xs
xsm
sm
md
lg

ฟัน ‘ปารีณา’ เกมเบี้ยแลกขุน! ‘แม่-พี่สาว-ธนาธร’ โดนแน่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จับตา ป.ป.ช.ฟัน ปารีณา ไกรคุปต์ องครักษ์พิทักษ์รัฐบาลบิ๊กตู่ส่งศาลฎีกาตัดสิน อาจหมดสิทธิเล่นการเมือง ชี้ผลตัดสินนำไปสู่ยุทธการ เบี้ยแลกขุน เชือด นางสมพร-พี่สาว-ธนาธร เพื่อตัดแม่ทัพใหญ่ในการสู้ศึก-แม่ทัพขุมเสบียง! รวมถึง เสรีพิศุทธ์’ คู่ขัดแย้งคนสำคัญ ขณะที่รัฐทำให้สังคมและพวกชู 3 นิ้วได้ประจักษ์  สร้างความเชื่อมั่นให้กระบวนการยุติธรรม ไม่มี 2 มาตรฐาน คาด ปารีณา’ ไม่หยุดตามจิก ธนาธร-เสรีพิศุทธ์’!

กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ หรือเอ๋ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ กระทำความผิดฐานฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งถือเป็นสำนวนแรกของ ส.ส.ในการกระทำความผิดฐานฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ตามมาตรฐานใหม่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเมื่อศาลฎีกาประทับรับฟ้องก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ในทันที เว้นแต่ศาลจะวินิจฉัยเป็นอย่างอื่น

สำหรับผลของกฎหมายคือห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง และการถูกตัดสิทธิทางการเมือง 1 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

ว่ากันว่าการตัดสินของ ป.ป.ช. มีทั้งเสียงชื่นชมว่า ป.ป.ช.ทำถูกไม่ยอมให้อำนาจฝ่ายบริหารเข้าแทรกแซงเพราะเป็นที่รู้กันอยู่ว่า น.ส.ปารีณา ทำหน้าที่ ส.ส.และเป็นองครักษ์ปกป้องรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นอย่างดี จนบางครั้งบรรดาคอการเมืองก็รู้สึกเอือมต่อพฤติกรรมที่เธอแสดงออกเช่นกัน

แต่อะไรไม่สำคัญเท่าบรรดา ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ต่างรู้กันว่า ‘ปารีณา’ เป็น ส.ส.ในกลุ่มของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (บิ๊กป้อม) และกรรมการ ป.ป.ช.ก็เป็นคนที่บิ๊กป้อม ปั้นมากับมือใช่หรือไม่?

น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์
แต่เหตุใดจึงปล่อยให้ น.ส.ปารีณา ต้องถูกเชือดอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้ ทั้งที่อยู่ในช่วงที่กำลังจะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจช่วงวันที่ 16-19 ก.พ. และลงมติในวันที่ 20 ก.พ.นี้ รวมไปถึงการพิจารณาแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นในวาระถัดไป

ส่วนผู้ใกล้ชิดและสนิทสนมกับ น.ส.ปารีณา อาจรู้สึกว่า เธอถูกกลั่นแกล้ง ทั้งที่ที่ดินแปลงดังกล่าวได้มาก่อนที่เธอจะเข้าสู่สนามการเมือง และใช้เงินซื้อมาอย่างถูกต้อง ซึ่งหากเธอถูกตัดสินฐานผิดจริยธรรมร้ายแรง ก็สมควรหรือไม่ที่จะใช้ข้อกฎหมายดังกล่าวตัดสินคู่ขัดแย้งของเธอเช่นกัน โดยเฉพาะ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่ได้กระทำความผิดรุกล้ำแม่น้ำ ด้วยการก่อสร้างท่าเทียบเรือรุกแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ซึ่งกรมเจ้าท่าได้มีการให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกรมเจ้าท่า ชี้แจงว่าบ้านหลังนี้สร้างล้ำแม่น้ำออกมา 7 เมตร ซึ่งไม่ตรงกับใบขออนุญาต

“สังคมได้เห็นถึงวิธีการทำงาน การอภิปรายในสภาที่ผ่านมา ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นอย่างไร มีการยั่วยุตลอด จ้องเล่นงานบิ๊กตู่เต็มๆ บรรดา ส.ส.พลังประชารัฐหลายคนก็ทนวิธีการนี้ไม่ได้ เมื่อเอ๋ถูกตัดสินเช่นนี้ คนที่มีพฤติกรรมเดียวกันก็ควรจะต้องถูกตัดสินเช่นกัน”

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล บอกว่า การที่ น.ส.ปารีณา ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเช่นนี้ ถ้ามองในมิติทางการเมืองแล้วการที่พรรคพลังประชารัฐยอมเสีย ‘เอ๋’ ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งไป แต่สิ่งที่รัฐบาล และพรรคพลังประชารัฐ ได้กลับคืนมานั้นมีความสำคัญมากกว่า

