นักการเมืองฝ่ายค้านสายผู้ใหญ่ เปิดฉากชำระแค้น “พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์” ที่เกษียณและไม่มีการต่ออายุราชการ งัดเรื่องในอดีตที่สำนักพุทธฯ สนับสนุนงบหน่วยงานอื่น เชื่อมโยงกรณีจับอดีตกรรมการมหาเถรสมาคม เหตุใดดำเนินคดีเฉพาะพระ เป้าหลักได้ทั้งช่วยพระที่เกื้อหนุนกันอยู่และเชือดพงศ์พร
ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 24/2562 เมื่อ 30 กันยายน 2562 พันตำรวจโท พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าถวายสักการะ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และกรรมการมหาเถรสมาคม ในโอกาสปฏิบัติหน้าที่จนครบเกษียณอายุราชการ ณ อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พุทธมณฑล นครปฐม
เป็นอันว่าตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ว่างลงตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะแต่งตั้งบุคคลใดเข้ามารับตำแหน่งแทน แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่พ้นวัยทำงานของพันตำรวจโทพงศ์พร อาจไม่เหมือนกับข้าราชการเกษียณทั่วไปที่ได้พักผ่อนอยู่กับบ้าน
เรืองไกรชงเสรีพิศุทธ์
ทั้งนี้เป็นเพราะมีบางฝ่ายที่รอจองกฐินอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนารายนี้อยู่ไม่น้อย อย่างก่อนเกษียณไม่กี่วัน โดยเมื่อ 26 กันยายน 2562 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ. ป.ป.ช.) เพื่อขอให้สอบข้อเท็จจริงกรณีสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีการเบิกจ่ายงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปโดยมิชอบหรือไม่ และทำการสอบหาข้อเท็จจริงว่ากรณีดังกล่าวจะเข้าข่ายเป็นการร่วมกันฟอกเงินหรือไม่
นายเรืองไกรกล่าวว่า เนื่องจากมีกรณีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยกับพวกรวม 8 คน เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.197/2561 ในฐานความผิดร่วมกันฟอกเงินต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 ซึ่งเป็นการฟ้องร้องโดยรวมเอางบประมาณ 2 โครงการ คือ งบประมาณอุดหนุนโครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา ประจำปีงบประมาณ 2559 จำนวนเงิน 32,200,000 บาท ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รวมเป็นคดีเดียวกัน โดยอ้างเหตุแห่งการฟ้องไว้ส่วนหนึ่งว่าการดำเนินการจัดสรรและโอนเงินงบประมาณดังกล่าวไม่ชอบด้วยวัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ของวิธีการงบประมาณและการเบิกจ่ายงบประมาณที่กำหนด
ตนจึงเรียนมาเพื่อขอให้ กมธ.ป.ป.ช.ดำเนินการสอบหาข้อเท็จจริงต่อกรณีดังกล่าว รวมทั้งขอให้สอบหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำคำของบประมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาตามที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 90 (22) โดยเร็ว
จ้องเล่นงานพงศ์พร
แหล่งข่าวทางการเมืองกล่าวว่า คดีที่นายเรืองไกรยื่นเรื่องให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สอบนั้น เป็นเอกสารชุดเดียวกับที่นายนิยม เวชกามา ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งคำถามในลักษณะนี้ไว้ในสภาผู้แทนราษฎร แล้วมีการนำมาขยายผลต่อ
เนื้อหาของเอกสารเป็นเรื่องสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้การสนับสนุนงบในโครงการทางด้านพระพุทธศาสนาของสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่อยู่ระหว่างปี 2554-2557
