วงในฟันธงไม่ว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นใคร ‘จุรินทร์-กรณ์-อภิรักษ์-พีระพันธุ์” ก็จะร่วมรัฐบาล พปชร. หนุนบิ๊กตู่เป็นนายกฯ แต่มีเงื่อนไข 2 ประเด็นตั้งเป้าช่วยเหลือเกษตรกรให้มีความมั่นคงและมุ่งพัฒนายกระดับการศึกษาและคุณภาพชีวิตคนไทย ระบุหากไม่เป็นไปตามเป้าจะเกิดการ 'พลิกขั้ว’ ทันที ชี้การเลือก หน.ปชป.15 พ.ค.นี้ ‘อภิสิทธิ์’ คุมเสียงได้ ประกาศเทคะแนนให้ใครคนนั้นชนะ พร้อมจับตา ‘มาร์ค’ ยังคุมการบริหารพรรคได้ผ่านหัวหน้า-เลขาฯ ล้วนเป็นคนรู้ใจ!
การเมืองจากนี้ไปจะเข้าสู่โหมดการจับมือตั้งรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และมีพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมาก ซึ่งวันนี้คาดการณ์กันว่าสูตรจัดตั้งรัฐบาลที่มีความเป็นไปได้ก็คือมีพรรคพลังประชารัฐ 115 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 52 เสียง พรรคภูมิใจไทย 51เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรครวมพลังประชาชาติไทย 5 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคพลังท้องถิ่นไท 3 เสียง พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 เสียง พรรคเล็กๆ อีก 13 เสียง รวม 254 เสียง
นั่นคือตัวเลขที่มีการพูดคุยระหว่างแกนนำต่างๆ เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นจริงโดยเร็วที่สุด!
แต่ในความเป็นจริง แกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ยังมีความกังวลว่าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมี 52 เสียง แถมยังเก๋าเกมทางการเมืองจะร่วมหอลงโรงจริงหรือไม่? แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นเรื่องของแกนนำใน ปชป.ดำเนินการตามวัฒนธรรมองค์กรและขั้นตอนต่างๆ ในการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในวันที่ 15 พฤษภาคมที่จะถึงก่อน และถึงวันนั้นก็จะมีมติชัดเจนว่าจะร่วมรัฐบาลบิ๊กตู่ อย่างไร
เพราะหาก ปชป.ไม่เอาด้วย! ไม่ใช่แค่ 52 เสียงจะหายไป แต่จะกลายเป็นว่า ไปเต็มเติมให้กับทีมฝ่ายค้าน ซึ่งแม้ว่า ปชป.จะประกาศเป็นฝ่ายค้านอิสระ ไม่ได้ทำงานร่วมกับขั้วเพื่อไทยก็ตาม
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวจาก ปชป.ยืนยันว่า ถึงวันนี้แคนดิเดตหัวหน้าพรรคทั้ง 4 คนไม่ว่าจะเป็นนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรค นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน หรือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคก็ตาม
แต่คาดว่าจะมีคำตอบเดียวกันคือ ปชป.จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐที่มีบิ๊กตู่ เป็นายกรัฐมนตรีแน่นอน
ว่ากันว่าเงื่อนไขสำคัญที่ ปชป.ต้องการก็คือ รัฐบาล พปชร.จะต้องมี 2 นโยบายของพรรคใช้เป็นนโยบายในการบริหารประเทศ ซึ่ง 2 นโยบายก็คือ
1. นโยบายประกันรายได้เกษตรกรซึ่งเป็นการประกันพืชผลเกษตร คาดว่าจะใช้งบประมาณ 1แสนล้านบาทเพื่อให้เกษตรกรที่มีอาชีพสวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นต้น มีหลักประกันในอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้ที่มั่นคงได้ด้วย
“เป็นนโยบายหลักของพรรค เพราะพรรครู้ว่าเกษตรกรเดือดร้อนมาตลอด เรื่องนี้นายชวน และแกนนำรู้ดี มีการเก็บตัวเลขไว้ทั่วประเทศ และก็เคยนำเสนอรัฐบาลบิ๊กตู่ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว พรรคจึงต้องการเข้ามาแก้ปัญหาให้เกษตรกร”
2. นโยบายด้านการศึกษา เป็นประเด็นที่ ปชป.ให้ความสำคัญมากตามที่พรรคได้หาเสียงไว้ “ยกเครื่องการศึกษา ยกระดับคุณภาพเด็กไทย ขจัดความเหลื่อมล้ำ” จะต้องถูกบรรจุเป็นนโยบายรัฐบาลด้วยเช่นกัน
strong>“ต้องช่วยกันพัฒนาให้เด็กไทยมีสุขภาพแข็งแรง มีคุณภาพ เด็กทุกคนพูดอังกฤษได้ด้วย English for All จัดให้เรียนฟรีถึง ปวส.จบแล้วมีงานทำ และมีการจัดตั้งกองทุน Smart Education เพื่อสนับสนุน Social Enterprise และStartup และใช้เทคโนโลยี Education Technology เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ”
ทั้ง 2 ประเด็นจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้!
