คนเดือนตุลารวมตัว OCTDEM หมอมิ้ง-หมอเลี้ยบ-จาตุรนต์ เรียกร้องศาลให้สิทธิประกันตัวแกนนำที่ถูกคุมขังไม่อยากเห็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์หวนกลับมา กลบการเคลื่อนไหวขอ งตู่ จตุพร-เต้น ณัฐวุฒิ ทันตา ด้านคนเสื้อแดงไม่เอา “ตู่” ชู “เต้น” จับตาแกนนำไล่รัฐบาลเปลี่ยนมือสู่รุ่นใหญ่
เมื่อม็อบ 3 นิ้วเริ่มเกิดอาการขาดผู้นำ หลังจากที่แกนนำหลายคนถูกดำเนินคดี การนัดชุมนุมตามข้อเรียกร้องจึงถูกทิ้งช่วงมากขึ้น การเดินหน้าต่ออยู่ในภาวะที่หลายฝ่ายรอว่าจะมีใครเข้ามารับไม่ต่อจากม็อบนักศึกษา และเห็นได้ว่าผู้ที่เคยมีบทบาทการชุมนุมในอดีตเริ่มเปิดหน้าออกมา ทั้งนายจตุพร พรหมพันธ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ใหญ่กว่านั้น คือ กลุ่มคนเดือนตุลา เปิดตัวกลุ่ม OCTDEM
ม็อบ 24 มีนาคม 2564 จัดโดยแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่ย่านราชประสงค์ แกนนำลำดับรองๆ ที่จ่อคิวอาจถูกอัยการสั่งฟ้องในวันรุ่งขึ้น ต่างทิ้งทวนปราศรัยด้วยเกรงว่าอาจไม่ได้รับการประกันตัวเช่นเดียวกับแกนนำ 2 ชุดแรก แต่อัยการเลื่อนนัดฟังคำสั่งเป็น 13 พฤษภาคม 2564 วันนั้นการชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบ
ต่างจากม็อบ 20 มีนาคม 2564 จัดโดยกลุ่ม REDEM ที่สนามหลวง มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รุนแรงกว่าทุกครั้ง มีการใช้ทั้งกระสุนยางและแก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุม
หลังจากที่เลื่อนฟังคำสั่งฟ้องแกนนำหน้าสถานทูตเยอรมนีออกไป เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าเคลียร์พื้นที่หมู่บ้านทะลุฟ้า ข้างทำเนียบรัฐบาล แม้จะมีการรวมตัวทวงคืนหมู่บ้านทะลุฟ้าอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นผล
อาการแผ่วของม็อบราษฎรเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ปลายปี 2563 ยิ่งเมื่อแกนนำแถวหน้าถูกดำเนินคดี โดยยังไม่ได้รับการประกันตัว จำนวนผู้ชุมนุมยิ่งลดน้อยลง และการเคลื่อนไหวในระยะหลังดำเนินการในนามแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมแทน
ขณะที่การหวนกลับมาเป็นผู้นำจัดม็อบอีกครั้งของกลุ่มเยาวชนปลดแอกในนาม REDEM ต่างเจอปัญหาผู้ชุมนุมแนวหน้าก่อเหตุเปิดศึกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของการชุมนุม และยังมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการม็อบยังเป็นรองม็อบราษฎรที่มีระบบดูแลและยับยั้งสถานการณ์ที่รุนแรงได้ดีกว่า
แม้ทั้ง 2 เจ้าภาพในการจัดม็อบจะต่างช่วยกันประชาสัมพันธ์กิจกรรมของแต่ละฝ่าย แต่หลายครั้งจะพบว่ามีหลายข้อความที่บ่งบอกถึงผู้จัดทั้ง 2 รายยังไม่ลงรอยกัน ซึ่งเป็นผลมาจากก่อนหน้านี้แนวคิดของเยาวชนปลดแอกไปไกลถึงแนวทางคอมมิวนิสต์ จนถูกตัดออกจากขบวนม็อบมาแล้ว
เสื้อแดงสกัด “จตุพร”
ในช่วงที่ม็อบเริ่มแผ่ว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงแนวทางของม็อบ จนทำให้แนวร่วมของม็อบ 3 นิ้วออกอาการไม่พอใจ นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของจตุพรได้เข้าร่วมกับกลุ่มสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ที่ประกอบด้วย คณะญาติวีรชนพฤษภา 35 สภาที่สาม และเครือข่ายองค์กรประชาธิปไตย ประกาศที่จะออกมาร่วมกันขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 4 เมษายน 2564
