ผู้ออมเงินเริ่มเมินสลากออมทรัพย์ของธนาคารรัฐ กดดอกเบี้ยเหลือ 0.1%แถมบางรุ่นเริ่มไม่จ่ายดอกเบี้ยแล้ว ให้ลุ้นแค่รางวัล ธนาคารผู้ออกสลากบอกต้องคุมต้นทุนปรับเปลี่ยนตามสภาพตลาดเงิน ส่วนผู้ออมสลากเผยเรื่องหวังถูกรางวัลใหญ่ยากมาก และตอนนี้สลากหลายตัวลดเงินรางวัลลง จนทำให้ผลตอบแทนที่ได้ต่ำกว่าเงินฝากบางประเภทหรือต่ำกว่าพันธบัตรรัฐบาล
สลากออมทรัพย์ของธนาคารรัฐทั้ง 3 แห่ง นับเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของการออมเงิน ที่แม้ว่าจะได้รับผลตอบแทนกรณีไม่ถูกรางวัลจะไม่สูงนัก แต่ทุกคนพร้อมเพราะคาดหวังเรื่องของการถูกรางวัลเป็นส่วนเสริมของผลตอบแทน และอาจตรงกับใจหลายคนที่ชอบลุ้นรางวัลไม่ต่างไปจากสลากกินแบ่งรัฐบาล การซื้อสลากออมทรัพย์จึงนับเป็นการออมเงินอีกประเภทที่มีข้อดีว่าเงินต้นไม่สูญ
ในยามที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำมาเป็นเวลานาน ทั่วโลกต่างเผชิญต่อปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำไปจนถึงการระบาดของ Covid-19 ยิ่งทำให้แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยไม่มีทีท่าที่จะปรับขึ้นได้เลยแถมยังเป็นตัวฉุดให้ธนาคารชาติเกือบทุกแห่งต้องใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นั่นหมายถึงอัตราดอกเบี้ยจะลดลงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ระดับ 0.5%
เศรษฐกิจที่ซบเซาทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้เริ่มลดลง ที่เชื่อมโยงมาจากกำลังซื้อในประเทศที่หดหายไป ทั้งจากสภาพการเลิกจ้าง ความวิตกกังวลในสถานการณ์ หลายคนจึงระมัดระวังในการจับจ่าย ภาคธุรกิจหลายแห่งก็ต้องรัดเข็มขัดเพื่อประคองตัว ความต้องการสินเชื่อเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต หรือการลงทุนใหม่ๆ ย่อมต้องเลื่อนออกไปก่อน
เมื่อธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ขยายสินเชื่อมากนัก อีกทั้งยังต้องระมัดระวังคุณภาพของลูกหนี้ ธนาคารจึงไม่จำเป็นต้องระดมเงินฝากเพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อ ดอกเบี้ยเงินฝากจึงลดต่ำลงมาเรื่อยๆ และไม่มีโปรโมชันเงินฝากออกมา
ไม่ถูกรางวัล-ดอกเบี้ยต่ำ
ดังนั้น แหล่งเงินออมเกือบทุกประเภทจึงให้ผลตอบแทนลดลงทั้งสิ้น เช่นเดียวกับสลากออมทรัพย์ของธนาคารรัฐทั้ง 3 แห่ง
จากการสำรวจตลาดสลากออมทรัพย์พบว่า ขณะนี้เจ้าใหญ่อย่างธนาคารออมสิน ได้หยุดจำหน่ายสลากออมสินอายุ 3 ปี เป็นการชั่วคราวมาแล้วหลายเดือน เช่นเดียวกับสลากออมสินอายุ 2 ปี ที่จำหน่ายผ่านสาขาก็หยุดจำหน่ายเช่นกัน และจะเปิดจำหน่ายอีกครั้งในวันที่ 2 กันยายนนี้
