คณะก้าวหน้า-พรรคก้าวไกล ลดเพดานเหลือแค่รื้อระบอบประยุทธ์ มุ่งที่แก้รัฐธรรมนูญ ไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ส่งผลม็อบ 3 นิ้วเคว้ง ไม่กล้าวิจารณ์แนวทางที่เปลี่ยนไป คนการเมืองประเมินทุกกลุ่มที่เคลื่อนไหวพลังยังไม่มากพอกดดันรัฐบาล มองการเปลี่ยนเกมก้าวหน้าเพราะประชาชนให้บทเรียนวืดทุกสนาม หวังลบภาพแตะสถาบันฯ ชูแก้รัฐธรรมนูญใช้หาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า
แม้จะมีกลุ่มคนเดือนตุลาคม OCTDEM ที่มีรุ่นใหญ่ทั้งนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี ที่เคยมีบทบาททางการเมืองระดับชาติ ที่ยังคงมีสายสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทย ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องเมื่อ 2 เมษายน 2564 ให้ศาลพิจารณาปล่อยตัวแกนนำนักศึกษาที่ถูกจับกุมได้รับสิทธิประกันตัว และพร้อมที่จะเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังจากทำกิจกรรมในวันดังกล่าวเสร็จสิ้น และยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ต่อเนื่อง
ขณะที่ปฏิบัติการ 444 ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ เมื่อ 4 เมษายน 2564 เวลา 16.00 น. ร่วมกับเครือข่ายญาติวีรชนพฤษภา 2535 กลุ่มสภาที่สาม และอีกหลายองค์กร จัดเวทีขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แต่ได้ยกเลิกเมื่อ 7 เมษายน หลังจากที่สถานการณ์ COVID-19 กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง โดยขอรอดูสถานการณ์ช่วงสงกรานต์ก่อนเคลื่อนไหวต่อ หากยังไม่คลี่คลายเตรียมที่จะปราศรัยผ่านช่องทางออนไลน์
ผลตอบรับแม้จะมีคนเข้าร่วมจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงและการ์ดอาชีวะบางส่วน แต่ถือว่ามีไม่มากนัก ในระหว่างการปราศรัยเกิดความไม่เข้าใจกันของแกนนำญาติวีรชนเรื่องการชูสามนิ้ว แต่สุดท้ายก็ทำความเข้าใจกันได้
3 นิ้วขู่ใครร่วมเวทีจตุพรเจอดี
น่าสังเกตว่าการเคลื่อนไหวของนายจตุพร ไม่พบว่าเพจของกลุ่มที่จัดการชุมนุมอย่างราษฎร แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม รวมถึงเยาวชนปลดแอก ประชาสัมพันธ์หรือเผยแพร่การชุมนุมของกลุ่มนี้แต่อย่างใด
ขณะที่นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือไบรท์ ราษฎร แนวร่วมม็อบ 3 นิ้ว ได้ร่วมเวทีกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ถูกต่อว่าจากมวลชน 3 นิ้วเช่นกัน จนต้องโพสต์แสดงความรู้สึกออกมาว่า “ผมงงกับคนที่อ้างว่ารักประชาธิปไตยบางคน มาแจ้งทีมงานหน้าเรือนจำว่า ถ้าผมขึ้นเวทีจะเอารองเท้าเขวี้ยงผม เพราะขึ้นเวทีจตุพร นี่หรือคือการรักประชาธิปไตย แต่มวลชนทั้งหมดจะให้ผมขึ้นปราศรัย สรุปมีเพียงป้าฐิตารีคนเดียวที่มีอำนาจสั่งไม่ให้ผมขึ้นเวที..ท้อออ”
คนเสื้อแดงรายหนึ่งกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ใครที่เห็นแย้ง หรือแตกแถวไปจากแกนนำนักศึกษาจะถูกต่อว่าหรือเหยียดในลักษณะนี้ตลอด คนเสื้อแดงที่เคยร่วมกับม็อบน้องๆ ก็ต้องออกมายืนวงนอกกันหลายคน
อาจเป็นเพราะที่ผ่านมา นายจตุพร แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาในหลายๆ เรื่อง อีกทั้งข้อเรียกร้องของนักศึกษาไปไกลกว่าเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งถือว่าเป็นฐานมวลชนคนละกลุ่ม
ธนาธรเปลี่ยนเป้า-โละประยุทธ์
ขณะที่ 6 เมษายน 2564 มีกิจกรรม “ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์” เพื่อล่ารายชื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมี 4 องค์กรร่วมกันจัดงานประกอบด้วย 1.คณะก้าวหน้า 2.พรรคก้าวไกล 3.กลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า 4.โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า พร้อมด้วย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ์ หรือ ไอติม หลานชายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า มีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ ช่อวานิช เข้าร่วมด้วย