เป้าหมายคือไล่ พล.อ.ประยุทธ์ พ้นจากอำนาจ ซึ่งเป็นเพียงข้อแรกของ 3 ข้อเรียกร้องของม็อบ 3 นิ้ว ด้วยข้อขัดแย้งต่างๆ ที่นายจตุพรมีกับคนเสื้อแดง ทำให้คนเสื้อแดงที่เข้าร่วมกับม็อบนักศึกษาอย่างฟอร์ด เส้นทางสีแดง ได้ออกมาประกาศไม่เข้าร่วมกับทีมของนายจตุพร พร้อมด้วยโพสต์ต่อว่า
การจะร่วมชุมนุมกับใคร มวลชนจะต้องมีความมั่นใจในตัวแกนนำ อายุมากหรือน้อยหรือไม่ ไม่สำคัญ ขอเพียงมีอุดมการณ์ที่มั่นคง จตุพรออกมาประกาศนัดชุมนุม 4 เมษายน สมัยก่อนไม่ว่าจะเป็นปี 2553 ที่ราชประสงค์ 2556 ที่รัชมังคลา 2557 ที่อักษะ ทุกครั้งเขาเป็นคนนำและประสบความล้มเหลว ทุกครั้งมีคนเจ็บ คนตาย สูญหายหลายพัน แต่ไม่ปรากฏว่าเขาจะมีความรับผิดชอบอะไร ปีที่แล้วนั่งกินข้าวกับสุเทพ นั่งกินเหล้ากับแกนนำพันธมิตรบอกว่ามารยาททางสังคม ปลายปีขึ้นเชียงใหม่ด่ากราดแนวร่วมและพรรคเพื่อไทยลามไปถึงนายกฯ ทักษิณ ด่าแนวร่วมโดยเฉพาะนักเคลื่อนไหวในอเมริกาอย่างคุณสุนัย คุณจอม
“ต้นปีประกาศยุบ นปช.จนคนด่าทั้งบ้านทั้งเมือง โพลคนเสื้อแดงไม่ว่าจะเป็นโดยผม หรือ อ.ธิดา ยืนยันตรงกันคนเสื้อแดง 99.9% ต้องการขับไล่ให้พ้นจาก นปช.
มาวันนี้แถลงข่าวจะนัดชุมนุมไล่ประยุทธ์ 4 เม.ย. นัดแนวร่วมสารพัดองค์กรมาแถลงข่าว ผมจะไม่ไปร่วมเพราะเห็นว่าแนนำในการเรียกร้องประชาธิปไตยวันนี้คือขบวนการนักศึกษาและจะร่วมต่อสู้กับพวกเขาจนถึงที่สุด สำหรับผมการไปร่วมชุมนุมกับจตุพรไมต่างจากการทอดทิ้งนักศึกษาผมไม่ขอร่วม และไม่สนับสนุนครับ”
ไม่เอา “ตู่” ชู “เต้น”
เมื่อ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้รับอิสรภาพพ้นจากการถูกคุมขังเมื่อ 30 มีนาคม 2564 ได้ออกมาแถลงข่าวยืนเคียงข้างนักศึกษา ฟอร์ด เส้นทางสีแดง ได้ออกมาโพสต์สนับสนุนณัฐวุฒิ หรือเต้น ทันที
ณัฐวุฒิพร้อมแกนนำ นปช.ปีกหมอเหวง อ.ธิดา ออกมาแถลงข่าวท่าทีและจุดยืนหลังพ้นโทษ สาระสำคัญคือประกาศเดินคนละทางกับจตุพร พร้อมกับแสดงจุดยืนเคียงข้างนักศึกษา ท่าทีนี้ต่างจากจตุพรที่มีท่าทีไม่สนับสนุนนักศึกษาแต่ไหนแต่ไร
ตั้งแต่การขู่นักศึกษาอย่าวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ ไม่งั้นทหารจะปฏิวัติ นักศึกษาชุมนุมจะพาคนไปตาย หรือแม้กระทั่งประกาศยุบ นปช.อ้างส่งมอบภารกิจเรียกร้องประชาธิปไตยให้นักศึกษา ความฉลาดและอีคิวของคนจึงวัดได้จากคำพูดและการกระทำ
สิ่งที่ยังไม่มีความชัดเจน คือ เรื่องประธาน นปช. หลายวันก่อน อ.ธิดา ออกมาเผยผลสำรวจความคิดเห็นของคนเสื้อแดง 99.9% ต้องการให้เปลี่ยนตัวจตุพรออกจากประธาน นปช. และบุคคลเดียวที่คนเสื้อแดงอยากให้เป็นประธาน นปช.คือ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผมคิดว่าปัญหานี้ควรจะได้รับการแก้ไข จตุพรหากมีสปิริตก็ลาออกไป คนไล่ขนาดนี้แล้วอย่าปล่อยให้คาราคาซังแบบทุกวันนี้
นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงแกนนำคนเสื้อแดงทั้งสองที่เคยร่วมสมรภูมิกันมา ต่างมีทิศทางในการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้ที่แตกต่างกัน รวมถึงผลตอบรับของคนเสื้อแดงที่มีต่อแกนนำทั้ง 2 ล้วนมีทั้งชื่นชมและตำหนิตามความเห็นของแต่ละคน
“ตู่-เต้น” ไม่มีมวลชนในมือ