แหล่งข่าวระบุว่า เมื่อเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่ 2 นโยบายดังกล่าวที่พรรคได้คัดเลือกจาก10กว่านโยบายสำคัญๆ ที่พรรคใช้หาเสียงจึงเป็นเรื่องง่ายที่พรรคจะตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล หากพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นแกนนำดำเนินการตามเงื่อนไข เพราะสิ่งนี้จะเป็นคำตอบที่ ปชป.จะไปตอบโจทย์ชาวบ้านได้ด้วย ซึ่งเวลาผ่านมากว่า1เดือนหลังเลือกตั้ง สมาชิกและแกนนำก็ได้ไปพบปะประชาชนทุกภาคก็จะมีคำถามตามมาว่า
“ถ้า ปชป.ไม่ไปร่วมรัฐบาล จะช่วยชาวบ้านได้หรือ บรรดา ส.ส.และแกนนำก็เริ่มเปลี่ยนใจจากที่ยืนยันไม่ร่วมก็เห็นควรร่วมรัฐบาล แต่ต้องมีเงื่อนไขให้เราได้ทำงานตามนโยบายด้วย”
ตรงนี้คือแรงกดดันจากชาวบ้านที่ทำให้พรรคตัดสินใจร่วมรัฐบาล !
แต่ถ้าเงื่อนไขดังกล่าวไม่ได้รับการตอบรับก็จะเกิดการพลิกล็อกปฏิเสธการเข้าร่วมรัฐบาลได้เช่นกัน เพราะในความเห็นของพรรค นโยบายมีความสำคัญมากกว่าเก้าอี้รัฐมนตรี
ดังนั้นเมื่อใครมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ใช่เหตุผลสำคัญในการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ แต่จะมีผลต่อการขับเคลื่อนพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคตต่อไป
แหล่งข่าวบอกอีกว่า ในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่และกรรมการบริหารพรรคนั้นถึงวันนี้ทั้ง 4คนมีจุดอ่อน จุดแข็ง ที่แตกต่างกัน ซึ่งVoter จะมีประมาณ 300 กว่าคะแนน แต่จะมีสัดส่วนในการคิดน้ำหนักที่ต่างกัน คือ ส.ส.เขต 33 คน และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 19 คน จะมีน้ำหนักโหวตที่ 70% ส่วนน้ำหนักโหวต 30% จะเป็นผู้อาวุโสที่ยึดกุมพรรคไว้ซึ่งเป็นอดีตกรรมการบริหาร หัวหน้าหน้า เลขาธิการพรรค อดีต ส.ส. ผู้บริหารท้องถิ่น สภาท้องถิ่นสาขาพรรค ตัวแทนจังหวัด ฯลฯ
“น้ำหนักในการแพ้ชนะคู่ชิงหัวหน้าพรรค จะอยู่ที่ 70% จาก ส.ส.ทั้ง 2 บัญชี ส่วน 30% เชื่อว่าทั้ง 4 คนก็น่าจะมีคะแนนแพ้ชนะไม่ห่างกันมาก”
สำคัญคะแนนที่อยู่ในมือของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. ที่คนในพรรคเชื่อว่าจะเป็นคะแนนชี้ขาดอยู่ประมาณ 12-15 คะแนน แต่มีน้ำหนักโหวต70% ซึ่งซ่อนอยู่ใน ส.ส.ทั้ง 2ระบบ และหากนายอภิสิทธิ์ ประกาศเทคะแนนตรงนี้ให้ใคร ก็แปลว่าคู่ชิงคนนั้นได้เป็นหัวหน้าพรรค คู่กับเลขาธิการพรรคที่เสนอกันมาแน่นอน
“เชื่อว่าคะแนนนายอภิสิทธิ์ จะเทให้กับจุรินทร์ หรือกรณ์ เท่านั้น และจะเลือกตัดสินใจเทให้ในนาทีสุดท้ายของการลงคะแนน ช่วงนี้เป็นการประเมินและเก็บข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์กับพรรคที่สุด”
อย่างไรก็ดี คู่ชิงทั้ง 4 คนมีจุดอ่อน จุดแข็งที่ต่างกัน!