“สลากออมสินอายุ 2 ปีที่จำหน่ายผ่านสาขาจะเปิดจำหน่ายอีกครั้งในวันที่ 2 กันยายนนี้ ส่วนสลากดิจิทัลทั้ง 1 ปีและ 2 ปี ยังสามารถซื้อผ่าน App ของธนาคารออมสินยังสามารถซื้อได้ตามปกติ”
ขณะที่สลากออมทรัพย์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยังคงเป็นสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 5 ตัวเดิม รางวัลที่ 1 รางวัลละ 10 ล้านบาท แต่หากซื้อสลากผ่าน ธ.ก.ส. A-Mobile จะได้รับดอกเบี้ยเพิ่ม 2 เท่าจากดอกเบี้ยที่ซื้อผ่านสาขา
“เดิมได้ 0.3 บาทต่อหน่วย (0.1% ต่อปี) หากซื้อผ่าน ธ.ก.ส. A-Mobile ก็จะได้รับดอกเบี้ยเป็น 0.6 บาทต่อหน่วย (0.2% ต่อปี) เริ่มเมื่อ 20 สิงหาคม 2563 นอกนั้นทุกอย่างเหมือนเดิม”
ส่วนน้องใหม่ของอย่างธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่ออกสลากรุ่นที่คนทั่วไปพอจะจับจองได้ มีสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดพิมานมาศ หน่วยละ 5 หมื่นบาท จำนวนสลากมี 10 หมวดๆ ละ 1 แสนหน่วย รวม 1 ล้านหน่วย อายุ 3 ปี (36 งวด) ผลตอบแทนหน้าสลาก 0.9% เมื่อฝากครบกำหนด โอกาสถูกรางวัล 0.01% เงินรางวัล รางวัลปกติ หมวดละ 10 รางวัล รางวัลละ 5 หมื่นบาท และรางวัลพิเศษ หมวดละ 2 รางวัล รางวัลละ 5 แสนบาท จับรางวัลทุกไตรมาส มีสิทธิลุ้นรางวัล 12 ครั้ง ซื้อได้ถึง 15 กันยายน 2563 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน และสามารถซื้อผ่าน App ของธนาคารได้เช่นกัน
สลากทุกรุ่นต้องคุมต้นทุน
แหล่งข่าวจากธนาคารรัฐ กล่าวว่า การออกสลากแต่ละรุ่นก็เหมือนกับการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารรัฐจะทราบเป้าหมายว่าต้องการใช้เงินจากการออกสลากไปช่วยเหลือฐานลูกค้าของธนาคารในรูปแบบใด และต้องตอบสนองนโยบายของรัฐบาลด้วย
การออกสลากแต่ละรุ่นต้องพิจารณาต้นทุน สภาพตลาด พิจารณาทิศทางอัตราดอกเบี้ย เงินรางวัลและโปรโมชันส่งเสริมการขายต้องถูกนำมาคำนวณทั้งหมด เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดต่ำ ทุกอย่างก็ต้องปรับลดลงมาไม่เช่นนั้น ธนาคารผู้ออกสลากย่อมขาดทุน
ที่เป็นแฟนสลากออมทรัพย์ของธนาคารรัฐย่อมทราบดีว่า สลากแต่ละรุ่นที่ออกจำหน่ายจะมีการปรับต้นทุนการออกสลากให้สอดคล้องกับตลาดการเงินในขณะนั้น ตัวดอกเบี้ยกรณีไม่ถูกรางวัลจะปรับขึ้นลงตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยในขณะนั้น รวมไปถึงตัวรางวัลที่อาจปรับขึ้นหรือลดลงได้ เพื่อให้ทุกอย่างอยู่ภายใต้ต้นทุนที่ธนาคารผู้ออกสลากควบคุมไว้