ทีมงานที่เคยร่วมจัดม็อบคนเสื้อแดง กล่าวว่า ตอนนี้คนเสื้อแดงลดลงไปเหลืออยู่ไม่มากนัก เสื้อแดงบางส่วนก็ย้ายไปอยู่กับม็อบ 3 นิ้ว จตุพรเองก็มีปัญหากับพรรคเพื่อไทยและทักษิณ กรณีเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ รวมถึงท่าทีต่างๆ ที่ถูกมองว่าเปลี่ยนไปจากเดิม คนเสื้อแดงเคยเรียกร้องให้จตุพรลาออกจากประธาน นปช. ดังนั้นแรงสนับสนุนจากคนเสื้อแดงจึงลดลงไปมาก และการเคลื่อนไหว 4 เมษายนครั้งนี้ จตุพรแจ้งว่าเป็นในนามส่วนบุคคล
ส่วนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เพิ่งพ้นโทษออกมา จะเห็นได้ว่าอยู่กับทีมของ อ.ธิดา และหมอเหวง ไม่มีจตุพร และประกาศยืนเคียงข้างนักศึกษาซึ่งเป็นคนละแนวทางกับจตุพร ทุกอย่างยังไม่ชัดเจนว่าเขาจะร่วมต่อสู้กับม็อบนักศึกษาอย่างไร
ทั้ง 2 แกนนำคนเสื้อแดงล้วนไม่มีมวลชนของตัวเอง หรือแม้แต่ อ.ธิดา หมอเหวง ทุกคนทำหน้าที่เป็นเพียงโฆษกเท่านั้น การจะมีมวลชนทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองที่สนับสนุน ส.ส.ของพรรคต้องทำหน้าที่นำมวลชนออกมา แต่เวลานี้ท่าทีของพรรคเพื่อไทยไม่ใช่แนวทางเดียวกับม็อบ 3 นิ้ว
เบื้องต้นอาจเหมือนกันคือต้องการเปลี่ยนรัฐบาล แต่ปลายทางไม่เหมือนกันกับก้าวไกล
เพื่อไทย-ก้าวหน้า คนละฐาน
จะเห็นได้ว่า จตุพรต้องไปร่วมกับทีมญาติวีรชนเดือนพฤษภาคม 2535 ที่ถือว่าไม่ใช่สายแดง ส่วนณัฐวุฒิแม้ประกาศเคียงข้างนักศึกษา แต่กลุ่มนักศึกษาจะเอาด้วยกับเต้นหรือไม่ เพราะเขาทำม็อบกันเองมาตั้งแต่แรก อีกทั้งที่ผ่านมาสายของ อ.ธิดาก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ กับม็อบนักศึกษา และภายในม็อบนักศึกษาแม้จะมีคนเสื้อแดงเข้าไปร่วมด้วยจำนวนหนึ่ง แต่ก็ถูกสกัด ถูกเหยียดออกมาจากขบวนมาแล้วไม่น้อยเช่นกัน
ข้ออ้างเรื่องน้องๆ นักศึกษาให้เกียรติคนเสื้อแดงนั้น เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งที่ม็อบพยายามดึงคนเสื้อแดงเข้ามาเติมฐานมวลชนที่หดหายไป แกนนำเคยจัดกิจกรรมให้คนเสื้อแดง 2 ครั้งที่ถนนอักษะและราบ 11 แต่พฤติกรรมของคนในม็อบ 3 นิ้วเองไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกับแกนนำ เสื้อแดงหลายคนจึงถูกถีบออกมา
ต้องยอมรับความจริงว่าฐานของพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลนั้นคนละฐาน คนละกลุ่ม แตกต่างกันทั้งเรื่องของวัย การศึกษา ฐานะ การรวมกันเป็นไปได้ยาก ที่สำคัญคือข้อเรียกร้องข้อที่ 3 ของม็อบนักศึกษานั้น ไม่ใช่แนวทางที่พรรคเพื่อไทยต้องการ
การไม่แตะข้อเรียกร้องที่ 3 ม็อบนักศึกษาจะรับได้หรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนจากม็อบ 3 นิ้ว
เว้นแต่การทำม็อบใหม่ขึ้นมาเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ชูเรื่องไล่ พล.อ.ประยุทธ์ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเรียกว่าเอาแค่ข้อ 1 และข้อ 2 ของม็อบ 3 นิ้วมาใช้เป็นข้อเรียกร้อง หากม็อบ 3 นิ้วจะเข้ามาร่วมก็ถือว่ายอมลดข้อเรียกร้องที่ 3 ลงไป ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วถือว่าเป็นการเสียหน้า เพราะที่ผ่านมาเมื่อม็อบนักศึกษาเรียกร้องจนทะลุเพดาน จึงทำให้มวลชนหดหาย สิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนนั่นคือ ผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกเทศมนตรีระดับท้องถิ่นที่คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัคร ล้วนแล้วแต่ประสบความล้มเหลว