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มีจุดแข็งที่เป็นคนที่นายชวน หลีกภัย และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ปั้นมากับมือ อยู่พรรค ปชป.มาตั้งแต่ปี 2529 ซึ่งนายชวน สามารถผลักดันให้นายจุรินทร์ลง ส.ส.ครั้งแรกในปีนั้น สมัยที่วีระ มุสิกพงศ์ (ปัจจุบันชื่อวีระกานต์) เป็นเลขาธิการพรรค ปชป. แม้จะมีกระแสคัดค้านก็ตาม
อีกทั้งยังผลักดันให้นายจุรินทร์ มานั่งเป็น รมช.พาณิชย์ และ รมช.เกษตรฯ รัฐบาลชวน 1 และเป็น รมว.สำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชวน 2ไปแล้ว นายจุรินทร์ มีความเก๋าเกมทางการเมือง เพราะมีประสบการณ์เป็น ส.ส.10 สมัย เป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง และเป็นประธานวิปหรือประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล และเป็นประธานวิปฝ่ายค้านมา 2 สมัยแต่มีจุดอ่อนที่คนใน
การได้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ซึ่งเคยเป็นเลขาธิการพรรคมาก่อน และก็มีความใกล้ชิดกับนายอภิสิทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค และช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ นายเฉลิมชัย ยังเป็น รมว.แรงงาน มีจิตใจกว้างขวางดูแลสมาชิกพรรคที่เรียกว่ามีกลุ่มตัวเองพอสมควร”
นายกรณ์ จาติกวณิช เพิ่งจะเข้าร่วมกับพรรค ปชป.เมื่อปี 2548 ทำงานใกล้ชิดกับนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีความรู้ความสามารถทางด้านเศรษฐกิจ และเป็นรองหัวหน้าคุมนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งตรงนี้กลายเป็นจุดอ่อนที่คนในพรรคได้ตั้งคำถามกับนายกรณ์ ถึงความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น กระทั่งนายอภิสิทธิ์ ได้ออกมาชี้แจงและเป็นผู้รับผิดชอบในความพ่ายแพ้ต่อหน้าสมาชิกพรรคเสียเอง
“คนภายนอกไม่รู้ความในใจของคนใน ปชป.ที่มีต่อนายกรณ์ โดยเฉพาะเวลามีปัญหาเกิดขึ้นจะหาตัวไม่เจอ จึงต้องการให้นายกรณ์เป็นหัวหน้าพรรค แต่การดึงนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ เพื่อนซี้นายอภิสิทธิ์ มาเป็นเลขาธิการได้ ทำให้คะแนนนายกรณ์ดีขึ้นในจุดที่เข้าไม่ถึง”
เนื่องเพราะนายชัยวุฒิ จะช่วยประสานคะแนนที่มาจากกลุ่ม กปปส. และบรรดา ส.ส.ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนในภาคเหนือและผู้ใหญ่บางคนได้เช่นกัน
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน มีจุดแข็งตรงเป็นคนทันสมัย รู้จักภาคธุรกิจเป็นอย่างดี และเป็นคนไม่ช้ำหรือไม่ถูกโจมตีภายในพรรคและเคยเป็นผู้ว่าฯ กทม.มาแล้ว แต่ก็มีจุดอ่อนตรงที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ในครั้งนี้ และเข้ามาอยู่พรรคปี 2550
