เงินท่วมแบงก์ แม้กดดอกเบี้ยลงแต่ไม่ถอน คนกังวลโควิด-19 สำรองเงินไว้รับเหตุการณ์ สลากแบงก์รัฐลดจำนวนออก ขายตามวงเงินที่ต้องการ คุมต้นทุนลดเงินรางวัล รับใบสลากแพงหนุนขายออนไลน์แทน คนการเงินชี้เป็นผลจากความเชื่อมั่น ไม่จับจ่าย ภาคธุรกิจไม่กล้าขยายกิจการ-ปล่อยสินเชื่อเสี่ยง คุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้าน เงินทะลักทั้งแบงก์รัฐ-แบงก์พาณิชย์ เตือนระวังมิจฉาชีพจ้องใช้โอกาสนี้หลอก แนะอย่าโลภ
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในแต่ละระลอก จากมาตรการป้องกันควบคุมโรคของภาครัฐ นอกจากจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกด้านแล้ว ในประเทศไทยการระบาดระลอก 3 มีระดับการแพร่กระจายในวงกว้าง ยอดติดเชื้อต่อวันเคยสูงถึง 2,800 คน ที่น่าตกใจคือ มีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 รอบแรก
แม้ว่าในหลายประเทศจะเริ่มฉีดวัคซีนป้องกัน แต่ในประเทศไทยยังมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับวัคซีนจำนวนน้อย หลายรายมีอาการไม่พึงประสงค์หนัก-เบาแตกต่างกันไป รวมถึงการบริหารจัดการกับผู้ป่วยที่ยังเกิดปัญหา
ผลกระทบจากโควิด-19 มีในหลากหลายด้าน ในทางเศรษฐกิจแล้วภาคธุรกิจที่ต้องหยุดให้บริการตามมาตรการควบคุมโรค แรงงานเหล่านั้นอาจมีรายได้ลดลงหรือถึงขั้นว่างงาน ความไม่แน่นอนในสถานการณ์ล้วนส่งผลต่อจิตวิทยาของผู้คน อะไรที่จะเป็นเครื่องประกันความมั่นใจในชีวิตของคนย่อมถูกยกให้เป็นความสำคัญลำดับแรก นั่นคือเงิน
ดังนั้น การจับจ่ายใช้สอยจึงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง ไม่ใช่เวลาซื้อหาสิ่งของที่ยังไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ต้องเผื่อไว้กับความเสี่ยงจากโอกาสของการว่างงานในอนาคตไว้ด้วย เมื่อกำลังซื้อถูกชะลอที่เกิดจากความไม่เชื่อมั่น เศรษฐกิจจึงทรุดตัว
ดอกเบี้ยต่ำจำยอม
โควิด-19 ทำให้เงินล้นธนาคาร แม้ดอกเบี้ยจะต่ำเพียงใดคนก็ยังฝากเพิ่มเข้ามา ทั้งหมดเกิดขึ้นจากแบงก์ชะลอการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งเกิดได้จากภาคธุรกิจไม่กล้าเสี่ยงที่จะขยายกิจการหรือลงทุนเพิ่มในช่วงนี้ และแบงก์เองไม่กล้าปล่อยสินเชื่อเพราะกลัวความเสี่ยงเรื่องหนี้สูญ
เมื่อเป็นเช่นนี้แบงก์จึงไม่จำเป็นต้องระดมเงินฝากเหมือนช่วงสถานการณ์ปกติ โดยในช่วงโควิด-19 แทบไม่มีโปรโมชันเงินฝากดอกเบี้ยดีๆ ให้เห็น ขณะที่ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลยังอยู่ในอัตราต่ำ 2-2.5% ด้วยระยะเวลาถือครอง 5 ปี และ 10 ปี
ส่วนคนที่เป็นแฟนสลากออมทรัพย์ธนาคารรัฐ เจ้าตลาดอย่างธนาคารออมสินได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของสลากไปจากเดิม จากเดิมที่มีสลากอายุ 3 ปี และ 5 ปี ลดอายุสลากลงมาเหลือ 1 ปี และ 2 ปีเท่านั้น ส่วนการขายสลากจะขายเป็นรอบๆ ตามวงเงินที่ธนาคารกำหนด เมื่อครบก็ปิดการขาย ต่างจากเดิมที่ซื้อได้ตลอดเวลา
อีกทั้งยังเพิ่มการจำหน่ายผ่านออนไลน์ในรูปแบบสลากดิจิทัล ที่สามารถทำได้คล่องตัวกว่าการซื้อผ่านสาขาของธนาคาร ทุกอย่างเป็นการลดต้นทุนของสลาก สลาก 1 ปี จำหน่ายทางออนไลน์เท่านั้น ไม่มีดอกเบี้ยกรณีไม่ถูกรางวัล และเงินรางวัลก็ลดลงตามสภาพตลาด
แน่นอนว่ารูปแบบการจำหน่ายแบบใหม่ส่งผลต่อแฟนสลากรุ่นเก่าที่คุ้นชินกับการถือใบสลาก หลายคนยังรอซื้อสลากในรูปแบบเดิม แต่มักเจอปัญหาซื้อสลากไม่ได้เนื่องจากจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว แม้ผลตอบแทนจะต่ำ
สลากออมทรัพย์ขายน้อยลง
