แบบนี้ก็ได้เหรอ? ….ลูกค้ามีนตี๊บ ถูกเรียกมาเปลี่ยนสัญญา 'แสนสิริ' ลดสเปกวัสดุ โครงการคอนโดมิเนียม 'เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค' อ้างขายพื้นที่อีก 60% ขอปรับราคาใหม่ ด้านผู้บริหารอสังหาฯ แนะลูกค้า หากไม่ Happy ข้อเสนอของแสนสิริ ต้องฟ้อง สคบ.เพราะเป็นการผิดสัญญาชัดเจน ขณะที่เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชี้จากนี้ไป ควรเลือกซื้อคอนโดฯ ที่สร้างเสร็จ และหากมีปัญหาถูกเอาเปรียบหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ติดต่อมาที่มูลนิธิได้!
5 แยกลาดพร้าว หนึ่งในทำเลทองที่บรรดานักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งในตลาดและนอกตลาดหลักทรัพย์ ให้ความสนใจตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าบริเวณนี้จะเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ (New CBD) ทั้งนี้เพราะบริเวณนี้มีระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกสบาย ใกล้ทางด่วน, รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ลาดพร้าว, รถไฟฟ้า BTS, สถานีกลางบางซื่อ ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางคมนาคมทางรางที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในอาเซียน ซึ่งจะมีรถไฟทุกระบบ รวมถึงรถไฟความเร็วสูง ไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน รถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หนองคาย และสายเหนือ สายใต้ อยู่ที่นี่
อีกทั้งบริเวณนี้ยังมีห้างสรรพสินค้าและโรงแรมขนาดใหญ่ของกลุ่มเซ็นทรัล มียูเนียนมอลล์ โลตัส ไว้บริการ
ที่สำคัญมีการเปิดทดลองใช้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ซึ่งวันนี้ได้มีการเปิดให้บริการจากสถานีหมอชิต ไปจนถึงสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว และคาดว่าจะมีการเปิดบริการทั้งสาย 16 สถานีภายในปี 2563
ส่งผลให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ต่างพาเหรดไปลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งมีทั้งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และก่อสร้างแล้วเสร็จ และราคาที่มีการเปิดขายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำเลที่ติดถนนจะอยู่ประมาณตารางเมตรละ 130,000-150,000 บาท และลึกเข้าไปก็จะลดลงมาขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทจับกลุ่มลูกค้าประเภทใด
อย่างไรก็ดี แบรนด์แสนสิริ ก็ไม่พลาดที่จะไปพัฒนาโครงการบริเวณ 5 แยกลาดพร้าว ด้วยการเปิดตัว 'เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค' เมื่อปลายปี 2561 สูง 32 ชั้น จำนวน 880 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท ด้วยคอนเซ็ปต์ 'Imagination is Everything' และจะเป็นคอนโดมิเนียมในรูปแบบ 'Green Concept-Green is a New Luxury' พร้อมเปิดขายแบบ Fully Furnished' ที่สามารถหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้อย่างสะดวกสบายที่โครงการนี้ภายใต้แบรนด์แสนสิริ