ส่วนคนที่จะเป็นเลขาธิการพรรค ว่ากันว่ามีการพูดคุยระหว่างสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็น ส.ส.ตรังหลายสมัย กับ สาธิต ปิตุเตชะ ก็เชื่อว่าจะช่วยหาเสียงในส่วนของ ส.ส.ในระบบได้อย่างดี โดยเฉพาะสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ใกล้ชิดกับนายอภิสิทธิ์มาก เคยเป็นเลขานุการนายอภิสิทธ์ สมัยเป็น รมว.สำนักนายกฯ มาก่อน และถือเป็นกลุ่ม กปปส.ที่จะสามารถดึงคะแนนมาช่วยได้
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เพิ่งจะเปิดตัว แต่มีจุดแข็งตรงที่ว่าเวลาพรรคมีความขัดแย้งเกิดขึ้นจะมีสมาชิกพรรคเลือกไปปรับทุกข์กับนายพีระพันธุ์ ซึ่งคนในพรรครู้ดีว่าเขาเป็นคนชอบช่วยเหลือคน และช่วยเหลือเงียบๆ โดยไม่เปิดตัว แม้กระทั่ง ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย ก็ได้รับการช่วยเหลือโดยเฉพาะที่มีคดีความต่างๆ เนื่องจากนายพีระพันธุ์ เป็นอดีตผู้พิพากษาที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอยู่แล้ว และยังเคยเป็นอดีตรัฐมนตรียุติธรรมด้วย
แต่นายพีระพันธุ์มีจุดอ่อนที่คนในพรรคเชื่อว่าไม่สามารถดึงคะแนนจากนายอภิสิทธิ์มาได้ เพราะกินเกาเหลากัน โดยเฉพาะชอบตำหนินายอภิสิทธิ์อยู่บ่อยครั้ง
ตรงนี้กลับกลายเป็นจุดที่ Voter ให้ความสนใจในตัวนายพีระพันธุ์!
“พีระพันธุ์ไม่เป็นคนของใครเลย จึงไม่มีฐานเสียงทั้งของนายชวน นายอภิสิทธิ์ ส.ส.กลุ่มหนึ่งชอบ อยากให้เป็นทางเลือกใหม่ และยังประกาศไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรีใดๆ จะขอทำงานเพื่อพรรคเต็มที่ซึ่งถือว่าได้ใจคนในพรรค”
ไม่เท่านั้น นายพีระพันธุ์ เริ่มมีชื่อปล่อยออกมาว่าจะเป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคโดยได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยต้องเด็ดขาดกรณีนักการทูตเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศโดยการเข้ามาร่วมฟังการสอบสวนกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ สน.ปทุมวัน ซึ่งเป็นข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ส่วนคนที่จะมาเป็นเลขาธิการพรรคคู่กับหัวหน้าพีระพันธุ์ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดระหว่าง นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช 6 สมัย ที่น่าจะดึงคะแนนทางใต้ที่นครศรีธรรมราช 5 เสียง ที่สุราษฎร์ฯ 6 เสียง สงขลา 4 เสียง หรือ นายอิสสระ สมชัย หรือ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู (แม่เลี้ยงติ๊ก) จะได้ดึงคะแนนจากภาคเหนือมาสู้กับนายชัยวุฒิ โดยตรง
จากวันนี้ไปต้องจับตาดูว่า 15 เสียงที่นายอภิสิทธิ์ มีอยู่ในมือนั้นจะเทให้ใครระหว่างนายจุรินทร์ และนายกรณ์ เพราะหากใครได้เสียงตรงนี้ไปเชื่อได้เลยว่าได้เป็นหัวหน้าพรรคปชป.แน่นอน
ที่สำคัญไม่ว่าหัวหน้าพรรคจะเป็นใครก็ตาม ว่ากันว่าในที่สุด นายอภิสิทธิ์ จะควบคุมทิศทางการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ได้ เพราะเลขาธิการพรรคที่ปรากฏแต่ละคนล้วนเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับนายอภิสิทธิ์ทั้งสิ้น!!