ผู้ออกสลากธนาคารรัฐกล่าวว่า ทุกแบงก์พยายามลดต้นทุนให้สอดคล้องกับตลาดดอกเบี้ย ใบสลากถือเป็นอีกต้นทุนหนึ่งที่มีราคาค่อนข้างสูง เพราะต้องออกแบบมาเพื่อป้องกันการปลอมแปลง ดังนั้น ในระยะหลังเราจึงได้เห็นสลากออนไลน์มากขึ้น ไม่ใช่แค่ออมสินเจ้าเดียว ธ.ก.ส.ก็ทำแล้วเช่นกัน อีกไม่นานสลากของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คงใช้ในรูปแบบเดียวกัน
ด้วยสภาพที่เงินล้นระบบทั้งธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐ ทำให้ทุกแห่งไม่จำเป็นต้องเร่งระดมเงิน การกดอัตราดอกเบี้ยลงเป็นวิธีการที่ทุกแบงก์ต้องทำ อย่าง ธ.ก.ส.ก็ประกาศออกมาแล้วว่าในปี 2564 จะลดวงเงินของการออกสลากลง 50% หรือสลากออมสินก็ขายเป็นรอบๆ ช่วงต้นเดือน บางช่วงก็เว้นการจำหน่ายออกไป อาจมีเพียงสลากของ ธอส.ที่เพิ่งออกมาได้ไม่นานยังสามารถเปิดจำหน่ายได้ แต่สลากต่อหน่วยมีมูลค่าสูงถึง 5,000 บาท ขณะที่เจ้าอื่นจำหน่ายที่ 20-100 บาทต่อหน่วย
หนีคุ้มครอง 1 ล้านซบแบงก์รัฐ
ทุกอย่างถูกล็อกไว้หมด สินเชื่อใหม่มีน้อย เงินฝากจึงถูกกดดอกเบี้ยลง ทางเลือกอื่นอย่างพันธบัตรรัฐบาลแม้ผลตอบแทนจะปรับขึ้นมาบ้าง เช่น พันธบัตร 5 ปีอยู่ที่ 1% พันธบัตร 10 ปี ดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 1.8% ซึ่งนานไปสำหรับคนไทย ส่วนหุ้นกู้เอกชนที่จำหน่ายให้ประชาชนทั่วไปนั้น แม้จะมั่นคงระดับหนึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตร แต่รายย่อยไม่มีโอกาสเข้าถึง เพราะแบงก์ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายจะจัดไว้ให้ลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารก่อน
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการคุ้มครองเงินฝาก ที่จะลดวงเงินคุ้มครองลงเหลือ 1 ล้านบาทในวันที่ 11 สิงหาคม 2564 นี้ ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงธนาคารรัฐ ผู้มีเงินออมมากจึงโยกเงินมาไว้ที่ธนาคารรัฐทั้งรูปแบบสลากและเงินฝากประเภทอื่น
สถานการณ์แบบนี้ทุกคนไม่มีทางเลือก ทุกแบงก์ดอกเบี้ยต่ำทั้งหมด สลากออมทรัพย์แม้จะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเงินฝากแต่หลายคนก็มองถึงโอกาสในการถูกรางวัลมาเป็นตัวชดเชย จึงทำให้เงินฝากล้นธนาคารของรัฐเช่นเดียวกัน
สินเชื่อชะลอตัว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รายงานตัวเลขสินเชื่อและเงินฝากไตรมาส 1 ของปี 2564 พบว่าภาพรวมเงินให้สินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 12.63 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 1.02 แสนล้านบาท หรือ 0.82% โดยยังคงมีแรงหนุนหลักๆ จากการขยายตัวของสินเชื่อสำหรับภาคธุรกิจ (โดยเฉพาะเงินทุนหมุนเวียนและสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่) และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่มีกาลังซื้อปานกลางค่อนไปทางสูง
ขณะที่สินเชื่อรายย่อยอื่นๆ เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังคงชะลอตัวตามสัญญาณที่อ่อนแอของภาพรวมเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินเชื่อเดือนมีนาคม 2564 ขยายตัว 4.31% ชะลอลงจากที่เติบโต 5.04% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เนื่องจากเทียบกับฐานที่สูงในเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้ภาคธุรกิจที่ต้องรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ระลอกแรก
สำหรับแนวโน้มสินเชื่อในไตรมาส 2/2564 คาดว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อน่าจะทำได้ใกล้เคียงหรือชะลอลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก โดยสถานการณ์สินเชื่อในไตรมาส 2/2564 น่าจะสะท้อนภาพ 2 ด้านในเวลาเดียวกัน โดยในขณะที่ธนาคารพิจารณาปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องสำหรับลูกค้าและเร่งดำเนินการปล่อยสินเชื่อภายใต้มาตรการด้านสินเชื่อใหม่ของ ธปท. แต่สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศระลอกสามก็มีผลให้ความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจยังจำกัด ขณะที่ธนาคารยังคงต้องประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างระมัดระวัง
