คนเสื้อแดงประเมิน "ม็อบราษฎร" ถดถอย ถีบเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทิ้ง คุมมวลชนไม่ได้ เปิดศึกก่อนมีแต่แพ้ ใครเห็นต่างตามถล่ม เหยียดเสื้อแดงพวกอคติ ขู่ล่า "สมบัติ ทองย้อย" ยิ่งทำให้มวลชนลด ฝ่ายความมั่นคงเสริม คนรุ่นใหม่ปลุกง่าย-เบื่อง่ายหากหมดแกนนำทุกอย่างจบ
การขับเคลื่อนกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่มราษฎร ที่เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของสมาชิกวุฒิสภาและปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ จากปี 2563 ข้ามมาถึงปี 2564 มีเพียงข้อ 2 ที่รัฐบาลรับนำไปแก้ไขแต่อยู่ในขั้นตอนที่ต้องใช้เวลา เมื่อไม่ประสบความสำเร็จแกนนำการชุมนุมจึงเน้นไปที่การปฏิรูปสถาบันฯ ซึ่งขัดต่อความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่ยึดมั่นในสถาบันฯ และด้วยพฤติกรรมหลายๆ อย่างของม็อบทำให้มวลชนเริ่มถดถอยลง
ขณะที่แกนนำหลายคนถูกดำเนินคดีในหลายฐานความผิด แม้จะได้รับการประกันตัวออกมา แต่กลับมากระทำผิดในข้อหาเดิมๆ เป็นเหตุให้เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2564 แกนนำ 4 คน จากการที่พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายอานนท์ นำภา นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว
ส่วนคดีความของแกนนำคนอื่นๆ อยู่ในลำดับถัดไป โดยเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2564 อัยการได้เลื่อนวันรับฟังคดีออกไปเป็นวันที่ 8 มีนาคม 2564 และ 25 มีนาคม 2564 ซึ่งเดิมกลุ่มราษฎรได้นัดหมายล่วงหน้าของการชุมนุมไว้อีกครั้ง 20 กุมภาพันธ์ 2564
วิเคราะห์จุดอ่อน
หนึ่งในทีมที่ร่วมงานกลุ่มราษฎร ยอมรับว่ามวลชนที่มาร่วมชุมนุมในระยะหลังนี้ลดน้อยลงไปมาก ทั้งหมดมาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องนโยบาย แนวทางการเคลื่อนไหวของแกนนำ จนไปถึงสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ แม้รัฐบาลจะรับเรื่องข้อ 2 ไปดำเนินการแต่ต้องใช้เวลาอีกนาน เมื่อมวลชนไม่เห็นความสำเร็จจึงเริ่มถอยออกจากการชุมนุม
โดยเฉพาะข้อเรียกร้องข้อที่ 3 นั้นมีส่วนอย่างมากที่ทำให้คนจำนวนมากไม่ยอมเข้าร่วมชุมนุม เพราะคนไทยยังไงก็ยังรักสถาบันพระมหากษัตริย์
ถัดมาคือเรื่องเนื้อหาที่ใช้ปราศรัย แกนนำแทบทุกคนพูดด้วยโวหาร เสียดสีเป้าหมาย ไม่มีหลักฐานชัดเจนที่สนับสนุนการพูดในแต่ละครั้ง และเมื่อข้อเรียกร้องมุ่งไปเป็นข้อที่ 3 ทุกอย่างก็ดูจะเลื่อนลอย หากเปิดใจยอมรับความเป็นจริงจะพบว่า กรณีที่สถานทูตเยอรมนีนั้น ถือว่าทางทีมงานเองไม่ทำการบ้านมากพอ เป็นเพียงการตั้งคำถาม เมื่อสถานทูตตอบกลับแล้วไม่เป็นไปตามที่คาดความน่าเชื่อถือก็เริ่มลดลง
เช่นเดียวกับการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 วันนั้นเอากระแสเคาะหม้อ กระทะมาจากการชุมนุมในพม่า โดยก่อนหน้านี้ 1 วัน แกนนำทั้ง 4 คน อัยการสั่งฟ้องและศาลไม่ให้ประกันตัว ทุกคนก็คิดว่าวันนั้นคือเรียกร้องให้ปล่อย 4 แกนนำ แต่กลับพามวลชนเดินไปสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้มาร่วมชุมนุมที่ถูกจับไปก่อนเริ่มงาน พร้อมด้วยวีรกรรมที่สร้างภาพลบให้แก่การชุมนุม