การเปิดหน้าเดินเครื่องเพื่อขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ของจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ร่วมกับกลุ่มสามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย รวมทั้งการประกาศยืนเคียงข้างม็อบนักศึกษาของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่แม้ทั้งสองจะเป็นแกนนำคนเสื้อแดงเคยร่วมรบกันมาก่อน เป้าหมายที่ไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศอีกต่อไปอาจตรงกัน แต่เป้าหมายสุดท้ายนั้นฝ่ายของจตุพรชัดเจนว่าไม่แตะต้องสถาบันฯ ส่วนณัฐวุฒิที่ประกาศยืนเคียงข้างนักศึกษานั้นจะเดินตามแนวทางทั้งหมดหรือไม่ ยังไม่มีความชัดเจน
OCTDEM รุ่นใหญ่ออกศึก
แต่การออกตัวของจตุพร และณัฐวุฒิ กลับกลายเป็นเรื่องเล็กไปทันทีเมื่อคนเดือนตุลาประกาศรวมตัวกันตั้งกลุ่ม OCTDEM เมื่อ 2 เมษายน 2564 ประกอบด้วย นายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายธเนศร์ อาภรณ์สุวรรณ นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี และคนอื่นๆ ที่เคลื่อนไหวทำกิจกรรมเดินไปศาลฎีกา เพื่อยื่นหนังสือต่อตัวแทนประธานศาลฎีกาแสดงเจตนารมณ์ของกลุ่ม
แถลงการณ์ OCTDEM
45 ปีนับจากเหตุการณ์ 6 ตุลาเหมือนประวัติศาสตร์อำมหิตกำลังหวนกลับมาอีกครั้ง รอที่จะสร้างบาดแผลใหม่ เมื่อเยาวชนคนหนุ่มคนสาวผู้มีอุดมการณ์ของวันนี้ ได้รวมตัวกันบอกกล่าวกับสังคมว่า สังคมงดงามของปวงชนที่พวกเขาอยากเห็นและอยากมีชีวิตอยู่เป็นเช่นไร
แต่พวกเขากลับถูกจับกุมคุมขังด้วยอำนาจรัฐและข้ออ้างทางกฎหมาย มีการจัดชุดควบคุมฝูงชน ยิงแก๊สน้ำตา ฉีดน้ำแรงดันสูง เข้าสลายการชุมนุมที่กระทำอย่างสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ
เยาวชนคนหนุ่มคนสาวนับสิบนับร้อยถูกแจ้งข้อหาร้ายแรง ถูกจับกุมคุมขังในเรือนจำ เสมือนผู้ต้องโทษที่ผ่านการตัดสินความเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จบสิ้นกระบวนความไปแล้ว ถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเรือนจำที่มีสภาพไม่ต่างจากนรกบนแผ่นดิน
ตามหลักนิติรัฐ นิติธรรมที่เป็นสากล พวกเขาต้องได้รับการประกันตัว ในฐานะมนุษย์ที่ยังไม่ถูกพิพากษาว่าได้กระทำผิดจริง
เรา คนหนุ่มคนสาวในยุคนั้น จึงรวมตัวกันอีกครั้งในวันนี้ ในนามคนเดือนตุลาเพื่อประชาธิปไตย Octoberists For Democracy หรือ OctDem เราไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์บาดแผลของพวกเราที่เคยถูกกระทำในอดีตและยังไม่ได้รับความยุติธรรม เกิดขึ้นอีกครั้งกับเยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่นลูกหลานของเราในวันนี้
แถลงการณ์ถึงศาลยุติธรรม
ตามที่บรรดานักเรียน นิสิตนักศึกษา เยาวชนและประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ได้เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ฝ่ายรัฐได้ใช้อำนาจปราบปราม จับกุม คุมขัง พวกเขาไว้ในเรือนจำ ปรากฏว่าศาลยุติธรรมไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) พวกเขา โดยเฉพาะบรรดาแกนนำที่ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ดังปรากฏข้อเท็จจริงที่ประชาชนไทยทราบโดยทั่วไปแล้วนั้น