นั่นก็คือการผดุงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้เลือกปฏิบัติ และไม่ได้จ้องเล่นงานเฉพาะพรรคฝ่ายค้าน แต่ทุกพรรคการเมืองจะอยู่ภายใต้กระบวนการเดียวกันทั้งหมด ไม่ได้เป็นตามที่พรรคฝ่ายค้าน และบรรดาม็อบชู 3 นิ้วมักจะโจมตีตลอดเวลาว่า รัฐบาลเลือกปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐาน

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส
ต่อเมื่อ น.ส.ปารีณา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีบทบาทสำคัญมากในการทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์รัฐบาล กลับเป็น ส.ส.คนแรก ที่โดนข้อหาผิดจริยธรรมร้ายแรง จึงย่อมแสดงให้สังคมได้เห็นแล้วว่ารัฐบาลไม่คิดแทรกแซง แต่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดระเบียบกฎหมายเป็นหลัก ใครผิดก็ว่าไปตามผิด

ดังนั้น สิ่งที่สังคมจะต้องติดตามดูจากนี้ไปคือ คดีความที่เกี่ยวข้องกับพรรคฝ่ายค้าน และอาจจะมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า ผู้ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับ น.ส.ปารีณา ก็จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายแน่นอน

“เรื่องของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ก็ต้องใช้กฎหมายจัดการเหมือนกัน ให้ตามดูที่ ส.ส.สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พลังประชารัฐ ที่เป็นมือประสานกับ ‘เอ๋’ จะต้องหาข้อกฎหมายมาจัดการ เพราะเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน”

แหล่งข่าวระบุว่า กรณีของเอ๋ นั้นไม่ใช่เป็นการแลกแบบ 1 ต่อ 1 กับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่จะทำให้รัฐบาลสามารถดำรงความยุติธรรมได้เท่านั้น แต่ยังทำให้สังคมได้เห็นว่าการเมืองในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินไปอย่างถูกต้องตามครรลอง ไม่ได้มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อีกต่อไป

“สังคมได้เห็นใช่หรือไม่ว่า คดีแม่-พี่สา-ธนาธร รุกป่ากว่า 2 พันไร่ ก็จะต้องได้รับการสะสางอย่างถูกต้องเช่นกัน คราวนี้ฝ่ายค้าน พวกชู 3 นิ้วจะจ้องโจมตีรัฐบาลไม่ได้ เพราะ ป.ป.ช.ก็ชี้มูลความผิดเอ๋ ซึ่งเป็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และจะส่งให้ศาลฎีกาชี้ขาด ซึ่งเอ๋ มีสิทธิที่จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปเลยก็ได้”



น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ
ขณะที่คดีของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะต้องถูกดำเนินคดีทั้ง 3 คน เพราะมีการใช้เอกสารที่ออกโดยมิชอบมาครอบครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี จ.ราชบุรี จำนวน 2,154-3-82 ไร่ ซึ่งเป็นการกระทำให้เกิดความเสื่อมเสีย เสียหายต่อพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และมีการตรวจสอบพบเจ้าหน้าที่ภาครัฐให้ความร่วมมือในการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบด้วยเช่นกัน

การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ประมวลกฎหมายที่ดินตาม พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 และประมวลกฎหมายอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

“คดีนี้น่าจะดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่ง ต่อแม่ พี่สาว และตัวนายธนาธร รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง แต่ที่ต้องคิดดือ นางสมพร เซ็นรับทราบซื้อที่ดินทั้งที่รู้ว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวนก็ยังจะซื้อขายกันต่อ นี่ก็แปลว่าเจตนาใช่หรือไม่ แม้จะคืนที่ดินให้ภายหลังแต่ความผิดสำเร็จแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องว่าตามกระบวนการของกฎหมาย”

แหล่งข่าวระบุว่า ในทางการเมืองจะเห็นว่า น.ส.ปารีณา มีการกระทำที่ผิดพลาดจริงๆ ซึ่งต้นเหตุคือการบุกรุกที่ป่าสงวน เพราะถ้าไม่บุกรุกก็จะไม่มีคดีความ ก็เหมือนกับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ รวมทั้งพี่สาว และตัวนายธนาธร ที่มีความผิดที่เกิดจากการกระทำของเขาจริงๆ

“รัฐบาลหรือพรรคก็ไม่สามารถไปลบล้างสิ่งที่ ปารีณา กระทำได้ แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เอ๋ ถูกตัดสินมาเป็นประโยชน์ได้ ถ้าเรามองกันให้ดี คดี 3 แม่ลูกจึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อต้องคดี เท่ากับเราจัดการแม่ทัพใหญ่ในการต่อสู้ทางการเมืองก็คือตัวนายธนาธร และเรายังสามารถจัดการแม่ทัพในการส่งเสบียงคนสำคัญได้ ซึ่งก็คือนางสมพร”