นายปิยบุตร กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มมุ่งเป้าไปที่ 4 ประเด็นใหญ่ คือ การยกเลิกวุฒิสภา เหลือสภาเดียว ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ปฏิรูปที่มาขององค์กรตรวจสอบ ยกเลิกแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นการปลดโซ่ตรวนประเทศ และล้างมรดกคณะรัฐประหาร ซึ่งการไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้สนใจ วันนี้เราแค่รณรงค์ 4 ประเด็นนี้ก่อน ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้สนใจเรื่องหมวด 1 และหมวด 2
“ไอติม” ชูระบอบที่เป็นกลาง
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ์ กลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า Re-Solution กล่าวถึงงานดังกล่าวว่า แคมเปญขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์ ซึ่งเป็นการรณรงค์ล่ารายชื่อประชาชน เพื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาและ (หากผ่านรัฐสภา) การพิจารณาของประชาชนทั่วประเทศผ่านประชามติ
เนื้อหาของร่างฉบับนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการสร้าง “ระบอบที่เป็นกลาง” ระบอบที่ทุกคนไม่ว่าจะเกิดมาเป็นใคร มี 1 สิทธิ 1 เสียงเท่าเทียมกัน ในการกำหนดทิศทางและอนาคตของตนเอง
ระบอบที่เป็นกลาง ที่ไม่ว่าคุณจะฝักใฝ่อุดมการณ์ทางการเมืองแบบไหน ทุกฝ่ายทางการเมืองมีโอกาสเท่าเทียมกันในการแข่งขันเพื่อเข้าสู่การบริหารประเทศ ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งสามารถตั้ง ส.ว. 250 คนได้ ในขณะที่อีกฝ่ายถูกตัดแต้ม
ระบอบที่เป็นกลางที่ทุกคนไม่ว่าจะมีอำนาจมากน้อยแค่ไหน ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นโดยองค์กรอิสระที่เป็นกลางจริง เพื่อให้มั่นใจว่าภาษีทุกบาททีเราจ่ายให้รัฐ ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและปราศจากการทุจริต
และท้ายสุด คือ ระบอบที่เป็นกลาง ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร กฎหมายทุกฉบับในประเทศนี้ จะถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันด้วยมาตรฐานเดียวกันกับทุกคน
ระบอบนี้ไม่ใช่การทำให้ใครได้เปรียบ แต่คือระบอบที่จะไม่มีใครเสียเปรียบ ดังนั้น ไม่สำคัญว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบพริษฐ์ วัชรสินธุ แต่หากประเทศที่คุณต้องการอาศัยอยู่ คือประเทศที่มี “ระบอบที่เป็นกลาง” คุณมาร่วมลงชื่อกันได้ เพื่อรื้อระบอบประยุทธ์ และพาประเทศไทยก้าวพ้นออกจากวิกฤตการเมืองในปัจจุบัน ก้าวสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก
พลังกดดันไม่มากพอ
แหล่งข่าวจากพรรคการเมืองกล่าวว่า จะเห็นได้ว่ามีกลุ่มที่ตั้งขึ้นมาใหม่หรือกลุ่มเดิม เริ่มออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้น สิ่งที่เหมือนกันของกลุ่มต่างๆ คือไม่ต้องการรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยระยะเวลา 7 ปีที่บริหารประเทศนี้มา หลายฝ่ายมองว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 นั้นเอื้อให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอำนาจมาอย่างยาวนาน
เวทีของจตุพร และกลุ่ม OCTDEM นั้น พลังในการกดดันรัฐบาลคงไม่เพียงพอ เพราะไม่มีเรื่องของฐานมวลชนจัดตั้งเข้ามาสนับสนุน ส่วนเรื่องข้อเรียกร้องให้ประกันตัวแกนนำนักศึกษานั้น เชื่อว่าอีกไม่นานศาลท่านจะเมตตาให้ประกัน แต่อาจมีเงื่อนไขเรื่องการชุมนุมและพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดซ้ำในมาตรา 112
