“หมอสุภัทร” ชี้อดอาหารประท้วงมีโอกาสเสียชีวิต คนอ้วนไม่ได้แปลว่าแข็งแรง เพราะมักมีโรคประจำตัว และอาจเกิดเกล็ดเลือดเป็นกรดจากการสลายไขมันเป็นพลังงาน ขณะที่สถาบันนิติเวชวิทยา ระบุว่า อยู่ได้ 3 สัปดาห์ ด้าน “พิภพ ธงไชย” เชื่อ หากแกนนำตายจะเป็นชนวนปลุกม็อบ เตือน “พล.อ.ประยุทธ์” รีบแก้เกมสกัดการเคลื่อนไหว ให้ศาลเร่งพิจารณาคดีแกนนำ ระวัง! อุบัติเหตุทางการเมืองทำรัฐบาลล้มครืน
แม้ช่วงนี้กระแสการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรจะดูเงียบเหงาลงไปมาก แต่ประเด็นหนึ่งที่ยังคงถูกจับตาก็คือ กรณีการอดข้าวประท้วงของแกนนำคนสำคัญอย่าง "เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์" และ “รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล” เพื่อเรียกร้องขอประกันตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข่าวการเสียชีวิตของเพนกวิน ก็ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์ในโซเชียลอย่างกว้างขวาง แม้ทางกรมราชทัณฑ์จะออกมาชี้แจงว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่สังคมก็ยังหวั่นเกรงว่าหากแกนนำม็อบคณะราษฎรเสียชีวิตจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งจะทำให้มวลชนลุกฮือขึ้นอีกครั้ง!
ส่วนที่ว่าในทางการแพทย์ผู้ที่อดอาหารจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไหร่ และโอกาสที่จะเสียชีวิตมีมากน้อยเพียงใดนั้น คงต้องฟังคำชี้แจงจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท อธิบายว่า การอดอาหารเป็นเวลานานก็มีโอกาสที่จะทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งโอกาสที่จะเสียชีวิตนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น สุขภาพร่างกาย โรคประจำตัว การให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงทีหรือไม่ ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วคนเราสามารถอดอาหารได้ 7 วัน ซึ่งหมายความว่าไม่ได้กินอะไรเลย แต่ถ้าอดข้าวแต่กินนม กินน้ำผลไม้ก็อยู่ได้นานกว่านั้น และก็ขึ้นอยู่กับปริมาณแคลเลอรีที่ได้รับก่อนอดอาหาร ถ้าจำนวนแคลเลอรีน้อยกว่าที่ใช้ไปร่างกายก็จะผ่ายผอมลงเรื่อยๆ แม้ผู้ที่อดอาหารจะเป็นคนอ้วนก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ได้นานกว่าคนทั่วไป เพราะคนอ้วนไม่ได้แปลว่าจะแข็งแรง คนอ้วนอาจจะอ่อนแอกว่าก็ได้ และส่วนใหญ่คนอ้วนจะไม่แข็งแรง ต้องดูว่ามีโรคประจำตัวหรือไม่
นอกจากนั้น การสลายไขมันมาเป็นพลังงานก็อาจจะมีผลข้างเคียง เช่น ทำให้เลือดเป็นกรด ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
“จริงๆ การอดข้าวประท้วงก็เป็นสิทธิของเขานะเพราะเขาปฏิบัติการแบบสันติวิธี และปฏิบัติต่อชีวิตของเขาเอง ซึ่งกรณีการอดอาหารของเพนกวินนั้นสิ่งที่ควรรัฐควรดูแล คือควรมีแพทย์ที่เจ้าตัวไว้วางใจไปตรวจเพื่อประเมินสุขภาพและป้องกันอันตรายที่จะเกิดจากการอดข้าว” ประธานชมรมแพทย์ชนบท ระบุ
ทั้งนี้ จากข้อมูลทางการพแทย์ พบว่า ในช่วง 4 ชั่วโมงแรกของการขาดอาหารจะไม่ค่อยมีผลอะไรมาก เพราะร่างกายจะนำพลังงานของอาหารที่กินไปมื้อล่าสุดมาใช้ก่อน ถ้าใช้พลังงานจนหมดแล้ว ก็จะนำไกลโคเจนซึ่งเป็นพลังงานที่สะสมในร่างกายมาใช้ทดแทนไปก่อน ผ่านไป 24 ชั่วโมง จะรู้สึกอ่อนเพลียเนื่องจากไกลโคเจนที่ถูกดึงมาใช้ก่อนหน้านี้หมดลง ทำให้ร่างกายต้องการพลังงานใหม่ที่จะมาใช้ทดแทน นั่นก็คือกลูโคสซึ่งเป็นน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดซึ่งจะถูกนำไปใช้กับสมอง
