ชัยชนะของ 'กลุ่มซีพี' ในโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน ถึงวันนี้มีสิทธิ์ล้มเหลวได้! เมื่อเจอสารพันปัญหาที่ ร.ฟ.ท.ยังไม่สามารถจัดการได้ โดยเฉพาะการส่งมอบที่ดิน ทั้งที่มีอยู่แล้วและต้องเวนคืนใหม่ 'พญาไท-ฉะเชิงเทรา-อู่ตะเภา' ส่วนบริเวณท่อส่งน้ำประปาขนาดใหญ่-ตอม่อโฮปเวลล์ ต้องรอไปก่อน หากรถไฟพร้อมส่งมอบ จะเข้าสู่การก่อสร้างสุดโหดในพื้นที่จำกัดและรถไฟวิ่งตลอดวัน
ดูเหมือนว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (กลุ่มCPH) ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลจะสามารถเดินหน้าได้แล้วหลังจากที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ร่วมลงทุนในวงเงิน 149,650 ล้านบาท โดย ร.ฟ.ท.จะชำระที่รัฐร่วมลงทุนให้กลุ่มซีพี ด้วยการแบ่งจ่ายเป็นรายปีไม่เกิน 14,965ล้านบาท เป็นเวลา 10 ปี หลังจากเริ่มการให้บริการโครงการเกี่ยวกับรถไฟตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่กำหนดในสัญญาร่วมลงทุน ซึ่งโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุน 224,500 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ร.ฟ.ท.ก็เตรียมลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกับกลุ่มซีพีไว้เช่นกัน เพียงแต่ว่าก่อนที่จะมีการลงนามในสัญญาทั้ง ร.ฟ.ท.และกลุ่มซีพี ต้องเห็นชอบและยอมรับในแผนงานที่จะมีการส่งมอบตามเงื่อนไขของสัญญาด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย การเซ็นสัญญาร่วมลงทุนจึงจะเกิดขึ้นได้
ในความเป็นจริงอุปสรรคสำคัญที่จะทำให้โครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3สนามบินต้องสะดุด หรือล่าช้าออกไปนั้น แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่าปัญหาสำคัญที่สุดอยู่ที่ ร.ฟ.ท.จะสามารถส่งมอบที่ดินที่จะใช้ในการก่อสร้างเส้นทางไฮสปีดเทรนตลอดสายให้กับกลุ่มซีพีได้หรือไม่? และเมื่อใด? เพราะหากไม่สามารถได้มาซึ่งที่ดินก็ไม่สามารถเข้าไปสำรวจ ออกแบบและลงมือก่อสร้างได้
โดยเฉพาะเส้นทางในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ รวมไปถึงพื้นที่ที่จะใช้ในการพัฒนาเชิงพาณิชย์ เช่นที่บริเวณมักกะสัน 150 ไร่ ที่บรรดานักพัฒนาที่ดินต่างมองว่าเป็นพื้นที่ทำเลทองใจกลางเมือง ที่มีราคาซื้อขายสูงถึงตารางวาละ 1.5 ล้านบาท และหากพัฒนาเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ จะมีราคาต่อตารางเมตรละ120,000-150,000 บาท ซึ่งตามเงื่อนไขต้องมีพื้นที่อาคารรวม 850,000 ตร.ม.ในพื้นที่มักกะสัน และหากพัฒนาได้มากกว่า 850,000 ตร.ม.ก็ยิ่งสร้างมูลค่าให้ผู้ลงทุนได้มากขึ้น