จนมาวันที่ 13 กุมภาพันธ์ จึงเรียกร้องให้ 4 แกนนำ พามวลชนเดินไปศาลหลักเมือง ซึ่งมีแนวของตำรวจตั้งอยู่ ก่อนหน้านั้นได้มีการโพสต์หรือปราศรัยในลักษณะเสริมสร้างกำลังใจให้แก่ผู้เข้าร่วมชุมนุมหลายคนจึงฮึกเหิม การประสานกันระหว่างแกนนำบนรถเวทีก็มีปัญหาเพราะมีตัวแทนแกนนำ 4 คนเข้าไปทำกิจกรรม แต่เริ่มมีการขว้างปาสิ่งของไปที่แนวของตำรวจ
เมื่อแกนนำออกมาแถลงต่อสื่อมวลชนก็ประกาศยุติการชุมนุมและเดินทางกลับทันที จนเป็นเหตุให้มีการปะทะกันระหว่างมวลชนที่ยังอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรงนี้ชัดเจนว่าแกนนำยังไม่มีจิตวิทยากับมวลชนที่มาร่วมชุมนุม ไม่ใช่บอกให้กลับแล้วไม่กลับถือว่าไม่ใช่พวก
ขณะที่ภาพที่ออกไปของวันดังกล่าวถือเป็นภาพลบอีกครั้ง แม้จะพยายามเอาเรื่องแพทย์ถูกตำรวจทำร้ายมากลบสถานการณ์ แต่เรื่องก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเพียงอาสาที่เข้ามาทำหน้าที่ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการก่อความวุ่นวายหรือไม่ต้องรอผลสอบสวน
ถีบเพื่อน-ลดมวลชน
อีกปมปัญหาหนึ่งคือการตัดกลุ่มที่เห็นต่างออก แม้จะเคยร่วมขบวนเดียวกันมาก่อน เมื่อเยาวชนปลดแอกเริ่มหันไปชูแนวทางคอมมิวนิสต์ สายของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมตัดออกทันที ทั้งที่ฟอร์ด-ทัตเทพ เรืองประไพกิจ ถือเป็นกลุ่มต้นๆ ของการชุมนุม แต่ไม่เป็นปัญหาเมื่อหัวขบวนกลุ่มนี้ได้ลดบทบาทลงไป แต่แนวร่วมบางส่วนยังเดินไปแนวทางเดียวกับกลุ่มราษฎร
แต่ส่วนที่กลับมาสร้างปัญหาให้แก้การชุมนุม คือ การยุบการ์ดทั้งหมดจากความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม กลับกลายเป็นเรื่องที่แกนนำอาจคาดไม่ถึงว่า เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เหตุการณ์ที่หน้าสถานทูตพม่า หน้า สน.ปทุมวัน และที่สนามหลวง ถูกกล่าวถึงไปในทางลบมากกว่าปกติ
เมื่อยุบการ์ดแล้วแต่กลับมีทีมงาน WEVO กลับมามีบทบาททุกครั้งในม็อบแม้จะเปลี่ยนมาเรียก Staff แล้วก็ตาม เสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่การ์ดตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าโพสต์ของนายสมบัติ ทองย้อย หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง มีน้ำหนักมากพอที่ฝ่ายตรงข้ามนำไปขยายผลได้เป็นอย่างดี เพราะถือเป็นการ์ดที่ร่วมชุมนุมกับม็อบมาโดยตลอด
ร้อยร้าวในใจสะสมมาในหลายเหตุการณ์ ก่อนหน้านี้มีเรื่องการ์ดเสื้อแดงถีบรถประชาชน 2 ธันวาคม 2563 ทีมแกนนำโพสต์ตำหนิการ์ดเสื้อแดง แต่จบลงได้ด้วยการขอโทษกัน “ปัญญาชนขอโทษคนเสื้อแดง”
หลังจากนั้น 16 มกราคม 2564 วันนั้นการ์ดอาสาจัดกิจกรรมเขียนป้ายผ้า ถูกตำรวจจับกุม เมื่อประกาศเรียกรวมตัวกันที่สามย่าน รุ้ง ปนัสยา ออกมาปฏิเสธการรวมตัวไม่ได้เกิดขึ้นจากแกนนำ จึงเห็นการโพสต์ของการ์ดส่วนอื่นและสมบัติมากขึ้น ทั้งเรื่องม็อบมีแกนนำ เห็นต่างไม่ได้ ประชาธิปไตยจอมปลอม
เหยียดแดง-หมายหัวสมบัติ