ดังนั้น การใช้จังหวะคดีปารีณา จึงเท่ากับว่า รัฐบาลสามารถจัดการขุมกำลังของ ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้อย่างถูกต้องชอบธรรมด้วยกระบวนการทางกฎหมาย ที่ไม่ได้มีการจัดฉาก แต่เป็นไปตามสภาพการณ์หรือบริบททางการเมืองที่เกิดขึ้น

“การอภิปราย หรือแก้กฎหมายในสภาไม่จำเป็นต้องมีเอ๋ก็ได้ เพราะมีคนอื่นทดแทนได้ แต่การตัดธนาธร และขุมกำลังเป็นเรื่องสำคัญในทางการเมือง ส่วนเอ๋ ก็ต้องต่อสู้ตามกระบวนการต่อไป เพราะยังไม่ถือว่าผิด ต้องรอการตัดสินของศาลฎีกา ซึ่งยังมีเวลาให้ได้ติดตาม”


นอกจากนี้ สังคมก็ต้องติดตามว่าจากนี้ไป น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ จะมีทีเด็ดอะไรออกมาให้สังคมได้เห็นกรณีของนายธนาธร เพราะก่อนหน้านี้เธอก็ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “ปารีณา ไกรคุปต์’ #จะตามเรื่องที่ดินแม่ธนาธรให้ถึงที่สุด ถึงสื่อหลักจะไม่เล่นเรื่องแม่ธนาธรบุกรุกป่าและถูกยึดป่าคืนซักเท่าไหร่ แต่ปารีณาในฐานะผู้แทนฯ ที่มีอิทธิพลในโลกโซเชียลที่สุดในยุคนี้ ขอขอบคุณยอดผู้เข้าชมหลังโพสต์ไป 2 วัน จำนวน 8,700,000 VIEWS ซึ่งยอดนี้ ไม่รวมกับยอดที่ชาวโซเชียลไปต่อยอดเรื่องแม่ธนาธรบุกรุกป่า และออกเอกสารสิทธิในที่ป่ากันต่ออีก

#แม่ธนาธรออกเอกสารสิทธิในป่าถาวรผิดกฎหมาย ถูกยึดที่ดินที่จอมบึงทั้งหมดแล้วค่ะ

“คดีเอ๋ ก็เหมือนกับ ‘เบี้ยแลกขุน’ เชื่อว่าคุ้มค่ากับผลที่ได้รับ คือเอ๋ รุกป่า 1 คน แต่ได้ธนาธร รุกป่าถึง 3 คน คือ แม่-พี่สาว-ธนาธร จริงหรือไม่” แหล่งข่าวจากทำเนียบ ย้ำ




อย่างไรก็ดี คดีของ น.ส.ปารีณา นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสำนวนการไต่สวนชี้มูลความผิด ในฐานะผู้แทนของประชาชน กระทำความผิดฐานฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เข้ายึดถือ ครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง ซึ่ง ป.ป.ช.จะเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยต่อไป

โดยคดีดังกล่าวเป็นการเข้าบุกรุกที่ดินในเขตป่าและเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐพื้นที่ จำนวน 711-2-93 ไร่ โดยปรากฏพฤติกรรมในปี 2546-2562 มีการขอใช้ไฟฟ้าต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจอมบึง และชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินต่อองค์การบริหารส่วนตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จ.ราชบุรี เพื่อประกอบกิจการปศุสัตว์

ส่วนในปี 2549-2556 ที่ดินจำนวน 29 แปลง มีการกระจายการถือครองที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยชื่อบุคคลอื่นซึ่งเป็นพนักงานในฟาร์มมาถือครองที่ดินและมีการโอนกลับมาเป็นชื่อของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ทั้งหมด


การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ต้องการจะหลีกเลี่ยงกระบวนการเข้าสู่การปฏิรูปที่ดินของรัฐ ซึ่งรัฐมีเจตนารมณ์เพื่อต้องการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบความเดือดร้อนและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม แต่กลับมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ในที่ดินของรัฐ โดยไม่ยึดถือระเบียบ หลักเกณฑ์ กฎหมาย และไม่ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตามกฎหมาย

หากศาลฎีกาประทับรับฟ้องแล้ว น.ส.ปารีณา ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และผลของกฎหมายคือห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง และการถูกตัดสิทธิทางการเมือง 1 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

แต่กว่าจะถึงขั้นตอนนั้นก็ต้องตามดูว่าการเมืองเรื่องของการบุกรุกป่าสงวนที่ น.ส.ปารีณา ถูกดำเนินคดีจะส่งผลต่อ ‘นางสมพร-พี่สาว และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อย่างไร

จากนี้ไปสังคมอย่ากะพริบตาในยุทธการ ‘เบี้ยแลกขุน’ จะเป็นเช่นไร!




กำลังโหลดความคิดเห็น