดือน โดยไม่ให้รัฐมนตรี หรือนักการเมืองเข้ามาร่วม

“นายกฯ ใช้เวทีนี้แลกเปลี่ยนในฐานะข้าราชการด้วยกัน และให้ข้าราชการได้รับรู้ว่า ไม่ได้ไปสั่งอะไร และให้ข้าราชการทุกคนมั่นใจว่า นายกฯ พร้อมเป็นร่มที่จะปกป้องหากเจอปัญหาอะไรให้บอก”

ด้วยยุทธวิธีที่นายกฯ ใช้ในการทำงาน ทำให้รู้ถึงความเคลื่อนไหวของรัฐมนตรีในการบริหารจัดการแต่ละกระทรวงมาโดยตลอด จึงเกิดภาพการเมืองที่สะท้อนออกมาสู่สังคมซึ่งดูเหมือนว่า บิ๊กตู่ สามารถบริหารพรรคการเมืองและนักการเมืองได้ นั่นเป็นเพราะนักการเมืองมีจุดอ่อนที่บิ๊กตู่ มองเห็น คือเรื่องของการหาผลประโยชน์ซึ่งจำเป็นอย่างมากในระบบการเลือกตั้ง ซึ่งการประชุมใน ครม.หลายครั้งที่บิ๊กตู่ ไม่อนุมัติโครงการที่รัฐมนตรีบางกระทรวงเสนอมา เพราะมองทะลุว่าเบื้องหลังโครงการนั้นมีอะไรซ่อนอยู่

นอกจากนี้ การที่บิ๊กตู่อยู่ยาวตั้งแต่ คสช.ยึดอำนาจ จนถึงวันนี้ก็ล่วงเลยมาถึง 7 ปี และนำไปสู่ ‘ระบอบประยุทธ์’ ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าอาจจะอยู่ต่ออีกสมัยหรือไม่นั้น จึงเป็นสิ่งที่พรรคฝ่ายค้าน กลุ่ม ชู 3 นิ้ว รวมทั้งสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

“ระบอบประยุทธ์ อยู่ได้และเติบโตฝังลึก เพราะพี่น้อง 3 ป. ซึ่ง 3 คนนี้มีจุดแข็งที่ต่างกัน บิ๊กป้อม มีบารมีมากทั้งทางทหาร ข้าราชการ กลุ่มทุน ส่วนบิ๊กป๊อก เป็นคนฉลาด นิ่ง มีวิธีการจัดการ แม้จะถูกข้อครหาหลายเรื่อง ส่วนบิ๊กตู่ ใช้จุดแข็งในเรื่องความไม่โกง ไม่ทุจริต เหมือนป๋าเปรม ทำให้นักการเมืองไม่กล้าเข้ามาต่อรอง”

แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น จากที่เคยคุมการระบาดเชื้อโควิด-19 ได้ในเฟส 1 และ 2 แต่การระบาดในเฟส 3 ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง บ่อนการพนัน จึงกลายเป็นเป้าโจมตีได้โดยง่าย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กต้องปิดกิจการ ภาคแรงงานตกงานเพิ่มมากขึ้น ประชาชนระดับล่างหาเช้ากินค่ำสิ้นหนทางจะต่อสู้ดิ้นรน

“พวกเขาเลือกใช้สถานการณ์และจังหวะนี้แหละโค่นบิ๊กตู่ ดีที่สุด เพราะในพรรคพลังประชารัฐ ก็มีคลื่นใต้น้ำ ที่ 3 ป. ยังจัดการไม่ได้ เรื่องผู้กองธรรมนัส เรื่องเก้าอี้เลขาธิการพรรค ผลประโยชน์ของบางก๊วนและความไม่สมหวังในเก้าอี้รัฐมนตรีหรือกระทรวงที่ต้องการ พวกนี้คอยร่วมเขย่าอยู่แล้ว ส่วนพรรคฝ่ายค้านก็พยายามมาชวนพรรคร่วมที่ยังหวังถ้าบิ๊กตู่ลาออก มีการเลือกนายกฯ ตามกติกาเดิม ก็คิดว่าตัวเองจะได้ บอกได้เลยว่ายาก เพราะ 250 เสียง ส.ว.ไม่เอาด้วย”




