xs
xsm
sm
md
lg

สนง.สถิติชี้ ป.ตรี ตกงานสูงสุด แจงถูกเบี้ยวค่าชดเชย ก.แรงงานช่วยได้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


กระทรวงแรงงาน เร่งแก้กฎหมาย เพิ่มสิทธิให้ลูกจ้าง ทำงานครบ 20 ปี รับค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างถึง 400 วัน คาดมีผลบังคับใช้ เม.ย.นี้ “รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน” ระบุ ตกงานก่อนใช้สิทธิวันหยุดพักผ่อน สามารถคิดค่าชดเลยได้ ชี้เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ให้ร้องเรียน-ฟ้องศาล เรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ส่วนกรณีปิดบริษัทเก่า โดยย้ายพนักงานไปบริษัทใหม่ นายจ้างต้องนับอายุงานต่อเนื่อง และคงสิทธิทุกอย่างตามเดิม เผย อาชีพสื่อตกงานมากสุด ตามด้วยบริษัทที่รับจ้างผลิตสินค้าจากจีน ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติ ชี้ คนไทยตกงาน 3.9 แสนคน ปริญญาตรีเยอะสุด

ปัญหาการว่างงานกำลังกลายเป็นประเด็นที่หลายคนหวั่นวิตก ยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้คงไม่มีใครอยากอยู่ในสถานะคนว่างงาน แต่ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บริษัทที่ทำงานอยู่ประสบปัญหา จำเป็นต้องมีการปรับลดพนักงานหรือปิดกิจการลง ลูกจ้างก็ควรรับรู้ถึงสิทธิที่ตนจะได้รับในกรณีถูกเลิกจ้าง
นายสมบูรณ์ ตรัยศิลานันท์ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน
นายสมบูรณ์ ตรัยศิลานันท์ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ชี้แจงถึงสิทธิในเรื่องดังกล่าวว่า หากลูกจ้างถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ไม่ว่าจะเกิดจากการปรับลดพนักงานเพื่อปรับโครงสร้างบริษัท หรือบริษัทปิดกิจการเพราะไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ ลูกจ้างก็มีสิทธิที่จะได้รับ “ค่าชดเชยถูกเลิกจ้าง” ตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด ไว้ในมาตรา 118 ดังนี้คือ
กรณีลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี จะได้รับเงินชดเชยเท่ากับอัตราจ้างสุดท้ายเป็นเวลา 30 วัน หรือเท่ากับได้ค่าชดเชย 1 เดือน
ถ้าทำงาน 1 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 3 ปี จะได้รับค่าชดเชย 90 วัน หรือ 3 เดือน
ถ้าทำงาน 3 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 6 ปี จะได้รับค่าชดเชย 180 วัน หรือ 6 เดือน
ถ้าทำงานตั้งแต่ 6 ปีขึนไป แต่ไม่ถึง 10 ปี จะได้ค่าชดเชย 240 วัน หรือ 8 เดือน
ถ้าทำงานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้ค่าชดเชย 300 วัน หรือ 10 เดือน
อย่างไรก็ดีกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญิติคุ้มครองแรงงาน เรื่องค่าชดเชย โดยเพิ่มให้อีกสเต็ปหนึ่ง คือหากทำงานตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จะได้ค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง เป็นเวลา 400 วัน หรือประมาณ 13 เดือนกว่า ซึ่งขณะนี้พระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)แล้ว โดยอยู่ระหว่างรอลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ เพื่อประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้หลังจากประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา 30 วัน
“คาดว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวน่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือนเมษายนนี้ แปลว่าลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างหลังกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ จะได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายใหม่ คือถ้าทำงาน 20 ปีขึ้นไปจะได้ค่าชดเชยถึง 400 วัน” รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ระบุ