เงินฝากล้นแบงก์
เงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 14.52 ล้านล้านบาท ขยับขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 6.06 หมื่นล้านบาท หรือ 0.42% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์เป็นหลัก ขณะที่ยอดคงค้างเงินฝากประจำชะลอลงอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินฝากขยับขึ้น 4.76% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับการขยายตัวในฝั่งของสินเชื่อ แต่ชะลอลงจากที่เติบโตสูงถึง 10.33% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เนื่องจากเทียบกับฐานที่สูงในเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 ระบาดระลอกแรก (ตลาดการลงทุนค่อนข้างผันผวน)
ขณะที่ภาพการออกแคมเปญเงินฝากพิเศษตลอดช่วงไตรมาสแรกยังเป็นการออกเพื่อชดเชยของเดิมที่ครบกำหนดบางส่วน โดยแคมเปญเงินฝากพิเศษที่ออกใหม่ (26 ตัว) มีจำนวนน้อยกว่าจำนวนแคมเปญเงินฝากที่ครบกำหนด(29 ตัว) ซึ่งสะท้อนว่า จากผลของสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับสินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวช้า ดังนั้น ธนาคารต่างๆ จึงให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนเงินฝากมากกว่าการเร่งระดมเงินฝาก
สำหรับแนวโน้มเงินฝากในไตรมาส 2/2564 ประเมินว่า แม้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่สามจะมีโอกาสเห็นทั้งภาคธุรกิจและประชาชนนำสภาพคล่องมาเก็บไว้ในรูปแบบเงินฝากซึ่งเป็นช่องทางออมเงินที่มีความปลอดภัย แต่จากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ที่ลากยาวกว่า 1 ปี ทำให้คาดการณ์ในเบื้องต้นว่า จำนวนเงินฝากที่อาจขยับขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 น่าจะไม่สูงเหมือนในช่วงการระบาดระลอกแรกในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2563 โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงสภาพคล่องส่วนเกินของภาคธุรกิจที่น่าจะทยอยลดน้อยลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
มิจฉาชีพรอเหยื่อ
โควิด-19 คนไม่กล้าใช้เงิน ด้วยความกังวลถึงสถานการณ์ในอนาคต ไม่มีทางเลือกอื่นในการออมเงินที่ให้ผลตอบแทนดี นี่จึงกลายเป็นช่องว่างให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้โอกาสนี้ออกมาหลอกล่อเหยื่อด้วยรูปแบบต่างๆ สร้างความน่าเชื่อถือ ทั้งวิธีง่ายๆ เช่น แชร์ออนไลน์ หรือฝากเงินระยะสั้นดอกเบี้ยสูง ไปจนถึงการลงทุนในสินค้าหรือค้าเงินดิจิทัล พวกเขาหากินกับความโลภของคน ตรงนี้ผู้ที่มีเงินออมต้องตรวจสอบให้ดี หลายกรณีเมื่อได้เงินมากพอก็ปิดกิจการหนีไป แม้จะฟ้องร้องดำเนินคดีแต่โอกาสได้เงินคืนกลับมานั้นมีน้อย
เบื้องต้น อยากให้คนที่เก็บออมเงินมาด้วยความยากลำบาก ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนว่า ผลตอบแทนที่เสนอให้นั้นสูงกว่าความเป็นจริงหรือไม่ ทำไมนายแบงก์เก่งๆ จึงสร้างผลตอบแทนไม่ได้เช่นนี้ ดูเรื่องความมั่นคงของกิจการ ดูเรื่องการฟ้องร้อง อยากให้ท่านรักษาเงินออมของท่านไว้ให้ดีๆ แม้ในช่วงนี้ผลตอบแทนต่ำ ซึ่งทุกคนต้องยอมรับสภาพ ถ้าเงินต้นไม่สูญ ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ผลตอบแทนสูงมักมาคู่กับความเสี่ยงเสมอ ท่านต้องพิจารณาว่าความเสี่ยงดังกล่าวนั้นเป็นความเสี่ยงในระบบหรือนอกระบบ ถ้าเป็นนอกระบบการติดตามทวงคืนย่อมเป็นไปได้ยาก