เขากำลังจะชี้ให้เห็นว่า กรณีนี้เป็นการให้เงินสนับสนุนข้ามหน่วยงานเหตุใดจึงทำได้ เพื่อจะนำมาโยงกับกรณีเงินทอนวัดของพระผู้ใหญ่ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ เป้าหลักมุ่งไปที่พันตำรวจโทพงศ์พรว่าการร้องทุกข์กล่าวโทษคดีเงินทอนวัดนั้นมีความไม่ชอบมาพากล คงเป็นการเอาคืนของฝ่ายที่เสียประโยชน์จากการทำงานของอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาคนล่าสุด เพราะตั้งแต่เข้ามารับหน้าที่เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในวงการสงฆ์
ศิษย์ธรรมกายไม่ปลื้ม
พันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2560 ถึง 4 กันยายน พ.ศ. 2560 และกลับเข้ามาในตำแหน่งเดิมอีกครั้งเมื่อ 1 ตุลาคม 2560 ถึง 30 กันยายน 2562 และนายวิษณุ เครืองาม กล่าวชัดเจนแล้วว่าไม่มีการต่ออายุราชการออกไป
แม้จะเข้ามาหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ใช้มาตรา 44 กับวัดพระธรรมกาย แต่ขั้นตอนหลายอย่างก็ต้องเกี่ยวพันกับวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะเรื่องการดำเนินคดีในทางสงฆ์ ต้องประสานงานกับเจ้าคณะใหญ่หนกลางในฐานะผู้ปกครอง จนถึงเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี แต่ก็ทำได้แค่กรอบในทางกฎหมายเท่านั้น เนื่องจากวงการสงฆ์มีคณะสงฆ์ปกครองกันเอง
จากนั้นพันตำรวจโทพงศ์พรก็ตกเป็นเป้าความไม่พอใจของศิษย์วัดพระธรรมกายมาโดยตลอด แต่กรณีวัดพระธรรมกายทางสำนักงานพุทธฯ ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วหากไม่มีการเปลี่ยนตัวผอ.สำนักพุทธ หากใช้คนเดิมคือนายพนม ศรศิลป์ การเร่งรัดงานต่าง ๆ คงไม่ได้ผลนัก รัฐบาล คสช.ก็รู้ดีว่าคนเก่านั้นแนบแน่นกับธรรมกายแค่ไหน
พระผู้ใหญ่คว่ำบาตร
การเปลี่ยนแปลงในวงการสงฆ์เกิดขึ้นก่อนที่พันตำรวจโทพงศ์พรจะเข้ามารับตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธ เนื่องจากที่ผ่านมาวงการนี้มีฝ่ายที่กุมอำนาจมาอย่างยาวนาน ปัญหาใหญ่ของพระสงฆ์และวัดต่างๆ จึงไม่ได้รับการแก้ไขในทางที่ควรจะเป็น ประมุขสูงสุดของสงฆ์คือตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ฝ่ายกุมอำนาจก็จับจองกันมา เมื่อทำท่าจะไม่ได้ก็มีขบวนการปลุกม็อบพระขึ้นมาแสดงพลังที่พุทธมณฑล
ปมที่เป็นจุดที่อดีตผอ.สำนักพุทธรายนี้ถูกถล่มมากที่สุด คือเรื่องการจัดระเบียบการเงินของวัด ที่ผ่านมาสำนักพุทธ กุมเงินงบประมาณเบิกจ่ายได้เอง ทำให้เกิดปัญหาเรื่องเงินทอนวัด ส่งผลให้อดีต ผอ.สำนักพุทธ 2 คนก่อนถูกดำเนินคดีคือนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์และนายพนม ศรศิลป์
การตรวจสอบไปยังวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะวัดดังระดับที่มีพระชั้นสมเด็จเป็นเจ้าอาวาส หรือพระที่เป็นกรรมการในมหาเถรสมาคม สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมาก มีการประกาศคว่ำบาตรพงศ์พร จนเกิดแรงกดดันจากพระผู้ใหญ่ไปยังลูกศิษย์ที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล ส่งผลให้พงศ์พรถูกคำสั่งย้ายเมื่อ 4 กันยายน 2560 ซึ่งมีคำสั่งให้ลงไปดูแลงานในจังหวัดชายแดน แต่สุดท้ายก็ได้กลับมารับตำแหน่งเดิมอีกครั้งในวันที่ 1 ตุลาคม 2560
แตะคลังสมบัติพระเถระ
จนมาถึงเหตุการณ์เมื่อ 24 พฤษภาคม 2561 ตำรวจกองปราบปรามเข้าจับกุมพระชั้นพรหม กรรมการมหาเถรสมาคม 3 รูป ประกอบด้วย พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ และพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์(หลบหนีไปประเทศเยอรมัน)
บทบาทของพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมเงียบลงทันตา แต่ยังมีแรงกระเพื่อมจากลูกศิษย์สายพระผู้ใหญ่มาโดยตลอดทั้งเรื่องแจ้งความดำเนินคดีกับพงศ์พร รวมถึงกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในขบวนการทำลายศาสนา
นอกจากนี้ทางสำนักพุทธ ยังมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการขอเงินงบประมาณบูรณะปฏิสังขรวัด จากเดิมที่ส่งเรื่องผ่านมหาเถรสมาคม แล้วส่งต่อมาที่สำนักพุทธก็จะได้รับการอนุมัติงบประมาณกลับไปทันที แต่ระเบียบใหม่วัดที่ต้องการงบส่งเรื่องมาที่มหาเถรสมาคม เรื่องส่งมาที่สำนักพุทธจากนั้นสำนักพุทธส่งต่อไปที่สำนักงบประมาณเพื่อพิจารณา เท่ากับสถานะของสำนักพุทธในวันนี้ไม่มีงบประมาณในมือ ทุกอย่างต้องให้สำนักงบประมาณเป็นผู้อนุมัติ
แน่นอนว่าวิธีการนี้ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับวัดที่ต้องการของบประมาณที่อาจได้เงินไปบูรณะวัดล่าช้าออกไป รวมถึงพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมเองที่อำนาจของตนเองลดน้อยลงไป ไม่สามารถสั่งการกับสำนักพุทธได้เหมือนก่อน
ศิษย์วัดในสภาฯ เปิดฉาก
เมื่อสภาพการเมืองเข้าสู่การเลือกตั้งได้รัฐบาลผสมพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ ในจำนวนนี้มีพรรคประชาภิวัฒน์นำโดยนายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ศิษย์วัดพระธรรมกายเข้าร่วมรัฐบาลด้วย และได้สอบถามในเรื่องของการดำเนินคดีกับพระผู้ใหญ่ที่ควรได้สิทธิประกันตัว จากนั้นได้ลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อถูกสื่อขุดคุ้ยจึงถูกโยกไปเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม
ขณะที่พรรคเพื่อไทยที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับวัดพระธรรมกายและพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมได้เป็นฝ่ายค้าน หัวหอกงานด้านศาสนาเป็นหน้าที่ของนายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร เข้ามาทำหน้าที่แทนทั้งเรื่องเงินทอนวัดและเรื่องของการใช้งบประมาณของสำนักพุทธกับหน่วยงานอื่น
จนมาถึงการต่อยอดจากนายเรืองไกรที่นำเรื่องนี้มาสานต่อผ่าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ เพื่อจัดการกับพงศ์พรที่เพิ่งเกษียณอายุราชการ รวมถึงยังมีกลุ่มสนับสนุนพระผู้ใหญ่ที่เคลื่อนไหวในนามองค์กรพุทธต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวสอดรับกัน
แค้นแตะผลประโยชน์
กลุ่มที่เสียผลประโยชน์ย่อมต้องกล่าวถึงสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่อดีตผอ.สำนักพุทธคนล่าสุดทำไว้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว สิ่งที่พงศ์พรทำนั่นคือการล้างระบบพรรคพวกในวงการสงฆ์ ที่กระทำผ่านมหาเถรสมาคมมาเป็นเวลานาน ที่ผ่านมาวัดในสังกัดของพระผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยมักจะได้รับการอนุมัติงบอย่างรวดเร็ว ผิดกับวัดนอกสังกัดที่ต้องขอรับบริจาคจากญาติโยมเอง
แม้กระทั่งเรื่องของตำแหน่งของพระชั้นปกครอง การเลื่อนชั้นสมณะศักดิ์ต่าง ๆ หรือการส่งพระในสังกัดเข้าไปเป็นเจ้าอาวาสวัดดังที่คนนิยมเป็นทำบุญเยอะ ทั้งหมดอยู่ในอำนาจของมหาเถรสมาคมทั้งสิ้น
ทั้งหมดทำให้เกิดข้อครหาต่าง ๆ ในวงการสงฆ์มากมาย แต่ไม่มีการแก้ไขเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจังและเมื่อพงศ์พรเข้ามาแตะผลประโยชน์ตรงนี้ จึงทำให้เกิดแรงต้านมากมายจากพระผู้ใหญ่และลูกศิษย์ และเมื่อเขาพ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักพุทธไปแล้ว สิ่งที่จะตามมาคือการเช็กบิล
ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 24/2562 เมื่อ 30 กันยายน 2562 พันตำรวจโท พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าถวายสักการะ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และกรรมการมหาเถรสมาคม ในโอกาสปฏิบัติหน้าที่จนครบเกษียณอายุราชการ ณ อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พุทธมณฑล นครปฐม
เป็นอันว่าตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ว่างลงตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะแต่งตั้งบุคคลใดเข้ามารับตำแหน่งแทน แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่พ้นวัยทำงานของพันตำรวจโทพงศ์พร อาจไม่เหมือนกับข้าราชการเกษียณทั่วไปที่ได้พักผ่อนอยู่กับบ้าน
เรืองไกรชงเสรีพิศุทธ์
ทั้งนี้เป็นเพราะมีบางฝ่ายที่รอจองกฐินอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนารายนี้อยู่ไม่น้อย อย่างก่อนเกษียณไม่กี่วัน โดยเมื่อ 26 กันยายน 2562 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ. ป.ป.ช.) เพื่อขอให้สอบข้อเท็จจริงกรณีสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีการเบิกจ่ายงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปโดยมิชอบหรือไม่ และทำการสอบหาข้อเท็จจริงว่ากรณีดังกล่าวจะเข้าข่ายเป็นการร่วมกันฟอกเงินหรือไม่
นายเรืองไกรกล่าวว่า เนื่องจากมีกรณีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยกับพวกรวม 8 คน เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.197/2561 ในฐานความผิดร่วมกันฟอกเงินต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 ซึ่งเป็นการฟ้องร้องโดยรวมเอางบประมาณ 2 โครงการ คือ งบประมาณอุดหนุนโครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา ประจำปีงบประมาณ 2559 จำนวนเงิน 32,200,000 บาท ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รวมเป็นคดีเดียวกัน โดยอ้างเหตุแห่งการฟ้องไว้ส่วนหนึ่งว่าการดำเนินการจัดสรรและโอนเงินงบประมาณดังกล่าวไม่ชอบด้วยวัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ของวิธีการงบประมาณและการเบิกจ่ายงบประมาณที่กำหนด
ตนจึงเรียนมาเพื่อขอให้ กมธ.ป.ป.ช.ดำเนินการสอบหาข้อเท็จจริงต่อกรณีดังกล่าว รวมทั้งขอให้สอบหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำคำของบประมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาตามที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 90 (22) โดยเร็ว
จ้องเล่นงานพงศ์พร
แหล่งข่าวทางการเมืองกล่าวว่า คดีที่นายเรืองไกรยื่นเรื่องให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สอบนั้น เป็นเอกสารชุดเดียวกับที่นายนิยม เวชกามา ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งคำถามในลักษณะนี้ไว้ในสภาผู้แทนราษฎร แล้วมีการนำมาขยายผลต่อ
เนื้อหาของเอกสารเป็นเรื่องสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้การสนับสนุนงบในโครงการทางด้านพระพุทธศาสนาของสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่อยู่ระหว่างปี 2554-2557