ถอดใจสลากออมทรัพย์
ตอนนี้ผู้ออมเงินหลายรายถอดใจกับแนวทางออมผ่านสลากออมทรัพย์ ที่ผ่านมา หลายคนมองแค่ส่วนของรางวัลเลขท้ายเป็นหลัก เมื่อนำไปรวมกับตัวดอกเบี้ยกรณีไม่ถูกรางวัลแล้ว หากอยู่ที่ระดับที่ใกล้เคียงกับดอกเบี้ยเงินฝากประจำก็พอใจ ส่วนเรื่องการถูกรางวัลอื่นถือเป็นโบนัส
การถูกรางวัลอื่น เช่น รางวัลที่ 3-5 ก็ถือว่ายากมากแล้ว ไม่ต้องหวังรางวัลที่ 2 หรือรางวัลที่ 1 เพราะจะมีเงื่อนไขสุ่มงวด สุ่มหมวดของสลากแต่ละประเภทอีก ยิ่งเมื่อดอกเบี้ยกรณีไม่ถูกรางวัลเหลือเพียง 0.1% ต่อปี หรือสลากบางรุ่นไม่จ่ายผลตอบแทนในส่วนนี้
แถมรางวัลมีการลดรางวัลลง เช่น เลขท้าย ที่บางราย บางรุ่นเหลือเพียง 25 บาท หรือ 45 บาท ลดจำนวนรางวัลลง เช่นรางวัลที่ 1 รุ่นก่อนหน้าอาจมี 3 รางวัล ตอนนี้เหลือแค่ 1 รางวัล หรือรางวัลที่ 4-5 ก็ลดจำนวนครั้งในการออกรางวัล ที่สำคัญกว่านั้นคือ เงินรางวัลปรับลดลง เมื่อบวกกับการลดจำนวนครั้งในการออกรางวัล จึงทำให้ผู้ซื้อสลากมีโอกาสในการถูกรางวัลน้อยลง แม้อาจจะถูกรางวัลเลขท้ายทุกงวดแต่ตัวเงินรางวัลก็น้อยกว่าเดิมมาก
“เมื่อคำนวณไปมาแล้วจะพบว่าผลตอบแทนที่ได้อาจต่ำกว่าการฝากเงินหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลเสียอีก หลายคนจึงถอยออกจากสลากออมทรัพย์”
ก่อนหน้านี้ จะทราบดีว่าสลากของบางธนาคารจะออกมาเป็นรุ่นๆ เมื่อจำหน่ายครบวงเงินก็จะปิดการขายต้องรอจนกว่าจะเปิดรุ่นใหม่ แต่ตอนนี้ผ่านไปหลายเดือนสลากรุ่นดังกล่าวยังขายอยู่เหมือนเดิม สะท้อนถึงการตอบรับของประชาชนอาจไม่คึกคักเหมือนในอดีต หรือบางธนาคารที่เคยเปิดรับจำหน่ายตลอดเวลา ตอนนี้ก็ปิดจำหน่ายชั่วคราว ปรับมาขายรุ่นที่มีอายุสั้นลง
สลาก 1 ปีเหลือได้ลุ้นแค่รางวัล
ผู้ออมสลากรายหนึ่งกล่าวว่า คนที่ซื้อสลากประเภทนี้มาอย่างต่อเนื่อง ย่อมมองออกว่าสลากแต่ละรุ่นนั้นแตกต่างกับรุ่นก่อนๆ หรือไม่ ตอนนี้สลากออมทรัพย์ของธนาคารทั้ง 3 แห่งนั้นได้ปรับลดผลตอบแทนลงมาทั้งในรูปของดอกเบี้ย (กรณีไม่ถูกรางวัล) และปรับลดเงินรางวัลโดยรวมลงมา
ขณะนี้ดอกเบี้ยกรณีไม่ถูกรางวัลจะลงมาเหลืออยู่ที่ประมาณ 0.1% เว้นแต่ของ ธอส.อยู่ที่ 0.9% ถือว่าสูง แต่เป็นการปรับลดลงจาก 1% ในการออกครั้งแรก และตัวสลากราคาสูง 5 หมื่นบาทต่อหน่วย การออกรางวัลต่องวดมี 10 รางวัล รางวัลละ 5 หมื่นบาท โอกาสถูก 0.01% แม้จะมีรางวัลพิเศษอีก 5 แสนบาทก็ตาม ไม่มีรางวัลเลขท้ายเหมือนกับธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.