ดังนั้น สิ่งที่ต้องจับตาและเป็นเป้าหมายในการใช้โจมตีบิ๊กตู่ ต่อจากเรื่องวัคซีน คือปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งนายกฯ และทีมเศรษฐกิจก็ต้องเตรียมพร้อมวางแผนที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าแต่เชื่อว่าในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ นโยบายที่ดีที่สุดก็คือ ต้องปล่อยให้ภาคเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และรัฐบาลต้องปรับบทบาทจากผู้ที่ควบคุมเปลี่ยนไปเป็นผู้ให้การสนับสนุนที่ดี ภาคเอกชนต้องการให้รัฐทำอะไร บอกมา อะไรทำได้รัฐบาลจะทำให้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องชี้แจ้งกันให้ชัดเจน

“ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะไปอุ้มเจ้าสัว แต่รัฐจะทำหน้าที่ดูแล อย่าให้มีการผูกขาดจากทุนกลุ่มใหญ่เกิดขึ้น แต่ต้องให้มีการกระจายไปสู่กลุ่มธุรกิจเล็กๆ ให้อยู่ได้ด้วย”

นี่คือความพร้อมของ ‘บิ๊กตู่’ ที่จะเตรียมรับมือหากมีการอภิปรายโจมตีว่าบิ๊กตู่ล้มเหลวในการจัดการวิกฤตโควิด-19 และการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศทั้งในเวทีสภาฯ และการโจมตีนอกสภา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการจะเขี่ยบิ๊กตู่ ให้พ้นทางไม่ใช่เรื่องง่าย!

โดยเฉพาะหากเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ จะเห็นว่าหลายต่อหลายครั้งที่ บิ๊กตู่ ถูกกระแสโจมตี จะมีโหรคนสำคัญ นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรวารินทร์ หรือโหร คมช. ออกมาเปิดนิมิตหลวงปู่เกวาลัน เช่น เมื่อธันวาคม 2561 และเมื่อปลายปี 2563 จะมีความเหมือนกันคือบิ๊กตู่ จะได้เป็นนายกฯ ต่อไปอีกจนครบเทอม และยังมีหน้าที่อีกสมัย ซึ่งหมายความว่าการเลือกตั้งรอบหน้าก็จะมีนายกฯ ที่ชื่อ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ เหมือนเดิม และเมื่อถึงเวลาท่านก็จะไปเอง!

คำทำนายของโหร คสช.ชี้ให้เห็นว่า ‘บิ๊กตู่’ อยู่ยาว พรรคฝ่ายค้าน กลุ่มชู 3 นิ้ว และคนไม่ชอบ ‘บิ๊กตู่’ ฟังแล้วคงหนาวสะท้าน!!

                                                                   

อาจารย์ทศพล วงศ์ทอง อาจารย์โหราศาสตร์ไทยและกรรมการสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ
‘ดวงเมือง-ดวงบิ๊กตู่’ สมพงศ์กันมีโอกาสเปลี่ยนแปลง!

อาจารย์ทศพล วงศ์ทอง อาจารย์โหราศาสตร์ไทยและกรรมการสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ คำนวณดวงชะตาราศีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ดวงของ พล.อ.ประยุทธ์  ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ลัคนาอยู่ที่ราศีมังกร เสาร์ทับลัคน์ จึงมีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากยังต้องต่อสู้และเหน็ดเหนื่อย ส่งผลให้เกิดความเครียด จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา มีทั้งปัญหาการประท้วง  กดดันให้นายกฯ ลาออก การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนในปีนี้ดวงของนายกฯ ก็ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากขณะนี้ราหูทับพุธ  ซึ่งดาวพุธหมายถึง ภาษา การสื่อสาร นายกฯ จึงต้องระวังเรื่องคำพูดและการแถลงนโยบายซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและอาจถูกโจมตีจากทั้งภายในและภายนอก ต้องใช้ความเข้มแข็งและอดทน

โดยช่วงที่ต้องระวังเป็นพิเศษมีอยู่ 2 ช่วงคือตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค.2564 เป็นต้นไป เนื่องจากวันที่ 26 พ.ค.จะเกิดจันทรุปราคา พระจันทร์เข้ามาเล็งในราศีพิจิก ขณะที่ลัคนาของนายกฯ อยู่ที่ราศีมังกร ราหูอยู่ที่ราศีพฤษก และมีดาวพระอาทิตย์เข้ามาเกี่ยวข้องส่งผลให้ลูกน้องและบริวารมีปัญหา และทำให้นายกฯ  ถูกติฉินนินทา ใส่ร้ายป้ายสี ดังนั้น นายกฯ ต้องระมัดระวังเรื่องการสั่งงานลูกน้อง ต้องมีความชัดเจน

และช่วงวันที่ 2 มิ.ย.2564 ซึ่งดาวพระอังคารซึ่งเป็นดาวบาปพระเคราะห์ย้ายเข้าสู่ราศีกรกฎซึ่งเป็นภพปัตนิของนายกฯ ทับดาวมฤตยูซึ่งเป็นดาวบาปพระเคราะห์เหมือนกัน ภพปัตนิก็เกี่ยวข้องกับการทำงานร่วมกับคนอื่น เกี่ยวข้องกับหุ้นส่วน คู่สัญญา นอกจากนั้นยังมีดาวเสาร์ทับลัคน์ซึ่งเป็นบาปพระเคราะห์เช่นกัน

ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังเรื่องการบริหารงานและความเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นอย่าใช้อารมณ์ความรู้สึกในการทำงาน เพราะจะส่งผลกระทบต่อความเป็นผู้นำ อีกทั้งอาจมีปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะความดัน ความเครียด

ที่จริงดวงเมืองกับดวง พล.อ.ประยุทธ์ หากดูจากลัคนาถือว่าสมพงศ์กัน แต่ในช่วงจังหวะนี้การโคจรของดวงเมืองไม่ค่อยดี เพราะลัคนาดวงเมืองอยู่ที่ราศีเมษที่ 24 องศา 12 ลิปดา ขณะนี้ดาวมฤตยูโคจรเข้ามา ซึ่งเชื่อมโยงกับองศาของลัคน์ที่ 24 องศา 32 ลิปดา ดาวมฤตยูทับลัคน์ของดวงเมือง ส่วนดาวพระเสาร์ทับลัคน์ดวงนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ราหูก็ทำมุมตรีโกณกับพระจันทร์ โคจรเล็งลัคน์ เล็งพระเสาร์ดังนั้นช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค.2564 จึงมีโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่น อาจจะมีโอกาสปรับ ครม.

“ดวงท่าน พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะอยู่ไม่ครบเทอม เพราะตามตำราพูดถึงเกณฑ์ในการเป็นผู้นำของท่านว่า  อนึ่ง อสุรินทร์โคจรมาทับจันทร์ อังคารเล็งลัคน์เข้าเป็นสองอาทิตย์ถึงเสาร์เข้าโดยครอง คืออาทิตย์จะทำมุมตรีโกณกับพระเสาร์ ราหูทำมุมตรีโกณกับพระจันทร์ ส่วนอังคารทำมุมถึงพระเสาร์ ตามดวงชะตาดาวจรบนท้องฟ้าโอกาสอยู่ไม่ครบ 4 เยอะด้วยสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกกดดัน”

ส่วนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคระบาดนั้นตามชะตาดวงเมืองปีนี้ยังหนักทั้งปี แต่ปี 2565 จะเริ่มลง และต้องรอให้ดาวมฤตยูย้ายออกจากดวงเมืองก่อน คือ ต้องรอถึงปี 2566 กว่าโรคระบาดจะหมดไปจากประเทศ อีกทั้งดาวพระเสาร์ทับมฤตยู และราหูโคจรเข้าเรือนการเงินของดวงเมืองทับเสาร์ เล็งลัคน์ เกิดคราสที่ราศีพฤษก จึงส่งผลกระทบต่อภาวะการเงินการคลัง การจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ถือเป็นปีที่หนัก ฉะนั้นประชาชนจึงต้องระมัดระวังเรื่องการจับจ่ายใช้สอย ขณะที่ผู้บริหารประเทศก็ต้องหาบุคคลที่จะมาช่วยเรื่องการบริหารเศรษฐกิจ การเงินการคลังประเทศจึงจะพอไปได้




กำลังโหลดความคิดเห็น