เราเห็นว่า โดยระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและนิติรัฐนิติธรรมนั้น การที่ศาลยุติธรรมจะพิจารณาพิพากษาอรรถคดีและทำคำสั่งใดๆ จักต้องเป็นไปโดยยุติธรรม และตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ยุติธรรม
การไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำของการเคลื่อนไหวประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้
เราเชื่อว่า ศาลยุติธรรมย่อมต้องเข้าใจ และทราบดีว่า หลักสำคัญในการปฏิบัติต่อผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาทุกคดีนั้น คือการที่จะต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เขาเหล่านั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่และจะปฏิบัติต่อเขาเสมือนหนึ่งว่าเป็นผู้ที่ถูกพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิดแล้วไม่ได้
เราเชื่อว่า ศาลยุติธรรมย่อมเข้าใจดีว่าการแสดงความคิดเห็นเป็นเสรีภาพที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายสิทธิมนุษยชน
เราขอเรียกร้องอย่างตรงไปตรงมาต่อศาลยุติธรรมว่า ท่านต้องให้โอกาสเขาเหล่านั้นในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่โดยเปิดเผย และมีโอกาสแสวงหาพยานหลักฐานต่างๆมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกเขาอย่างเต็มที่ โดยอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวพวกเขาในระหว่างการพิจารณาคดี อันเป็นสิทธิโดยสมบูรณ์ของพวกเขาที่มีอยู่ตามหลักกฎหมายยุติธรรม
คนเดือนตุลา “พลังเยอะ”
กลุ่มคนเดือนตุลาที่เปิดตัวออกมานั้น ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีบทบาททางการเมืองมากกลุ่มหนึ่ง ภาพลักษณ์ อุดมการณ์ทางความคิดและการเคลื่อนไหวถือว่ามีน้ำหนัก กลุ่มนี้ร่วมงานกับทางพรรคเพื่อไทยเป็นระดับคีย์แมนคนสำคัญ
กลุ่ม OCTDEM เรียกร้องให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมือง ได้รับการประกันตัวและเรียกร้องให้ศาลมีอิสระในการพิจารณาคดี รวมถึงเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
“ข้อเรียกร้องต่างๆ ของกลุ่มนี้หากฝ่ายที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณา ทบทวน ถือว่าจะช่วยลดความขัดแย้งลงระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ให้ราคาทุกอย่างก็จบ”
ขณะที่ช่วงที่ม็อบ 3 นิ้วเริ่มแผ่วลง เราอาจได้เห็นอดีตนายกทักษิณ ออกมาโชว์วิสัยทัศน์ผ่านทั้ง Club House หรือ Live สดผ่านกลุ่มต่างๆ ในเครือข่ายของพรรคเพื่อไทยหลายครั้งนั้น
ตรงนี้ไม่มีใครรู้ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเดือนตุลานั้น เกิดจากคุณทักษิณไฟเขียวหรือไม่ แต่น่าจะเป็นการพูดคุยกันกลุ่มเพื่อนคนเดือนตุลาด้วยกัน เพราะบางคนไม่ได้ใกล้ชิดกับทักษิณ เช่น จาตุรนต์และหมอสุรพงษ์ที่ถอยห่างออกไป อาจมีหมอพรหมินทร์ที่ใกล้ชิดมากที่สุด แต่คงไม่ใช่ลักษณะของการทำม็อบเพื่อขับไล่รัฐบาล
นับเป็นเรื่องที่น่าจับตาอย่างยิ่งต่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เวลานี้ค่อนข้างขัดเจนแล้วว่า ม็อบ 3 นิ้วที่ดูเหมือนจะเดินต่อลำบาก แต่ยังมีผู้ใหญ่อีกหลายฝ่ายที่ยังคงคอยประคับประคองพวกเขาอยู่