เมื่อถึงชั่วโมงที่ 36 สภาพร่างกายจะเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด คือ ตัวเริ่มซีด ผิวหนังแห้ง ปากแห้ง ลิ้นแห้ง เริ่มมีกลิ่นปากแรง ถ้ากลูโคสหมด โปรตีนที่อยู่ในร่างกายก็จะถูกดึงมาใช้งานต่อไป พอถึง 48 ชั่วโมง หรือวันที่ 2 เป็นช่วงที่ร่างกายค่อนข้างหนัก พลังงานที่มีอยู่เริ่มหมด ทำให้ร่างกายต้องพยายามดึงไขมันต่างๆ ที่มีอยู่มาใช้ ทำให้รู้สึกปวดหัว ดวงตาล้า และไม่ค่อยมีแรงจะขยับตัว หากอดอาหาร 60 ชั่วโมง เป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มปรับตัวได้ และดึงทั้งไขมันและกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายมาใช้ ทำให้ร่างกายมีลักษณะผอมแห้งเป็นอย่างมาก
หากอดอาหาร 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน ร่างกายอาจจะล้า รู้สึกวูบตอนที่กำลังลุกขึ้นมา และมีอาการเวียนหัวจากน้ำตาลในเลือดที่ลดลง หากอดอาหาร 90 ชั่วโมงเป็นต้นไป ร่างกายจะเริ่มซูบผอมลงเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีแรงแต่จะค่อยๆ ปรับตัวและชินกับสภาวะที่เป็นอยู่ อย่างไรก็ดี อาการทั้งหมดนี้จะสามารถอยู่ได้นานหลายวันหากได้รับการดื่มน้ำ เพราะร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 60% และเซลล์ต่างๆ ในร่างกายมีน้ำเป็นส่วนสำคัญต่อการทำงาน
ขณะที่ข้อมูลจากสถาบันนิติเวชวิทยา ระบุว่า ร่างกายขาดน้ำและอาหารมนุษย์ยังอยู่ได้นานถึง 3 สัปดาห์ ซึ่งล่าสุด วันที่ 14 เม.ย.2564 เพนกวินได้อดอาหารเป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้ว แต่ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่ายังดื่มน้ำอยู่หรือไม่ เนื่องจากช่วงที่เพนกวินอ่อนเพลียมากๆ ทางทีมแพทย์ พยาบาลจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก็จะให้น้ำเกลืออยู่เป็นระยะ
ส่วนผลทางการเมืองจากกรณีการอดข้าวประท้วงของแกนนำม็อบคณะราษฎร เช่น รุ้งและแพนกวิน จะมีมากน้อยเพียงใดนั้น ผู้ที่มีประสบการณ์ในเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่าง นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชี้ว่า
การที่มีแกนนำบางคนอดอาหารประท้วงก็สามารถนำไปสู่การเคลื่อนไหว และเป็นโอกาสที่ต่างประเทศจะเข้ามากดดันได้ อีกทั้งหากมีการเสียชีวิตก็จะนำไปสู่การปลุกกระแสมวลชนให้ลุกฮือขึ้นได้
“หากแกนนำม็อบนักศึกษาเสียชีวิตหรือเป็นอะไรไปก็จะเป็นชนวนที่ปลุกกระแสการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะแกนนำมวลชนที่ถูกข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ซึ่งตามหลักต้องให้เขาประกันตัวออกมาเพื่อรักษาตัว แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ ทำให้ม็อบใช้ประเด็นการไม่ให้ประกันตัวไปปลุกกระแส รัฐบาลไม่แก้เกมในเรื่องนี้ ถ้าให้ประกันตัวก็จบ อย่างไรก็ดี เชื่อว่ากรมราชทัณฑ์ไม่ปล่อยให้เพนกวินเสียชีวิตแน่ เพราะจะนำไปสู่เหตุวุ่นวาย เท่าที่ทราบก็มีแพทย์ดูแลอยู่” นายพิภพ กล่าว
ส่วนที่บางฝ่ายมองว่าเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ไม่ให้ประกันตัวเพราะถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่าประกันตัวออกมาก็ไปเคลื่อนไหวอีกนั้น นายพิภพ มองว่า ทางแก้คือรัฐบาลต้องส่งสัญญาณให้ศาลพิจารณาคดีอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นประเด็นในการเคลื่อนไหวหรือปลุกระดม ตอนนี้ยังคาราคาซังอยู่ ยังไม่ได้พิจารณาคดีในชั้นศาล เพียงแต่อยู่ในขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหา และไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเท่านั้น ทางแกนนำก็ไปสร้างประเด็นโดยการอดข้าวประท้วง ทำให้มีประเด็นที่สามารถปลุกกระแสไปได้เรื่อยๆ ดังนั้น รัฐบาลต้องแก้เกมโดยให้กระบวนการยุติธรรมทำงานอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีการพิจารณาคดีในชั้นศาลกระแสการกดดันก็จะเบาลง จะเป็นการแก้เกมการประท้วงอดข้าวอดน้ำในเรือนจำ ซึ่งในหลายประเทศก็ทำกัน โดยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองศาลจะพิจารณาอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เป็นประเด็นในการเคลื่อนไหว หรือปลุกระดมต่อได้อีก
นายพิภพ กล่าวต่อว่า ตอนนี้รัฐบาลมีปัญหามากมายกระหน่ำใส่ ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำรัฐประหารก็มีการผิดคำพูดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิรูปประเทศ ไม่มีการนิรโทษกรรมให้แกนนำมวลชนที่ประท้วง มีแต่นิรโทษกรรมให้ คสช. เท่านั้น เมื่อมาเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งก็มีการจับกุมนักเคลื่อนไหว มีแกนนำติดคุกจำนวนมากและไม่ได้รับการประกันตัว
ขณะที่การแจ้งข้อกล่าวหาไม่ใช่สิ่งที่บอกว่าเขาผิดหรือถูก ดังนั้น การที่มีแกนนำบางคนอดอาหารประท้วงก็สามารถนำไปสู่การเคลื่อนไหว และเป็นโอกาสที่ต่างประเทศจะเข้ามากดดันได้ อีกทั้งรัฐบาลยังมีปัญหาเรื่องการสืบทอดอำนาจ ถ้าไม่แก้เรื่องการสืบทอดอำนาจก็จะเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อไปการสืบทอดอำนาจก็เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลก็เบี้ยวอีกโดยตีตกการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในวาระ 3
ขณะเดียวกัน ตอนนี้ยังมีปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 ซึ่งการแพร่ระบาดส่วนหนึ่งก็มาจากรัฐมนตรีและทีมงานที่ไปเที่ยวสถานบันเทิงทำให้เชื้อโควิด-19 แพร่ระบาดในวงกว้าง อีกทั้งรัฐมนตรียังขาดจริยธรรม ขาดความรับผิดชอบ ไม่เปิดเผยไทม์ไลน์ ไม่ลาออก และไม่ออกมาขอโทษประชาชน หากเป็นในต่างประเทศรัฐมนตรีเขาออกมาขอโทษและลาออกไปแล้ว นอกจากนั้น มีการเปิดเผยออกมาแล้วว่าผับในทองหล่อเป็นผับที่ตำรวจรู้อยู่แล้วว่ามีการกระทำผิดแล้วยังเข้าไปดูแล แน่นอนว่าเมื่อมีปัญหาการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็จะมีปัญหาเศรษฐกิจตามมา รัฐบาลจะหาทางออกอย่างไร จริงๆ แล้วรัฐบาลชุดนี้มีปัญหามากกว่ารัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา แต่รัฐบาลไม่แก้ไข ประมาทว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังสนับสนุนรัฐบาล
“ต้องยอมรับว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 เป็นความผิดของรัฐบาลจริงๆ เพราะขาดมาตรการป้องกัน รัฐมนตรีและทีมงานดันไปเที่ยวผับทั้งๆ ที่รู้ว่าโควิด-19 กลายพันธุ์ แสดงถึงการขาดความรับผิดชอบของรัฐบาล อีกทั้งรัฐบาลก็ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของรัฐมนตรี การที่มีปัญหารุมเร้ามากมายและรัฐบาลคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่ควรระวังคืออุบัติเหตุทางการเมืองซึ่งอาจจะทำให้รัฐบาลล้มครืนลงได้ ซึ่งอุบัติเหตุทางการเมืองมักเกิดจากปัญหาสะสมเหมือนไฟสุมขอน เมื่อลุกโพลงขึ้นมาก็ลามเป็นไฟลามทุ่ง ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องดูว่าอะไรที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองและรีบแก้เรื่องนั้นๆ ก่อนที่จะลุกลามบานปลาย” นายพิภพ ระบุ