หากสถานการณ์เป็นเช่นนั้นก็เท่ากับม็อบ 3 นิ้วจะอ่อนพลังลงไป จนแทบจะไม่มีการเคลื่อนไหว
อีกการเคลื่อนไหวหนึ่งที่คือการล่ารายชื่อรื้อระบอบประยุทธ์ ตรงนี้ถือว่ามีนัย แต่ไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนรัฐบาลได้ คณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล ไอติม-พริษฐ์ และ ilaw
ก่อนหน้านี้ กลุ่มไอลอว์และไอติม ได้ล่ารายชื่อประชาชนเพื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อ 19-20 กันยายน 2563 ได้มากกว่า 1 แสนรายชื่อ และรัฐสภาได้บรรจุร่างรัฐธรรมนูญของไอลอว์เข้าสู่การพิจารณาแต่สุดท้ายไม่ได้รับการคัดเลือก
ครั้งนี้แม้จะได้ครบ 5 หมื่นรายชื่อแต่คงไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
อย่างไรก็ตาม ในทางการเมืองแล้วเชื่อว่าคณะก้าวหน้าก็อ่านสถานการณ์ออกว่าคงไม่สามารถจะขับไล่รัฐบาลชุดนี้ออกไปได้ แต่พวกเขาหวังผลว่าข้อเรียกร้องนี้จะกลายเป็นประเด็นที่ใช้ในการหาเสียงเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ หากมีการเลือกตั้งระดับประเทศครั้งต่อไป และช่วยล้างภาพเรื่องความเกี่ยวข้องกับม็อบที่ต้องการปฏิรูปสถาบันได้ ส่วนจะได้ผลหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องไปวัดกันในอนาคต
3 นิ้วไปต่อยาก
กิจกรรมล่ารายชื่อรื้อระบอบประยุทธ์ของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลในครั้งนี้ ให้ความสำคัญกับการรื้อกลไกต่างๆ ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่แตะหมวด 1 และ 2 ที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน
การที่แกนนำอย่าง ธนาธร และปิยบุตร จากคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ทำให้ตีความได้ว่าท่าทีของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลอาจเปลี่ยนแนวทางไปจากเดิม เป็นการลดเป้าหมายเดิมที่เคยเดินเครื่องมาตลอดในเรื่องสถาบันฯ
แม้จะไม่มีใครยืนยันว่าคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของม็อบ 3 นิ้ว ทั้งเรื่องการให้ทิศทาง นโยบายในการเดิน รวมทั้งทุนในการสนับสนุนหรือไม่
มีแต่การตั้งข้อสังเกตจากบุคคลภายนอกว่า แนวทางในการเคลื่อนไหวนั้นสอดคล้องกับแนวทางของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะแนวคิดในเรื่องสถาบันฯ และแกนนำคนสำคัญอย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ เข้าร่วมการชุมนุมกับม็อบ 3 นิ้วบ่อยครั้ง แม้จะอ้างว่ามาสังเกตการณ์ก็ตาม และ ส.ส.ของพรรคก้าวไกลก็เข้าร่วมชุมนุม พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือในเรื่องการนำเอาเอกสิทธิ์ ส.ส.ใช้ประกันตัวผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดี
เมื่อสถานการณ์เดินมาถึงแกนนำถูกสั่งฟ้องไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ม็อบจึงแผ่วลงเรื่อยๆ แม้จะมีกลุ่มเยาวชนปลดแอกรับไม้ต่อจัดชุมนุมในนาม REDEM แต่แกนนำก็มีคดีติดตัวเช่นกัน โดยนายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือฟอร์ด ไม่มาพบอัยการตามนัดเมื่อ 2 เมษายน ซึ่งกลุ่ม REDEM โพสต์ข้อความว่าจะกลับมาอีกครั้งหลังเทศกาลสงกรานต์
แม้ว่ากลุ่มที่ยืนฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลจะออกมาเรียกร้องให้แกนนำที่ถูกคุมขังได้รับสิทธิประกันตัว หากศาลเมตตาให้สิทธิประกันตัวแต่อาจมีเงื่อนไขห้ามชุมนุมหรือห้ามปราศรัยที่อาจผิดต่อมาตรา 112 อีก ย่อมเท่ากับม็อบ 3 นิ้วอาจเคลื่อนไหวต่อไปอีกไม่ได้ ทุกอย่างก็จะจบลง
ทิ้งม็อบ 3 นิ้ว?