คนเสื้อแดงที่เคยเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มราษฎร กล่าวว่า ตอนแรกคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยที่ย้ายไปอยู่กับส้ม ตอนนี้หลายคนก็ถอยออกมาจากหลายๆ เรื่อง ประชาธิปไตยแต่วิพากษ์วิจารณ์กันไม่ได้ ถูกถล่ม ถูกเหยียดว่าเป็นติ่งทักษิณ หรือคำพูดเรื่องสู้ไปกราบไป ปัญญาชนขอโทษคนเสื้อแดง สลิ่มแดง มีผลผลักให้คนเสื้อแดงบางส่วนเริ่มออกมา
ข้อเสนอแนะของคนเสื้อแดงมักถูกตอบโต้กลับมาในเชิงเหยียดหยามอยู่เสมอ แม้จะมีเสื้อแดงบางส่วนที่ยังอยู่ต่อกับม็อบส้ม แต่ส่วนใหญ่จะถอยออกมากันมากแล้ว ในม็อบมีพวกสุดโต่งอยู่มาก ไม่ได้มองความจริงหรือข้อบกพร่องที่ควรจะแก้ไข คำแนะนำต่างๆ ควรเป็นสิ่งที่ทีมงานม็อบควรรับไปพิจารณาเพื่อทำให้ม็อบเดินหน้าต่อไปได้ แต่เมื่อเจอแบบนี้เป็นใครก็ต้องถอย ปล่อยให้พวกเขาเดินต่อไปกันเอง
ไม่ปฏิเสธว่าตอนนี้เฟซของสมบัติ ทองย้อย มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับม็อบเข้าไปติดตามเป็นจำนวนมาก ทั้งแดง ทั้งส้ม ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม และนำไปขยายต่อในช่องทางอื่นๆ อย่าลืมว่าพี่สมบัติ แกลงพื้นที่ตลอด แม้ยุบการ์ดไปแล้วมีชุมนุมแกก็ไป ดังนั้น น้ำหนักของการโพสต์จึงมีความน่าเชื่อถือ ยิ่งเมื่อเห็นต่างจากแกนนำและแนวทางที่ม็อบเคลื่อนไหว ย่อมถูกใจฝั่งตรงข้าม
“แกเห็นอะไรที่ไม่เหมาะของการ์ดที่เหมาะสมก็โพสต์ออกไป โดยเฉพาะเรื่องการเปิดฉากใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีสำหรับคนทำม็อบ ขึ้นกับมุมมองว่าจะมองด้านใดเพราะถือเป็นการเตือนสติจากผู้ที่มีประสบการณ์ แน่นอนฝ่ายที่ชื่นชอบแกนนำออกมาปกป้องและตามถล่มในเฟซบุ๊กของพี่แก”
ตอนนี้ยิ่งหนักโยงทุกเรื่องว่า ย้ายค่าย เป็น IO ของรัฐบาลแลกกับคดี เป็นสลิ่ม จนไปถึงถูกหมายหัวที่จะเอาคืน
ตั้งกลุ่ม” "อคติ"
ขณะนี้คนที่เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มราษฎร ที่มีความคิดเห็นแตกต่างเริ่มมีมากขึ้น คนที่วิพากษ์วิจารณ์จะถูกเรียกว่า "พวกอคติ" จนมีการตั้งกลุ่มบนเฟซบุ๊ก ทีมอคติ และอคติมาเก็ตเพลส ซึ่งทีมงานกลุ่มอคติได้ชี้แจงถึงที่มาที่ไปของกลุ่มดังนี้
เนื่องด้วยปัจจุบันนี้กลุ่ม #อคติ_มาร์เก็ตเพลส และกลุ่ม #ทีมอคติ ได้ถูกกล่าวถึงในวาระต่างๆ มากขึ้นและเริ่มมีการโจมตีว่านี่คือกลุ่มสลิ่ม IO กลุ่มทำลายฝ่ายประชาธิปไตย อีกมากมายคำกล่าวหา ทางกลุ่มและทีมงานแอดมินจึงขอชี้แจงดังนี้
#กลุ่มอคติ #ทีมอคติ เดิมทีเป็นเพียงกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนที่เรียกว่าเป็นคนเสื้อแดง เป็นแฟนคลับพันธุ์แท้ของพรรคไทยรักไทย พลังประชาชนและเพื่อไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยความที่หลายคนนั่นผ่านการรับรู้ข้อมูลและเหตุการณ์มาไม่มากก็น้อย เราจึงมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ "ความขี้สงสัย" ซึ่งคือเรื่องปกติมากๆ ในสังคมของประชาธิปไตย
เมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นทางการเมืองไม่ว่าพรรค ตัวบุคคล กิจกรรม การเคลื่อนไหว ม็อบ ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายไหนแต่คนกลุ่มนี้ก็ยังคงมี "ความขี้สงสัย" อยู่และมักจะถามตลอดเช่นเรื่อง #เงินบริจาค แต่เมื่อคนกลุ่มนี้ถามและมีคนสงสัยด้วยมากขึ้นแทนที่จะได้คำตอบ ชี้แจงหรืออธิบายกลับได้รับแต่คำด่ากลับมาเช่น สลิ่ม IO พวกถ่วงความเจริญและคำว่า "ไอ้พวกอคติ"