เขากำลังจะชี้ให้เห็นว่า กรณีนี้เป็นการให้เงินสนับสนุนข้ามหน่วยงานเหตุใดจึงทำได้ เพื่อจะนำมาโยงกับกรณีเงินทอนวัดของพระผู้ใหญ่ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ เป้าหลักมุ่งไปที่พันตำรวจโทพงศ์พรว่าการร้องทุกข์กล่าวโทษคดีเงินทอนวัดนั้นมีความไม่ชอบมาพากล คงเป็นการเอาคืนของฝ่ายที่เสียประโยชน์จากการทำงานของอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาคนล่าสุด เพราะตั้งแต่เข้ามารับหน้าที่เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในวงการสงฆ์
ศิษย์ธรรมกายไม่ปลื้ม
พันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2560 ถึง 4 กันยายน พ.ศ. 2560 และกลับเข้ามาในตำแหน่งเดิมอีกครั้งเมื่อ 1 ตุลาคม 2560 ถึง 30 กันยายน 2562 และนายวิษณุ เครืองาม กล่าวชัดเจนแล้วว่าไม่มีการต่ออายุราชการออกไป
แม้จะเข้ามาหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ใช้มาตรา 44 กับวัดพระธรรมกาย แต่ขั้นตอนหลายอย่างก็ต้องเกี่ยวพันกับวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะเรื่องการดำเนินคดีในทางสงฆ์ ต้องประสานงานกับเจ้าคณะใหญ่หนกลางในฐานะผู้ปกครอง จนถึงเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี แต่ก็ทำได้แค่กรอบในทางกฎหมายเท่านั้น เนื่องจากวงการสงฆ์มีคณะสงฆ์ปกครองกันเอง
จากนั้นพันตำรวจโทพงศ์พรก็ตกเป็นเป้าความไม่พอใจของศิษย์วัดพระธรรมกายมาโดยตลอด แต่กรณีวัดพระธรรมกายทางสำนักงานพุทธฯ ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วหากไม่มีการเปลี่ยนตัวผอ.สำนักพุทธ หากใช้คนเดิมคือนายพนม ศรศิลป์ การเร่งรัดงานต่าง ๆ คงไม่ได้ผลนัก รัฐบาล คสช.ก็รู้ดีว่าคนเก่านั้นแนบแน่นกับธรรมกายแค่ไหน
พระผู้ใหญ่คว่ำบาตร
การเปลี่ยนแปลงในวงการสงฆ์เกิดขึ้นก่อนที่พันตำรวจโทพงศ์พรจะเข้ามารับตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธ เนื่องจากที่ผ่านมาวงการนี้มีฝ่ายที่กุมอำนาจมาอย่างยาวนาน ปัญหาใหญ่ของพระสงฆ์และวัดต่างๆ จึงไม่ได้รับการแก้ไขในทางที่ควรจะเป็น ประมุขสูงสุดของสงฆ์คือตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ฝ่ายกุมอำนาจก็จับจองกันมา เมื่อทำท่าจะไม่ได้ก็มีขบวนการปลุกม็อบพระขึ้นมาแสดงพลังที่พุทธมณฑล
ปมที่เป็นจุดที่อดีตผอ.สำนักพุทธรายนี้ถูกถล่มมากที่สุด คือเรื่องการจัดระเบียบการเงินของวัด ที่ผ่านมาสำนักพุทธ กุมเงินงบประมาณเบิกจ่ายได้เอง ทำให้เกิดปัญหาเรื่องเงินทอนวัด ส่งผลให้อดีต ผอ.สำนักพุทธ 2 คนก่อนถูกดำเนินคดีคือนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์และนายพนม ศรศิลป์
การตรวจสอบไปยังวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะวัดดังระดับที่มีพระชั้นสมเด็จเป็นเจ้าอาวาส หรือพระที่เป็นกรรมการในมหาเถรสมาคม สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมาก มีการประกาศคว่ำบาตรพงศ์พร จนเกิดแรงกดดันจากพระผู้ใหญ่ไปยังลูกศิษย์ที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล ส่งผลให้พงศ์พรถูกคำสั่งย้ายเมื่อ 4 กันยายน 2560 ซึ่งมีคำสั่งให้ลงไปดูแลงานในจังหวัดชายแดน แต่สุดท้ายก็ได้กลับมารับตำแหน่งเดิมอีกครั้งในวันที่ 1 ตุลาคม 2560
แตะคลังสมบัติพระเถระ
จนมาถึงเหตุการณ์เมื่อ 24 พฤษภาคม 2561 ตำรวจกองปราบปรามเข้าจับกุมพระชั้นพรหม กรรมการมหาเถรสมาคม 3 รูป ประกอบด้วย พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ และพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์(หลบหนีไปประเทศเยอรมัน)
บทบาทของพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมเงียบลงทันตา แต่ยังมีแรงกระเพื่อมจากลูกศิษย์สายพระผู้ใหญ่มาโดยตลอดทั้งเรื่องแจ้งความดำเนินคดีกับพงศ์พร รวมถึงกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในขบวนการทำลายศาสนา
นอกจากนี้ทางสำนักพุทธ ยังมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการขอเงินงบประมาณบูรณะปฏิสังขรวัด จากเดิมที่ส่งเรื่องผ่านมหาเถรสมาคม แล้วส่งต่อมาที่สำนักพุทธก็จะได้รับการอนุมัติงบประมาณกลับไปทันที แต่ระเบียบใหม่วัดที่ต้องการงบส่งเรื่องมาที่มหาเถรสมาคม เรื่องส่งมาที่สำนักพุทธจากนั้นสำนักพุทธส่งต่อไปที่สำนักงบประมาณเพื่อพิจารณา เท่ากับสถานะของสำนักพุทธในวันนี้ไม่มีงบประมาณในมือ ทุกอย่างต้องให้สำนักงบประมาณเป็นผู้อนุมัติ
แน่นอนว่าวิธีการนี้ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับวัดที่ต้องการของบประมาณที่อาจได้เงินไปบูรณะวัดล่าช้าออกไป รวมถึงพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมเองที่อำนาจของตนเองลดน้อยลงไป ไม่สามารถสั่งการกับสำนักพุทธได้เหมือนก่อน
ศิษย์วัดในสภาฯ เปิดฉาก
เมื่อสภาพการเมืองเข้าสู่การเลือกตั้งได้รัฐบาลผสมพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ ในจำนวนนี้มีพรรคประชาภิวัฒน์นำโดยนายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ศิษย์วัดพระธรรมกายเข้าร่วมรัฐบาลด้วย และได้สอบถามในเรื่องของการดำเนินคดีกับพระผู้ใหญ่ที่ควรได้สิทธิประกันตัว จากนั้นได้ลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อถูกสื่อขุดคุ้ยจึงถูกโยกไปเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม
ขณะที่พรรคเพื่อไทยที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับวัดพระธรรมกายและพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมได้เป็นฝ่ายค้าน หัวหอกงานด้านศาสนาเป็นหน้าที่ของนายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร เข้ามาทำหน้าที่แทนทั้งเรื่องเงินทอนวัดและเรื่องของการใช้งบประมาณของสำนักพุทธกับหน่วยงานอื่น
จนมาถึงการต่อยอดจากนายเรืองไกรที่นำเรื่องนี้มาสานต่อผ่าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ เพื่อจัดการกับพงศ์พรที่เพิ่งเกษียณอายุราชการ รวมถึงยังมีกลุ่มสนับสนุนพระผู้ใหญ่ที่เคลื่อนไหวในนามองค์กรพุทธต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวสอดรับกัน
แค้นแตะผลประโยชน์
กลุ่มที่เสียผลประโยชน์ย่อมต้องกล่าวถึงสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่อดีตผอ.สำนักพุทธคนล่าสุดทำไว้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว สิ่งที่พงศ์พรทำนั่นคือการล้างระบบพรรคพวกในวงการสงฆ์ ที่กระทำผ่านมหาเถรสมาคมมาเป็นเวลานาน ที่ผ่านมาวัดในสังกัดของพระผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยมักจะได้รับการอนุมัติงบอย่างรวดเร็ว ผิดกับวัดนอกสังกัดที่ต้องขอรับบริจาคจากญาติโยมเอง
แม้กระทั่งเรื่องของตำแหน่งของพระชั้นปกครอง การเลื่อนชั้นสมณะศักดิ์ต่าง ๆ หรือการส่งพระในสังกัดเข้าไปเป็นเจ้าอาวาสวัดดังที่คนนิยมเป็นทำบุญเยอะ ทั้งหมดอยู่ในอำนาจของมหาเถรสมาคมทั้งสิ้น
ทั้งหมดทำให้เกิดข้อครหาต่าง ๆ ในวงการสงฆ์มากมาย แต่ไม่มีการแก้ไขเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจังและเมื่อพงศ์พรเข้ามาแตะผลประโยชน์ตรงนี้ จึงทำให้เกิดแรงต้านมากมายจากพระผู้ใหญ่และลูกศิษย์ และเมื่อเขาพ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักพุทธไปแล้ว สิ่งที่จะตามมาคือการเช็กบิล