“เรื่องแผนการส่งมอบที่ดิน รถไฟกับซีพีมีการคุยกันมากว่า 2-3 เดือน ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ยังไม่มีแผนส่งมอบที่ดินชัดเจน ว่าแต่ละจุดแต่ละพื้นที่จะส่งมอบกันอย่างไร เมื่อใด แต่ต้องเข้าใจสภาพของที่ดินรถไฟ จะเป็นแนวยาวขนานไปกับราง ที่มีการกั้นเขตไว้ ส่วนที่ดินแปลงใหญ่จะมีเฉพาะช่วงที่เป็นสถานี บางทีเขตรางที่มีความกว้างมากๆ ชาวบ้านก็มักจะบุกรุก เวลาขับไล่ก็ยากเหมือนกัน”
แต่ที่ดินที่กำลังเป็นปัญหาในการออกแบบและลงมือก่อสร้างของกลุ่มซีพี ที่จะต้องมีความชัดเจนตั้งแต่สถานีพญาไท ที่จะมีการก่อสร้างไปยังสถานีจิตรลดา และต่อไปถึงดอนเมืองนั้นมีความสำคัญและเป็นความยากลำบากในการที่ผู้รับเหมาจะเข้าไปทำการก่อสร้างโดยแนวเส้นทางจากสถานีพญาไท จะต้องมีการเวนคืนที่ดินแต่จะไม่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน โดยจะไปใช้ที่ดินของกรมทางหลวง ซึ่งที่ดินตรงนี้อยู่ติดกับพิพิทธภัณฑ์กรมทางหลวงและบางส่วนที่หน่วยงานกรมทางหลวงใช้อยู่
“ตรงนี้น่าจะต้องเวนคืนพอสมควร เพราะเป็นช่วงของวงเลี้ยวของรถไฟไฮสปีดเทรนต้องใช้วงกว้าง ซึ่งจะหักเข้าเขตทางรถไฟไปยังสถานีจิตรลดา เพื่อไปเชื่อมต่อสายสีแดง Missing Link แต่ทาง ร.ฟ.ท.ก็ยังไม่ได้เจรจาขอใช้พื้นที่จากกรมทางหลวง”
แหล่งข่าวบอกว่า ช่วงตรงนี้มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ถือเป็นจุดที่แวดวงก่อสร้างถือว่าโหดที่สุด เพราะบริเวณตรงนี้ตามแผนจะมีการก่อสร้าง จะเป็นการใช้พื้นที่ด้วยกันของรถไฟ 3 ระบบ คือรถไฟสายสีแดง Missing Link, ไฮสปีดเทรน เชื่อม 3 สนามบิน และรถไฟของ ร.ฟ.ท.(Middle Gate) ซึ่งระบบรางและที่ดินที่มีอยู่ปัจจุบันของ ร.ฟ.ท.จะมีเส้นสายเหนือ อีสาน และสายตะวันออกที่วิ่งเข้าหัวลำโพง แต่จะไม่มีจากสายตะวันออกวิ่งไปยังดอนเมือง จึงจำเป็นต้องเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ในการก่อสร้าง
“กลุ่มซีพีต้องสร้างเป็นอุโมงค์ตรงสถานีจิตรลดา ผนังด้านบนจะมีการก่อสร้างเป็นถนน สายสีแดงจะวิ่งแบบคลองแห้ง (Open Trench and Cut & Cover Tunnel) วงเงินประมาณ 3 พันกว่าล้านบาท”
ส่วนในการก่อสร้างนั้นเชื่อว่าเป็นจุดที่ทำงานยากและต้องมีการบริหารจัดการที่ดี เนื่องเพราะเดิมร.ฟ.ท.จะย้ายไปอยู่ที่สถานีกลางบางซื่อ และที่หัวลำโพงจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ส่งผลให้การเข้าออกของขบวนรถไฟที่จะเข้า-ออกหัวลำโพงจะมีน้อยหรือไม่มีเลย แต่เมื่อ ร.ฟ.ท.ยังไม่สามารถย้ายไปที่สถานีกลางบางซื่อได้ ทำให้ขบวนรถไฟที่จะเข้า-ออกหัวลำโพงยังคงมีจำนวนมากเหมือนเดิม อีกทั้งการก่อสร้างตรงนี้มีพื้นที่ในการทำงานน้อยมาก และต้องขุดเจาะเป็นอุโมงค์ ท่ามกลางรถไฟวิ่งตลอด จึงเป็นเรื่องของการบริหารจัดการงานก่อสร้างล้วนๆ
“ทีมวิศวกรที่ปรึกษา มีการประเมินการทำงานออกมาแล้วว่าจากพญาไทถึงดอนเมืองเพียง 20 กม.จะใช้เวลาในการทำงานก่อสร้าง เท่ากับจากสถานีพญาไทถึงอู่ตะเภา ระยะทาง 200 กม.”