ด้วยจุดขายที่น่าสนใจของแสนสิริ ทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่หรือคนชั้นกลางให้ความสนใจซื้อโครงการนี้ แม้จะมีโครงการคอนโดมิเนียมอื่นๆ ไปลงในพื้นที่ใกล้กันก็ตาม และจากข้อมูลของพนักงานขายโครงการบอกว่าตั้งแต่มีการเปิดขายโครงการนี้ตั้งแต่ปลายปี 2561 คือช่วงที่มีการเปิด Pre-sale ที่มีการเยี่ยมชม Sales Gallery The Line พหลโยธิน พาร์ค จนถึงปลายปี 2562 โครงการนี้สามารถขายไปได้เพียง 40% จากยอดขายพื้นที่ทั้งหมด
“ราคาขายช่วงพรีเซล จะอยู่ตารางเมตรละ 130,000-140,000 อยู่ที่มุมห้อง อยู่ที่ชั้นไหน ลูกค้าที่ซื้อช่วงนั้นจะได้ของแถม ได้ส่วนลดเยอะมาก วัสดุ อุปกรณ์อยู่ในเกรดเยี่ยมตามที่โชว์ใน Sales Gallery ทั้งหมด เราก็จะมีการสอบถามลูกค้าทุกรายว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัย เก็งกำไร หรือปล่อยเช่า เพราะจริงๆ บริษัทอยากได้ลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยซึ่งเราจะเชียร์ให้ซื้อไว้”
โดยฝ่ายขายจะบอกชัดเจนว่าโครงการนี้จะใช้เวลาก่อสร้างค่อนข้างนาน ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณ กรกฎาคม 2565 เนื่องจากโครงการจะพิถีพิถัน ในเรื่องของวัสดุตกแต่งตามที่โชว์ไว้ใน Sales Gallery ตั้งแต่เข้าประตูก็จะเป็น Digital Door Lock Samsung, Homeautomation ด้วยระบบ Voice Command , Well air จะเป็นเทคโนโลยีระบบอากาศ เซ็นเซอร์ดักจับก๊าซเสียและดูดอากาศอัตโนมัติ ดักก๊าซ CO2 และความชื้น ผนังฉาบปูนเรียบต้องเรียบร้อยตามแบบ อุปกรณ์เครื่องครัว Built-in พร้อม Counter ครัวสีกรุแผ่นหินควอตซ์สีดำและผนังกันเปื้อนกรุกระจกสี สวยงามมาก ชั้นวางของ/ตู้เก็บของเหนือเตาแก๊ส ความยาวจากมุมห้องถึงสุดขอบที่วางตู้เย็น มีบานกระจกเปิด-ปิดแบบแก้วกันความร้อน
ขณะที่ห้องนอน Furnished ทุกอย่างพร้อม ตู้เสื้อผ้า เตียง ระบบแอร์ และห้องน้ำจะเป็นระบบก๊อกน้ำร้อน/น้ำเย็น, Counter/ตู้เก็บของเหนืออ่างล้างหน้า และใต้อ่างล้างหน้า ส่วนอาบน้ำเป็นฝักบัวและฝักบัวแบบ Rain Shower และผนังกั้นส่วนอาบน้ำจะเป็นกระจกนิรภัยแบบไม่มีกรอบ พื้นกรุกระเบื้องลายไม้เกรดคุณภาพ และมีระเบียงส่วนตากผ้าไว้พร้อม
ดังนั้น ลูกค้าที่สนใจจึงตัดสินใจและวางเงินดาวน์ที่แสนสิริกำหนดไว้ คือ 30,000 บาท และหลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ กำหนดวันทำสัญญาที่จะต้องจ่ายอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนตัวเลขการจ่ายขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าจองห้องขนาดไหน ถ้าห้องใหญ่ตัวเลขก็จะสูงขึ้นเป็นแสนบาท และมีการผ่อนดาวน์ประมาณ 10-15% ของราคาห้อง และผ่อนดาวน์ 44 งวด จากนั้นก็โอนกู้สถาบันการเงินต่อไป
แหล่งข่าวจากวงการอสังหาริมทรัพย์ บอกว่า เวลานี้ลูกค้าที่จองโครงการ 'เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค' ตั้งแต่ช่วง Pre-Sale และอยู่ระหว่างการผ่อนดาวน์ ซึ่งมีการผ่อนดาวน์ไปแล้วปีกว่าๆ ได้รับจดหมายจากบริษัท และได้รับโทรศัพท์ติดต่อจากฝ่ายขายขอให้เข้ามาเปลี่ยนสัญญาโดยให้เหตุผลว่าด้วยตลาดที่เปลี่ยนไป โครงการจึงต้องปรับตัว ด้วยการทบทวนแบบและรายการวัสดุห้องชุด เพื่อให้ราคาขายใหม่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะตลาดในปัจจุบันให้มากขึ้น โดยเสนอทางเลือกให้ลูกค้าใหม่
ทางเลือกที่ 1 ลูกค้าสามารถรับห้องตำแหน่งเดิม รายการวัสดุเดิม (Specification) ในราคาเดิม โดยอ้างอิงตามสัญญาและผ่อนดาวน์ต่อกับทางโครงการ ตามเงื่อนไขของสัญญาเดิมต่อไป
ทางเลือกที่ 2 ลูกค้าสามารถเลือกรับราคาใหม่ที่ลดลง เฉลี่ยประมาณ 25% โดยราคาที่ปรับลดลงมาจากรายการวัสดุภายในห้องชุด และระยะเวลาในการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาเดิม ซึ่งกรณีนี้ทางเลือกที่ 2 บริษัทได้เสนอไว้เป็น 2 แบบคือห้องเดิมแต่ราคาใหม่ หรือห้องใหม่ ในราคาใหม่
“มีการปรับราคาขายห้องชุดกันใหม่ เดิมช่วงพรีเซลเมื่อปลายปี 2561 ขายตารางเมตรละ 130,000-140,000 ห้องต่ำสุด 31.75 ตร.ม. ราคา 4.2 ล้านบาท แต่มีห้องพิเศษให้ลูกค้าในราคา 3.99 ล้านบาท มีไม่กี่ห้อง และพื้นที่ยิ่งมากก็ยิ่งแพงขึ้น แต่วันนี้ราคาปรับลงเหลือตารางเมตรละ 90,000 บาท ห้อง 31.75 ตารางเมตรจะเปิดขายที่ 2.89 ล้านบาท”
โดยฝ่ายขายได้แจ้งลูกค้าว่าเวลานี้โครงการเหลือพื้นที่ประมาณ 60% ที่ยังขายไม่ออก เพราะปัญหาเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนราคาขาย เปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ และส่วนลดบางอย่างที่เคยแถมก็ต้องตัดออกไป เพราะไม่เช่นนั้นโครงการก็จะเดินต่อไม่ได้ ซึ่งบริษัทจะมีการเปิด Pre-Sale และให้มีการเยี่ยมชม Sales Gallery ได้ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
“ตอนนี้เราปิด Sales Gallery ที่เป็นห้องชุดแบบเดิมไปแล้ว และเรากำลังปรับปรุงใหม่ จะเป็นตามวัสดุแบบใหม่ ราคาใหม่ ต่อไป ส่วนลูกค้าที่ซื้อราคาเดิมไปแล้วโครงการก็มีทางเลือกให้ แต่ก็อยากแนะนำให้เปลี่ยนเป็นราคาใหม่ซึ่งจะเป็นเท่าไหร่ ก็ต้องไปคุยรายละเอียดกัน”
สำหรับลูกค้าเก่าที่เลือกเปลี่ยนเป็นห้องใหม่ ราคาใหม่ ทางโครงการไม่ได้ให้สิทธิพิเศษอะไร แต่จะต้อง Walk In เข้าไปจองห้องเหมือนคนทั่วๆ ไปในวัน Pre-Sale ขณะที่ส่วนลดที่เคยให้ไว้ก็ถูกตัดทิ้งไปทั้งหมด
ด้านผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง บอกว่า จริงๆ แล้ววิธีการแบบนี้ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นการลดสเปก ในหลักการแล้วการลดวัสดุตกแต่งถึงแม้จะเป็นภายในห้อง ก็ถือว่าเป็นการลดสเปกช่นกัน และยิ่งมีการปรับราคาใหม่ กลุ่มคนที่เข้ามาซื้อก็จะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทแสนสิริ จึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้
“อาจเป็นผลมาจากวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งแสนสิริเป็นภาพสะท้อนได้อย่างดี แต่คนที่ซื้อไปแล้วถ้ารู้สึกไม่ Happy เพราะมีการเปลี่ยนแปลงสัญญา ถึงแม้จะให้เลือกห้องเก่า ราคาเก่าได้ แต่สภาพโดยรวมของคอนโดฯ แห่งนี้เปลี่ยนไปแล้ว ก็ต้องไปร้อง สคบ.หรือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐ จะดีที่สุด”
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องคำนึงคือลูกค้าที่เลือกซื้อคอนโดมิเนียมที่5 แยกลาดพร้าว เพราะเชื่อในศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคอนโดมิเนียมก็อยู่ระหว่างการก่อสร้างเช่นกัน ว่าจะมีราคาอัปไซด์หรือปรับตัวสูงขึ้น
'ลูกค้าก็เชื่อว่าราคาคอนโดฯ จะต้องปรับตัวสูงขึ้น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมันทำให้มูลค่าโดยรวมลดลง ดูแค่ราคาต่อตารางเมตรเดิมขาย 130,000-140,000 แต่ราคาใหม่ลดเหลือ 90,000 บาท ก็ทำให้ความรู้สึกเชื่อมั่นหายไปแล้ว ถ้าเลือกห้องเดิม ราคาเดิม ถามว่าถ้าอยู่ไประยะหนึ่งแล้วขายต่อ ใครจะซื้อห้องนี้ เพราะห้องอื่นก็ขนาดพื้นที่เท่ากัน อยู่ในตึกเดียวกัน แต่ราคาถูกกว่า คนก็ย่อมเลือกซื้อห้องที่ราคาถูก”
ด้าน สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกว่า ทางมูลนิธิฯ เป็นองค์กรภาคประชาชนที่คอยให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค ที่ผ่านมาในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่มีการร้องเรียนเข้ามาจะเป็นประเภทคอนโดมิเนียม ทั้งเรื่องการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน, การก่อสร้างล่าช้า ก่อสร้างผิดแบบ ไม่ถูกต้องตามแปลนที่ได้รับอนุญาต, ยกเลิกสัญญา/ผิดสัญญาจอง, ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม/ทำให้ลูกค้าเสียเปรียบ เป็นต้น
ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็อาจกระทบต่อการพัฒนาโครงการ มีปัญหาสร้างไม่เสร็จ หรือลูกค้าที่ซื้อห้องชุดไปไม่ได้ตามต้องการเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดในเวลานี้ จึงอยากให้ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียม ควรเลือกซื้อที่สร้างเสร็จแล้ว บางครั้งอาจจะเดินเข้าซอยไปบ้าง แต่เราจะสามารถได้สินค้าที่ถูกใจ และอาจจะมีราคาถูกกว่าที่ลูกค้าเลือกในทำเลที่ติดถนนก็ได
“เท่าที่ติดตามเชื่อว่า จะมีคอนโดมิเนียมที่สร้างไม่เสร็จ สร้างล่าช้า เปลี่ยนแปลงแบบ เปลี่ยนแปลงสัญญา ที่ทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ เกิดขึ้นอีกมาก คนที่จะตัดสินใจซื้อจึงต้องเลือกที่สร้างเสร็จแล้ว น่าจะดีที่สุดในเวลานี้”
ส่วนผู้บริโภคที่มีปัญหาสามารถติดต่อขอข้อแนะนำ ช่วยเหลือจากมูลนิธิฯ ได้ที่หมายเลข 02-248-3737 แม้ว่าเราจะเป็นองค์กรภาคประชาชน ไม่ได้มีอำนาจแบบ สคบ. แต่มูลนิธิฯ ก็สามารถแนะนำและจัดหาทนายความอาสาให้ได้หากถึงขั้นมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมามูลนิธิฯ ก็สามารถแก้ไขให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมได้จำนวนมาก!