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนเป้าการต่อสู้ทางการเมืองของคณะก้าวหน้าในครั้งนี้ ถือว่ามีผลต่อกลุ่มนักศึกษาที่เคยออกมาชุมนุมเป็นอย่างมาก เมื่อคนในภาคการเมืองที่เคยจุดประกายความคิดในเรื่องสถาบันฯ ถอยออกจากแนวทางเดิม แล้วหันมาดูเฉพาะเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐธรรมนูญ
พูดง่ายๆ ก็คือ เดินเฉพาะข้อที่ 1 และข้อที่ 2 ที่เป็นข้อเรียกร้องหลักของม็อบ 3 นิ้ว ตัดข้อเรียกร้องที่ 3 ออกไป แถมตัวรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้เน้นแก้หมวด 1 และหมวด 2
พวกเด็กๆ นักศึกษาเขาสู้ตามเน้นทางของกลุ่มการเมืองและพรรคการเมือง ที่ผ่านมาต่างมีกิจกรรมร่วมกัน เสมือนเป็นเนื้อเดียวกันระหว่างม็อบกับภาคการเมืองพรรคนี้ เขาต้องถูกดำเนินคดีหลายคดี ถูกอัยการสั่งฟ้อง ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เมื่อแกนนำเริ่มหมดพรรคและกลุ่มการเมืองกลับถอยออกจากแนวทาง ไม่ต่างไปจากการทิ้งกันกลางทาง
ตอนนี้ม็อบของกลุ่มนักศึกษาไม่มีการกล่าวถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล แตกต่างจากเหตุการณ์อื่น หากมีสิ่งใดที่เข้ามากระทบกับม็อบแกนนำและมวลชนต้องออกมาดาหน้าถล่มในทุกช่องทาง แต่รอบนี้สาวกของส้มในม็อบเงียบสนิท
ไม่เปลี่ยน ก้าวไกลอาจสูญพันธุ์
ในทางการเมืองแล้ว คณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล ได้รับบทเรียนมาแล้วจากการทดสอบสนามเลือกตั้งทั้งชิงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลือกตั้งซ่อมและนายกเทศบาล ผลอย่างที่ทราบกันคือหลุดทุกสนาม นั่นเป็นเรื่องที่ฝ่ายบริหารของพรรคต้องคิด เพราะหากต้องลงสนามเลือกตั้งระดับประเทศ โอกาสที่จะได้รับเลือกกลับเข้ามาย่อมลดลงจากเดิมมาก ดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนแนวทาง
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแนวทางย่อมต้องมีผู้บาดเจ็บจากแนวทางเดิม นั่นคือกลุ่มนักศึกษาที่ถูกดำเนินคดีกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เชื่อว่าฝ่ายการเมืองยังคงต้องดูแลเด็กๆ กลุ่มนี้ต่อไปจนกว่าคดีจะยุติลง
เขาเปลี่ยนเพราะเสียงสนับสนุนหายไปมาก การเลือกตั้งครั้งที่แล้วที่ได้มามากนั้น เพราะชูภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ ไม่มีเรื่องสถาบันฯ แต่เมื่อพรรคถูกยุบจึงเริ่มก้าวเข้าไปแตะสถาบันฯ ซึ่งประชาชนก็ให้บทเรียนแก่พรรคนี้แล้ว
เชื่อว่าจากนี้ไปพรรคนี้คงหันไปเน้นแนวทางล้ม พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหลัก เพื่อให้คนลืมเรื่องที่เคยทำไว้ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนจะได้ผลหรือไม่ การเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งหน้าประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบ