“ปานเทพ” ระบุ ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ได้ใน 5 วัน ผู้ป่วยสามารถรักษาตัวอยู่บ้าน ลดภาระโรงพยาบาล เผยพบ “ตำรับยาขาว” ต้านโควิด-19 ได้ กรมแพทย์แผนไทยฯ เตรียมวิจัยต่อ ขณะที่ “นายกสภาแพทย์แผนไทย” ยันผู้ที่รับเชื้อมาไม่เกิน 14 วัน ยาแผนไทยรักษาหายทุกคน เสียดาย รพ.ส่วนใหญ่ไม่เปิดใจยอมรับ แนะรัฐบาลฉวยโอกาสส่งออก “ฟ้าทะลายโจร-กระชายขาว” ขณะที่ทั่วโลกยังไร้ยารักษา ด้าน “อธิบดีกรมแพทย์แผนไทย” ชี้ กระชายขาวแก้โควิด-19 ได้ ต้องใช้สารสกัดเท่านั้น
กล่าวได้ว่าในขณะที่โควิด-19 ระลอกที่ 3 กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก ทั่วโลกยังไม่มียารักษา และการฉีดวัคซีนให้คนไทยยังเป็นไปอย่างล่าช้า ไม่ทั่วถึง การศึกษาเรื่องการนำ “สมุนไพรไทย” มาใช้ในการรักษาโควิด-19 จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง และดูจะประสบความสำเร็จอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะ “ฟ้าทะลายโจร” ซึ่งหลายหน่วยงานร่วมกัยวิจัย และล่าสุดได้มีผลงานวิจัยของคนไทยเรื่อง “ฟ้าทะลายโจรยับยั้งเชื้อโควิด-19” ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับโลกแล้ว อย่างไรก็ดี ในวงการแพทย์แผนไทยยืนยันว่าไม่ใช่เฉพาะฟ้าทะลายโจรเท่านั้น แต่ยังมีสมุนไพรไทยอีกหลายตัวที่สามารถรักษาโควิด-19 ได้
พล.ร.อ.ชาญชัย เจริญสุวรรณ นายกสภาการแพทย์แผนไทย ระบุว่า เวลานี้โควิด-19 แพร่กระจายไปทั่ว ศบค. หน่วยงานเดียวไม่สามารถดูแลเรื่องนี้ได้ เนื่องจากโรคนี้ยังไม่มียารักษา วัคซีนก็ยังนำเข้ามาได้น้อย การรักษาของโรงพยาบาลต่างๆ ในปัจจุบันจึงเป็นเพียงการรักษาตามอาการ ให้ยาพาราแก้ปวด ให้ยาบรรเทาอาการอักเสบ แต่ในความเป็นจริงแล้วแพทย์แผนไทยมีสมุนไพรและตำรับยาหลายขนานที่สามารถรักษาอาการเหล่านี้ได้ เพียงแต่ยังไม่ถูกนำมาใช้ในวงกว้าง
ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรเชิงเดี่ยว อย่างกระชายขาว และฟ้าทะลายโจร ซื่งทั้ง 2 ตัวนี้มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสไม่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเชื้อไม่ขยายตัว เม็ดโลหิตขาวซึ่งมีหน้าที่สร้างภูมิคุ้นกันก็จะสามารถสร้างภูมิขึ้นมาคุ้มกันได้มากเพียงพอที่จะฆ่าเชื้อโรคได้
สมุนไพรที่เป็นตำรับยา อย่าง เบญจโลกวิเชียร หรือยาแก้ว 5 ดวง เป็นยากระทุ้งพิษ จันทน์ลีลา เป็นยาลดไข้ ตรีผลา ช่วยล้างพิษ ช่วยในการขับถ่ายเพื่อระบายพิษ ยาขาว รักษาไข้หวัด อย่างสูตรยาขาวของครูชุบ (หมอชุบ แป้นคุ้มญาติ) ก็ทำง่ายมาก ใช้ใบมะขามตำผสมเหล้าขาว 40 กรี ละลายกับน้ำ ดื่มแล้วห่มผ้าให้เหงื่อออก เพื่อระบายพิษออกทางเหงื่อ ประสะจันทน์แดง ช่วยลดไข้