นั่นจึงทำให้กลุ่มคนขี้สงสัยเหล่านั้นรวมตัวกันแล้วเรียกตัวเองว่า #กลุ่มอคติ จนเกิดการตั้งกลุ่มเฟซบุ๊กว่า "กนห.ติ่งส้ม มาร์เก็ตเพลส" และได้เปลี่ยนชื่อมาใช้คำว่า "อคติ มาร์เก็ตเพลส" ตามลำดับโดยมีผู้ก่อตั้งกลุ่มเฟซบุ๊กดังกล่าวคือ #เฮียหน่วย ที่เรารู้จักกันเป็นผู้รวบรวมสมาชิก
กลุ่มอคติ มาร์เก็ตเพลสจึงมีการพูดคุย ตั้งคำถาม วิจารณ์ในสังคมการเมืองกันเรื่อยมาโดยมีจุดประสงค์แค่ "พูดคุย" กันเท่านั้นไม่เคยมีความคิดจะมาทำกิจกรรมอะไรใหญ่โต อย่างการทำเสื้อ ทำป้าย ตั้งเวที จัดมิตติ้ง ทำม็อบหรืออะไรทั้งนั้น เพราะเราแค่มาพูดคุยกันภายใต้กฎและกติกา ที่จะไม่ละเมิดหรือใส่ร้ายใครเป็นที่ตั้งและที่สำคัญเราไม่เอาข่าวปลอม เฟกนิวส์ หรือการสร้างเรื่องทำร้ายกันมาพูดคุยในที่แห่งนี้โดยเด็ดขาด
เมื่อถึงเวลาหนึ่งเราก็เริ่มมีการคัดกรองสมาชิกที่เรียกว่า "อคติพันธุ์แท้" ให้มาอยู่อีกห้องพูดคุยหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า #ทีมอคติ นั่นเอง
เหนือสิ่งอื่นใดที่เราจะเน้นย้ำคือ ไม่ว่าการแสดงความเห็นใดที่ออกมานั้น ล้วนเป็นความเห็นส่วนบุคคลไม่ใช่ในนามกลุ่มแม้เราจะเรียกตัวเองว่า #กลุ่มอคติ #ทีมอคติ แต่เราไม่เคยประกาศว่าการกระทำสิ่งใดคือการกระทำโดยทีมอคติเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นแปลว่าหากมีใครคนใดไปประกาศว่า กิจกรรมนี้การกระทำนี้ความคิดเห็นนี้คือมาจากกลุ่มอคติหรือทีมอคติ ก็ขอให้รับทราบว่าไม่ใช่มาจากการดำเนินการของคนที่มาจากกลุ่มเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า #อคติ_มาร์เก็ตเพลส และกลุ่ม #ทีมอคติ อย่างแน่นอน
เหนือสิ่งอื่นใดคำว่า "อคติ" ใครจะเอาไปใช้ไปเรียกก็ได้แต่ขอให้รับทราบว่าคือการกระทำของคนเพียงคนเดียวมิใช่การกระทำในนามกลุ่ม
ทีมงานทุกคนล้วนมีหัวใจเคารพในความเป็นประชาธิปไตยที่อยู่ในมือเราทุกคน และไม่ขอรับผิดชอบใดๆ หากมีการนำชื่อไปกล่าวอ้างในโอกาสใดต่อจากนี้
คนรุ่นใหม่ปลุกง่าย-เบื่อง่าย
ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงที่ติดตามม็อบกล่าวเสริมว่า ม็อบนี้เกิดขึ้นและรวมตัวกันได้เร็วเกิดขึ้นจากอิทธิพลของโซเชียลและพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ไปตามกระแส แต่คนที่ทำหรือสนับสนุนม็อบอาจไม่ได้คำนึงถึงอีกด้านหนึ่งคือ คนรุ่นใหม่ปลุกง่ายก็เบื่อง่ายเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่ได้จริงจังกับข้อเรียกร้องต่างๆ มากนัก เมื่อไม่มีผลสำเร็จออกมาคนรุ่นใหม่ที่เคยออกไปชุมนุมก็เริ่มถอย จะเรียกว่าหมดกระแสก็ได้
ความเสื่อมลงของม็อบยังขึ้นอยู่กับแกนนำที่มีอยู่ยิ่งแกนนำถูกดำเนินคดีมากขึ้น ไม่ได้รับการประกันตัวยิ่งทำให้แกนนำเหลือน้อยลงแม่เหล็กในการดึงดูดมวลชนก็ยิ่งน้อยลงตามไปด้วย หากไม่เหลือแกนนำแถวหน้าแม้จะมีแถว 2 หรือแถว 3 แต่จะไม่สามารถดึงมวลชนได้สุดท้ายม็อบก็จะสลายลงไปในที่สุด