เจ้าตลาดอย่างธนาคารออมสินได้หยุดจำหน่ายสลากรุ่น 3 ปีไประยะหนึ่ง ตอนนี้สลากออมสินเหลือเพียงสลากดิจิทัลมีทั้ง 1 ปีและ 2 ปีที่สามารถซื้อได้ ส่วนสลาก 2 ปีที่จำหน่ายผ่านสาขานั้นหยุดจำหน่ายเช่นกันแต่จะเปิดจำหน่ายอีกครั้งในวันที่ 2 กันยายน 2563
โดยส่วนสลากดิจิทัล 1 ปี จากเดิมที่เคยได้ดอกเบี้ย 0.1% รุ่นใหม่นี้ ทางธนาคารได้ปรับเงื่อนไข ไม่จ่ายอัตราดอกเบี้ยกรณีไม่ถูกรางวัล หมายถึงผู้ซื้อได้สิทธิลุ้นรางวัลเพียงอย่างเดียว ส่วนรุ่น 2 ปี ยังให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.1% ต่อปี
ส่วนสลาก 3 ปีที่เคยเป็นแม่เหล็กเรียกลูกค้าให้แก่ธนาคารออมสิน เดิมเคยซื้อได้ทุกวันนั้น อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขบางประการ เพราะก่อนหน้านี้ได้ให้เงินรางวัลสูง เช่น รางวัลที่ 1 หมุน 3 ครั้งครั้งละ 10 ล้านบาท หรือรางวัลที่ 2 หมุน 2 รางวัล ซึ่งได้มีการปรับรางวัลที่ 1 ขึ้นไปอีกเป็น 20 ล้านบาท น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้นทุนการออกสลากสูง ขณะที่สลากรุ่นอื่นรางวัลที่ 1 และ 2 จะออกรางวัลเพียง 1 ครั้ง และเงินรางวัลต่ำกว่ามาก
พันธบัตรไม่คึกคัก
ขณะที่ฝั่งเงินฝากตอนนี้มีเพียงพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนดี (ในเวลานี้) มีจำหน่ายพร้อมกัน 2 รุ่น ได้แก่ พันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. หน่วยละ 1 บาท ผ่านแอปเป๋าตัง อายุ 4 ปี ดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี 25 สิงหาคม-11 กันยายน 2563 วงเงิน 5 พันล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษ รุ่นก้าวไปด้วยกัน ของกระทรวงการคลัง ปีงบประมาณ 2563 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.22% ต่อปี เสนอขาย 26 สิงหาคม-11 กันยายน 2563 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินจัดจำหน่าย วงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท
พนักงานธนาคารผู้จำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลกล่าวว่า พันธบัตรทั้ง 2 รุ่น ผู้ที่สนใจยังสามารถซื้อได้ที่ธนาคารผู้แทนจำหน่าย รอบนี้ดูเหมือนว่าการจำหน่ายจะทำได้ล่าช้ากว่ารอบที่แล้ว อย่างวอลเล็ตคงสามารถขายได้ตามเป้าหมาย แต่อาจใช้เวลาอีกสักพัก เนื่องจากรอบนี้จำหน่ายมากถึง 5 พันล้านบาท เป้าขายมากกว่ารอบที่แล้วเป็นอย่างมาก ส่วนพันธบัตรก้าวไปด้วยกัน อายุ 7 ปี ผลตอบแทน 2.22% ยังสามารถซื้อได้เช่นกัน
วอลเล็ตรอบที่แล้วหมดเร็วเพราะวงเงินแค่ 200 ล้านบาท อายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 1.7% แม้รอบนี้ดอกเบี้ยจะเท่ากันแต่ต้องถือมากกว่าเดิมอีก 1 ปี การซื้ออาจมีข้อจำกัดบ้างที่ต้องผ่านแอปเป๋าตัง ที่หลายรายอาจไม่คุ้นเคยนัก
ขณะที่พันธบัตรก้าวไปด้วยกัน ตัวอายุ 7 ปี อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่หลายคนมองว่ายาวเกินไป อีกทั้งพันธบัตรรุ่นก่อนหน้ามี 5 ปี และ 10 ปีให้เลือก ดอกเบี้ยก็สูงกว่าตอนนี้ เพิ่งจำหน่ายไปเมื่อ 14 พฤษภาคม 2563 ครั้งนั้นผลตอบรับดี
คนออมบางส่วนก็เลือกที่จะรอพันธบัตรรุ่นต่อไป เพราะประเมินกันว่ารัฐบาลอาจต้องใช้เงินอีกพอสมควรในการแก้ปัญหาสถานการณ์ Covid-19 อาจจะได้รุ่นที่ตรงกับความต้องการ แต่เชื่อว่าพันธบัตรทั้ง 2 รุ่นคงสามารถจำหน่ายได้หมดในอีกไม่นาน