แหล่งข่าวบอกอีกว่า ในพื้นที่ 20 กม.ช่วงในเมืองที่ ร.ฟ.ท.ก็เร่งดำเนินการเพื่อจะทำแผนส่งมอบให้ซีพี ตั้งแต่สถานีบางซื่อไปจนถึงดอนเมืองนั้น จากข้อมูลในการส่งมอบพื้นที่ให้รถไฟสายสีแดง ก็พอจะมีข้อมูลชัดว่า บริเวณนั้นมีเสาตอม่อที่เป็นของโครงการโฮปเวลล์เดิมเท่าไหร่ ที่ยังไม่ได้มีการรื้อทิ้งหรือตัดเสาที่โผล่ส่วนบนออกไป
“เบื้องต้นมีการประมาณการว่ามีอยู่ 60 คู่ และต้นหนึ่งจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 4-5 แสน ซึ่งรถไฟเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรื้อย้ายหรือทุบทิ้ง เรื่องนี้รถไฟต้องไปตั้งงบในการเตรียมพื้นที่ Clearing and Grubbing เพราะเอกชนเขาก็ต้องการให้รถไฟเคลียร์โล่งๆ ให้ จากนั้นจึงส่งมอบที่ดินให้เอกชนเข้าไปดำเนินการ”
อย่างไรก็ดี เส้นทางจากบริเวณบางซื่อถึงดอนเมืองนั้น แม้ว่าในชั้นใต้ดินจะมีฐานรากแผ่ขยายเต็มพื้นที่ ซึ่งเป็นผลจากการก่อสร้างโครงการโฮปเวลล์ และ ร.ฟ.ท.จะดำเนินการทุบทิ้งเฉพาะส่วนบนก็ตาม แต่จะไม่เป็นอุปสรรคในการออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างไฮสปีดเทรนเชื่อม 3สนามบินแน่นอน
“ในทางวิศวกรรมสามารถออกแบบหลบตอม่อ และทำการก่อสร้างได้ เพราะส่วนฐานรากที่อยู่ใต้ดิน ไม่สามารถจะไปขุดออกมาได้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ก็ใช้วิธีการหลบและขยับช่วงเสา (Span) แทน”
ว่ากันว่ายังมีอีกจุดที่กลุ่มซีพีได้หารือไปยัง ร.ฟ.ท. ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ ร.ฟ.ท.จะต้องไปสำรวจบริเวณที่จะส่งมอบที่ดินเพื่อทำการก่อสร้างช่วงประมาณสะพานพระราม ๖ ได้มีท่อส่งน้ำประปาขนาดใหญ่อยู่ในพื้นที่ว่าจะดำเนินการอย่างไร
ขณะเดียวกัน ร.ฟ.ท.จะต้องรีบดำเนินการเวนคืนที่ดินใหม่อีก 2 บริเวณคือที่ฉะเชิงเทรา ที่จะใช้ในการก่อสร้างทั้งส่วนที่เป็นโครงสร้างระบบรางและสถานี รวมไปถึงบริเวณทางเข้าเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ
“ที่ดินมักกะสัน รถไฟจะส่งมอบได้ช่วงแรก ประมาณ120 ไร่ และอีก 20 กว่าไร่ บริเวณพวงราง ยังไม่มีแผนชัดเจนว่าจะย้ายอย่างไร และย้ายไปไหน หากต้องย้ายโรงซ่อมรถไฟตรงมักกะสันจะมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งรถไฟก็พยายามจะย้ายให้เสร็จใน3ปีหลังเซ็นสัญญา”
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในส่วนของการปรับปรุงและพัฒนาเส้นทางแอร์พอร์ตลิงก์เดิมจากสุวรรณภูมิ ถึงพญาไท ทั้งในส่วนการพัฒนาเชิงกายภาพตรงบริเวณทุกสถานี ระบบอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงการปรับปรุงอาณัติสัญญาณการเดินรถว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างนั้น ก็ยังไม่มีแผนชัดเจน ซึ่งประเด็นนี้ทางกลุ่มซีพี จะต้องไปดำเนินการติดต่อบริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรล ลิงก์ เพื่อขอเข้าไปสำรวจสิ่งที่มีอยู่แล้วเพื่อกำหนดเป็นแผนว่าจะต้องเข้าปรับปรุงอย่างไรบ้าง
“เชื่อว่าเอกชนต้องให้รถไฟเคลียร์เรื่องที่ดินให้พร้อม ว่าที่ดินส่วนไหนจะส่งมอบได้เมื่อไหร่ หลังจากรื้อย้ายอุปสรรคต่างๆ หรือเวนคืนที่ดินมาแล้ว กลุ่มซีพีก็ต้องพิจารณาว่าจะรับแผนนี้ของรถไฟได้หรือไม่ เพราะทุกช่วงของการส่งมอบที่ดินจะมีผลต่อต้นทุนและเวลาในการสร้างแล้วเสร็จ เพราะหากไม่เป็นไปตามแผนการส่งมอบที่ดิน กลุ่มซีพีมีโอกาสเจ็บตัวหรือล้มเหลวในโครงการนี้ได้” แหล่งข่าวจากระทรวงคมนาคม ย้ำ
ดังนั้น โครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน จึงเป็นโครงการที่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เฝ้าติดตามดูว่า “ซีพี' ผู้เชี่ยวชาญด้านค้าปลีก จะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคที่มองเห็นอยู่ได้หรือไม่ ทั้งในเรื่องการส่งมอบที่ดินเพื่อการก่อสร้างและพัฒนา ยังรวมถึงผู้ที่จะมาใช้บริการรถไฟไฮสปีดเทรนและกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์จะมีจริงหรือไม่?...ต้องติดตาม !