พล.ร.อ.ชาญชัย กล่าวต่อว่า หลักการของแพทย์แผนไทยคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ทำให้สามารถต้านทานโรคได้ ซึ่งโควิด-19 ก็คือไข้หวัดชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์ทำให้สามารถแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เมื่อแพร่เข้าสู่ปอดก็ไปทำลายปอด ซึ่งในทางการแพทย์แผนไทยบอกว่าถ้ารักษาไข้หวัดไม่หายภายใน 3-5 วัน มันจะแพร่ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หวัดลงคอ แพร่ไปสู่ปอดก็กลายเป็นนิวมอเนีย หรือโรคปอดอักเสบ เป็นวัณโรค เพียงแต่โควิด-19 เป็นไวรัสที่ขยายตัวได้เร็วขึ้นจนกระทั่งร่างกายรับไม่ไหว ทำให้ปอดทำงานไม่ได้ หายใจไม่ออก ระบบหายใจล้มเหลว และตายในที่สุด แต่ถ้าเราสามารถสกัดเชื้อไวรัสไม่ให้แพร่กระจายได้ พร้อมกับกินยากระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อให้ร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้ ผู้ป่วยก็จะหายจากโควิด-19
หลักการแพทย์แผนไทยนั้น อันดับแรกต้องกระทุ้งพิษหรือต้องขับพิษออกมาก่อน ยาแผนไทยจึงมีสรรพคุณในการขับถ่าย เช่น ตรีผลา จะมีสรรพคุณในการถ่ายขับพิษ จากนั้นจึงค่อยรักษาโดยการสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น ยาขาว ที่สำคัญต้องเอาพิษในร่างกายออกให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะการรักษาโควิด-19 ซึ่งเป็นไวรัสที่เชื้อแพร่เร็วมาก แนะนำว่าในการใช้แพทย์แผนไทยในการรักษาโควิด-19 นั้นถ้าอาการยังไม่มากให้กินฟ้าทะลายโจรเพื่อสกัดไม่ให้เชื้อไวรัสขยายตัว จากนั้นร่างกายจะขจัดพิษออกไปเอง แต่ถ้าเป็นมากควรใช้ยาตำรับสมุนไพร เช่น เบญจโลกวิเชียร เพื่อกระทุ้งพิษ ประสะจันทน์แดง และจันทน์ลีลา เป็นยาลดไข้ แล้วตบท้ายด้วยยาขาว ซึ่งเป็นยาพอกไข้ หรือรักษาไข้ไม่ให้ไข้กลับมาเป็นซ้ำ ดังนั้นเชื่อว่าผู้ที่รับเชื้อโควิด-19 มาไม่เกิน 14 วัน สามารถใช้ยาแพทย์แผนไทยรักษาให้หายได้ทุกคน
“น่าเสียใจที่ยาแพทย์แผนไทยไม่มีโอกาสได้นำไปใช้ในการรักษาโควิด-19 แค่ขอให้นำยาเหล่านี้ไปใช้ในโรงพยาบาลสนามยังไม่ได้เลย พอเข้าสู่การเป็นโรคระบาดแล้วแพทย์แผนปัจจุบันไม่ยอมให้ใช้ยาอย่างอื่นทั้งที่แพทย์แผนปัจจุบันก็ยังไม่มียารักษา แม้แต่วัคซีนก็ยังไม่มีงานวิจัยรองรับเลย เพราะการวิจัยวัคซีนแต่ละชนิดต้องใช้เวลาถึง 10 ปี แต่หมอให้ใช้วัคซีนได้ พอเป็นยาแพทย์แผนไทยกลับไม่ให้ใช้ ถามว่าประเทศไทยเรามีแค่ยาแผนปัจจุบันเท่านั้นหรือ เรามีแพทย์ทางเลือก มีภูมิปัญญาพื้นบ้าน มีแพทย์แผนไทย มีแพทย์แผนจีน ซึ่งสามารถรักษาโควิด-19 ได้ แต่ศูนย์โควิด-19 ใจแคบมาก ไม่ยอมให้ใช้ยาเหล่านี้รักษาเลย น่าสงสารประเทศไทย” นายกสภาการแพทย์แผนไทย กล่าว
ด้าน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ ได้มีการวิจัยยาสมุนไพรแก้โควิด-19 หลายตัวด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นฟ้าทะลายโจร ซึ่งชาวบ้านสามารถหาใช้ได้ง่ายและเป็นที่พูดถีงอย่างมากในขณะนี้ หรือกระชายขาว ซึ่งต้องใช้วิธีสกัดสารสำคัญออกมา โดยผลจัยของกระชายขาวทำในลักษณะธุรกิจและเตรียมจดสิทธิบัตรแล้ว แต่เนื่องจากกรรมวิธีในการสกัดสารสำคัญจำเป็นต้องใช้เครื่องจักร ชาวบ้านจึงไม่สามารถนำกระชายขาวมารับประทานแก้โควิด-19 ได้เองเหมือนกับฟ้าทะลายโจร
นอกจากนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ก็กำลังจะวิจัยตำรับยาที่ชื่อว่า “ยาขาว” ซึ่งเป็นยาตำรับที่ประกอบด้วยรากสมุนไพร 14-15 ชนิด เป็นยาที่อยู่ในศิลาจารึกสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งบันทึกว่าสามารถแก้โรคหลายชนิดในตำรับยาเดียว โดยปีที่แล้วตนได้มีส่วนร่วมกับเครือข่ายแพทย์แผนไทยต้านภัยโควิด-19 เดินทางไปหลายจังหวัดที่เป็นสเตทควอรันธีนหรือจุดกักตัวของผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงในการระบาดของโควิด-19 ซึ่งผู้ที่กักตัวและใช้ยาขาวนั้นปรากฏว่าไม่มีใครติดโควิด-19 เลย ทำให้กรมการแพทย์แผนไทยฯอยากจะวิจัยต่อ
ส่วนกระแสการกินกระชายขาวสดเพื่อรักษาโควิด-19 ที่กำลังแพร่หลายอยู่ในขณะนี้นั้น พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ชี้แจงว่า การใช้กระชายขาวในการรักษาโควิด-19 นั้นต้องใช้สารสกัดของกระชายขาวเท่านั้น ไม่สามารถนำกระชายสดมาคั้นหรือปรุงอาหารเพื่อรักษาโควิด-19 ได้ เนื่องจากการจะรักษาโควิด-19 ได้ปริมาณสารสำคัญ 2 ตัวในกระชายขาวที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของโควิด-19 คือ Pandulatin A และ Pinostrobin ต้องมีปริมาณที่มากพอ คือถ้าจะให้มีปริมาณสารดังกล่าวมากพอ ผู้ป่วยจะต้องกินกระชายขาวครั้งละครึ่งกิโลกรัม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และหากบริโภคกระชายขาวมากขนาดนั้นก็จะเกิดผลข้างเคียงจากสารอื่นๆ ที่อยู่ในกระชายขาว
สำหรับฟ้าทะลายโจรซึ่งถือว่าเป็นสมุนไพรที่ให้ผลในการรักษาโควิด-19 ได้อย่างชัดเจนนั้น นายปานเทพ ระบุว่า ปัจจุบันมีหลายองค์กรที่ทำวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจรในการรักษาโควิด-19 เช่น มหาวิทยาลัยรังสิต กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งผลออกมาระดับหนึ่งแล้ว กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ก็มีการรายงานผลเรื่องการใช้ฟ้าทะลายโจรในหลอดทดลอง รวมทั้งได้ร่วมศึกษาวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ใน 9 โรงพยาบาลกับผู้ป่วย 304 คนที่มีอาการน้อย ซึ่งปรากฏว่าได้ผลดี นอกจากนั้น ล่าสุดเพิ่งมีผลงานวิจัยของคนไทยเรื่อง “ฟ้าทะลายโจรยับยั้งเชื้อโควิด-19” ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับโลก ซึ่งน่าจะเป็นสมุนไพรตัวแรกทีมีผลวิจัยในเรื่องนี้โดยตรง
“ที่ผ่านมา มีการทดลองใช้ฟ้าทะลายโจรกับผู้ป่วยโควิด-19 ไปแล้ว 304 คน ซึ่งปรากฏว่าทุกคนหายป่วยภายในระเวลาเพียง 5 วัน
โดยอาการดีขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 หรือวันที่ 3 และทุกคนหายป่วยสามารถกลับบ้านได้ทั้งหมด ไม่มีใครมีอาการเชื้อลามเข้าสู่ปอดเลยสักคนเดียว ถ้าสามารถใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาให้ทุกคนหายป่วยจากโควิด-19 ได้ สำหรับคนไทยแล้วโควิด-19 ก็จะไม่ต่างจากไข้หวัดธรรมดา คนไข้เหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องแอดมิด ซึ่งจะช่วยลดภาระของโรงพยาบาล” นายปานเทพ ระบุ
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า การใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษาโควิด-19 จะเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการรักษาโควิด-19 เนื่องจากปัจจัยดังนี้ 1.ปัจจุบันเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ 2.การฉีดวัคซีนไม่สามารถป้องกันโควิด-19 ได้ 100% และไม่มีวัคซีนเพียงพอที่จะป้องกันโรค 3.ผู้ป่วยไม่แสดงอาการ ทำให้การควบคุมโรคทำได้ยากมาก เมื่อควบคุมยากจึงมีแค่ 2 วิธีที่จะจัดการ คือ วิธีแรก ฉีดวัคซีนให้ประชาชนให้ได้มากที่สุด ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันการนำเข้าวัคซีนยังทำได้น้อยมาก วิธีที่สอง คือ ทุกคนสามารถรักษาให้หายป่วยได้โดยไม่ต้องไปหาหมอ ไม่ต้องตรวจเชื้อ เช่น หากสงสัยว่าติดโควิด-19 ก็กินฟ้าทะลายโจร อาการก็จะดีขึ้นและสามารถหายป่ายได้ ซึ่งไม่ว่าจะแค่เป็นไข้ธรรมดาหรือติดโควิด-19 ก็สามารถกินฟ้าทะลายโจรได้โดยไม่มีผลข้างเคียง เมื่อไม่ต้องไปหาหมอก็ไม่ต้องสร้างภาระให้โรงพยาบาล
ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าทางกรมการแพทย์แผนไทยฯ มีแผนที่จะแจกจ่ายยาฟ้าทะลายโจรให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ด้วย โดย อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ เปิดเผยว่า กรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้ส่งมอบยาฟ้าทะลายโจรให้แก่โรงพยาบาลใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งแพทย์สามารถพิจารณานำมาใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการน้อยๆ หรือใช้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนามได้
“การจะใช้ยาฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ป่วยโควิด-19 หรือไม่นั้นอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ แต่ก็อยากให้แพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆพิจารณาการรักษาด้วยวิธีนี้ อยากให้ศึกษาผลการวิจัยที่ผ่านมาซึ่งมีผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 304 คน ที่รักษาด้วยยาฟ้าทะลายโจรแล้วหายดี” พญ.อัมพร กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับสรรพคุณของฟ้าทะลายโจรในการรักษาโควิด-19 นั้น นายปานเทพ ชี้แจงว่า ฟ้าทะลายโจรมีตัวยาสำคัญ คือ กลุ่มแรกเรียกว่า โทเทิล แลคโตน (Total Lactone) หรือแลคโตนรวม ซึ่งตามมาตราฐานยาสมุนไพร ฟ้าทะลายโจรที่นำมาใช้ต้องมีแลคโตนไม่ต่ำกว่า 6% และสารที่เรียกว่า แอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ซึ่งต้องมีไม่น้อยกว่า 1% ซึ่งจากการวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่รวบรวมเอกสารการทดลองการใช้ฟ้าทะลายโจรยับยั้งโควิด-19 ในหลอดทดลองค้นพบว่าสารที่สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสนั้นสามารถทำได้ทั้งสารแอนโดรกราโฟไลด์ ที่สกัดโดยโรงงานขนาดใหญ่ และสารแอนโดรกราโฟไลด์ ที่ได้จากการสกัดหยาบรวมๆ เช่น นำใบมาตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ได้เลย โดยไม่ต้องแยกสารสกัดออกมา
ซึ่งสารสกัดเหล่านั้นเมื่อเทียบกันแล้ว ผลปรากฏว่าการสกัดหยาบโดยรวมให้ฤทธิ์ทางยาดีกว่าสารสกัดเดี่ยวๆ ของแอนโดรกราโฟไลด์ ซึ่งหมายความว่าแพทย์แผนโบราณที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการแบบโรงงานขนาดใหญ่สามารถผลิตยาฟ้าทะลายโจรที่ได้ผลดี หรือชาวบ้านที่เด็ดฟ้าทะลายโจรมาจากแห้งกินเองก็ได้สรรพคุณทางยาไม่แพ้ยาจากสารสกัดหรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งเท่ากับชาวบ้านจะมีโอกาสในการพึ่งพาตัวเอง ซึ่งต่างจากกระชายขาวที่ต้องสารสำคัญออกมาเท่านั้น
อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่จะกินยาฟ้าทะลายโจรที่วางขายในท้องตลาดทั่วไปเพื่อรักษาโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคหวัดชนิดหนึ่งนั้น นายปานเทพ ให้คำแนะนำ ว่า เนื่องจากปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ในฟ้าทะลายโจรที่ใช้การรักษาโรคหวัดทั่วไปจะต้องใช้ประมาณ 60 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งในการผลิตยาฟ้าทะลายโจรกำหนดค่ามาตรฐานว่าจะต้องมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ไม่ต่ำกว่า 1% แปลว่าหากยาฟ้าทะลายโจรแบบแคปซูลขนาด 350-400 มิลลิกรัม ผู้ป่วยด้วยไข้หวัดทั่วไปก็ต้องกินวันละ 16 เม็ด คือกิน 4 มื้อ มื้อละ 4 เม็ด
ส่วนโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นกลุ่มโรคไข้หวัดที่มีอาการรุนแรงกว่า จากการทดลองใช้กับผู้ป่วยทั้ง 304 คน พบว่า จะต้องใช้ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ในฟ้าทะลายโจรเป็น 3 เท่าของการรักษาโรคหวัดทั่วไป หรือประมาณ 180 มิลลิกรัมต่อวัน คือ หากในยาฟ้าทะลายโจรมีสารแอนโดรกราโฟไลด์อยู่ 1% ตามมาตรฐานขั้นต่ำ ผู้ป่วยก็ต้องกินยาฟ้าทะลายโจรวันละ 48 เม็ด
แต่ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทต่างๆ ที่ผลิตยาฟ้าทะลายโจรในปัจจุบันจะนำทั้งกิ่ง ก้าน ใบของฟ้าทะลายโจรมาตากแห้ง ปั่นเป็นผง ซึ่งวิธีนี้จะสามารถผลิตยาฟ้าทะลายโจรที่มีปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ถึง 2.5% ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานมาก
ดังนั้น หากอยากรู้ว่าผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งกินยาฟ้าทะลายโจรที่วางขายในท้องตลาด แคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม จะต้องกินจำนวนเท่าไร ก็ให้คำนวณโดยเอา 2.5 x 4 = ยาฟ้าทะลายโจร 1 เม็ด จะได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ 10 มิลลิกรัม หากต้องการได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มิลลิกรัม ก็ต้องกินวันละ 18 เม็ด หรือวันละ 3 มื้อ มื้อละ 6 เม็ด จึงจะสามารถหายป่ายได้ หรือถ้าจะให้ได้ปริมาณที่แม่นยำก็พิจารณารายละเอียดข้างขวดก่อนว่ายาฟ้าทะลายโจรที่ซื้อมานั้นมีสารแอนโดรกราโฟไลด์กี่เปอร์เซ็นต์แล้วคำนวณตามสูตรดังกล่าว
ส่วนยาฟ้าทะลายโจรที่ผลิตโดยคลินิกแพทย์แผนไทยและโรงพยาบาลศิริราชนั้นจะใช้เฉพาะใบฟ้าทะลายโจร ซึ่งจากการตรวจพบว่าจะได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ถึง 3.3% ดังนั้น แปลว่าผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งกินยาฟ้าทะลายโจรที่ผลิตโดยคลินิกแพทย์แผนไทยและโรงพยาบาลศิริราช แคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม
คำนวณโดยเอา 3.3 x 4 = ยาฟ้าทะลายโจร 1 เม็ดจะได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ 13.2 มิลลิกรัม หากต้องการได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มิลลิกรัม จะกินยาแค่วันละ 12 เม็ด หรือวันละ 4 มื้อ มื้อละ 3 เม็ดเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าถ้าใช้เฉพาะใบซึ่งให้สารแอนโดรกราโฟไลด์มากกว่า ราคาก็น่าสูงกว่า ดังนั้นประชาชนก็มีทางเลือกที่หลากหลาย
“ วิธีกินยาฟ้าทะลายโจรเพื่อรักษาโควิด-19 นั้น ให้เลือกยาที่มีมาตรฐาน อย. ซึ่งโดยเฉลี่ยแคปซูลขนาด 350-400 มิลลิกรัม จะกินวันละ 12 เม็ด คือกิน 4 มื้อ มื้อละ 4 เม็ดก่อน ถ้าวันที่ 2 อาการดีขึ้น ก็แปลว่าปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์เพียงพอเหมาะสมกับอาการป่วยในขณะนั้น แต่ถ้าวันที่ 2 อาการยังไม่ดีขึ้น ก็กินยาเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย” นายปานเทพ ระบุ
นอกจากสมุนไพรไทยจะให้ผลดีในการรักษาโควิด-19 แล้ว ในเชิงเศรษฐกิจก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดย นายกสภาการแพทย์แผนไทย แนะนำว่า นอกจากการใช้ยาแพทย์แผนไทยรักษาอาการจากโควิด-19 แล้ว รัฐบาลยังสามารถสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจจากยาสมุนไพรไทย ซึ่งจะช่วยทดแทนรายได้จากการท่องเที่ยวที่ขาดหายไปจากผลกระทบของโควิด-19 อีกด้วย
“แค่กระชายขาวกับฟ้าทะลายโจรซึ่งมีสรรพคุณสามารถยับยั้งเชื้อโควิด-19 ได้ก็สามารถส่งออกและนำรายได้เข้าประเทศได้มหาศาลแล้ว แม้จะไม่ใช่วัคซีนแต่สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ให้หายได้ ขณะที่ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่ามีประเทศใดสามารถผลิตยารักษาโควิด-19 ได้ ส่วนวัคซีนต้านโควิด-19 ก็ยังไม่ได้มาตรฐาน ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่แพ้วัคซีนอยู่ นี่จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะส่งออกสมุนไพรเพื่อสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ” พล.ร.อ.ชาญชัย ระบุ