นายสมบูรณ์ กล่าวต่อว่า หากเป็นกรณีที่นายจ้างบอกเลิกจ้างกระทันหัน นอกจากค่าชดเชยถูกเลิกจ้างแล้วลูกจ้างจะได้รับค่าชดเชยอีกส่วนหนึ่ง ที่เรียกกันว่า “ค่าตกใจ” โดยกฎหมายแรงงาน มาตรา 17 ระบุว่า นายจ้างต้องบอกเลิกจ้างก่อนที่จะถึงการจ่ายค่าจ้างงวดถัดไป โดยหลังจากแจ้งให้ลูกจ้างทราบแล้วลูกจ้างจะสามารถทำงานต่อจนถึงการจ่ายค่าจ้างงวดถัดไป หากไม่เป็นไปตามนี้นายจ้างต้องจ่ายค่าไม่บอกกล่าวล่วงหน้าหรือค่าตกใจ โดยลุกจ้างจะได้ค่าตกใจไม่น้อยกว่าค่าจ้าง 1 งวด ซึ่งแล้วแต่ลักษณะการจ่ายเงินของแต่ละบริษัท บางบริษัทอาจจ่ายค่าจ้างทุก 15 วัน บางริษัทจ่ายค่าจ้างทุก 1 เดือน
ทั้งนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์อีกตัวหนึ่งที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ แต่ลูกกจ้างส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ คือ “สิทธิวันหยุดพักผ่อนประจำปี” ซึ่งกรณีที่เลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิดและลูกจ้างยังมีวันหยุดประจำปีที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ กฎหมายกำหนดว่าใน 1 ปี ลูกจ้างจะได้วันหยุดพักผ่อนประจำปี 6 วัน ถ้าทำงานมาครึ่งปีลูกจ้างยังไม่ได้หยุดพักผ่อนประจำปีเลยและถูกเลิกจ้าง ลูกจ้างก็ยังมีวันหยุดตามสิทธิคือ 3 วัน หากถูกเลิกจ้างนายจ้างจะต้องจ่ายชดเชยค่าวันหยุดประจำปีเป็นเวลา 3 วันด้วย หรือหากบริษัทให้นำวันหยุดที่ไม่ใช้สิทธิมาสะสมในปีถัดไปได้ หากถูกเลิกจ้างก็จะนับรวมวันหยุดพักผ่อนที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิทั้งหมด เช่น ทำงานมาเกิน 1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี โดยถูกเลิกจ้างกลางปีที่ 2 โดยยังไม่ได้ใช้สิทธิวันหยุดพักผ่อนในปีนั้น ก็จะได้รับค่าชดเชย 3 เดือน กับอีก 3 วัน
รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ระบุว่า สิ่งสำคัญที่ลูกจ้างพึงตระหนักคือการรักษาสิทธิของตนเอง หากลูกจ้างถูกเลิกจ้างแล้วไม่ได้รับสิทธิหรือค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนดก็สามารถร้องเรียนได้ที่พนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัด โดยสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนได้ ณ จังหวัดที่ตนเองมีภูมิลำเนา หรือจังหวัดซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท โดยกฎหมายกำหนดให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่ในกรณีที่มความซับซ้อนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถวินิจฉัยให้เสร็จตามกำหนดก็สามารถขยายระยะเวลาได้อีก 30 วัน เบ็ดเสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ต้องมีคำสั่งออกมาภายใน 90 วัน แต่หากพนักงานตรวจแรงงานตัดสินโดยไม่เป็นธรรม ลูกจ้างก็สามารถยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานจังหวัดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

นอกจากนั้นในกรณีที่ลูกจ้าง “ถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม” เช่น ถูกกลั่นแกล้ง ถูกให้ออกโดยไม่มีความผิดโดยที่บริษัทไม่ได้ปิดกิจการ หรือมีการปรับลดพนักงานและถูกเลิกจ้างบางส่วน โดยลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างมองว่าถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ลูกจ้างก็สามารถร้องเรียนต่อพนักงานตรวจแรงงาน เพื่อให้ดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลแรงงานเพื่อเรียกค่าชดเชยอีกส่วนหนึ่งจากนายจ้างได้ หรือลูกจ้างจะดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานเองก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยสามารถดำเนินการฟ้องได้ทั้งฟ้องเดี่ยวและฟ้องเป็นกลุ่ม ซึ่งการดำเนินการฟ้องร้องดังกล่าวจะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ส่วนลูกจ้างจะได้ค่าชดเชยดังกล่าวหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ซึ่งบางกรณีอาจได้ตามที่เรียกร้อง บางกรณีได้น้อยกว่าที่เรียกร้อง หรือบางกรณีไม่ได้เลย
ขณะที่ในส่วนของนายจ้างหากเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็มีสิทธินำคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานไปยื่นอุทธรธ์ต่อศาลแรงงาน หรือกรณีที่เป็นคำตัดสินของศาล นายจ้างก็สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลได้ ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับคำสั่ง แต่ทั้งนี้จะต้องมีการวางเงินประกันเท่ากับจำนวนที่ศาลสั่งให้จ่าย ศาลจึงจะรับเรื่องอุทธรณ์ เช่น ศาลสั่งให้จ่ายชดเชยกรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้าง 10 คน เป็นเงินรวม 1 ล้านบาท นายจ้างก็ต้องวางเงินประกันจำนวน 1 ล้านบาท ศาลจึงจะรับอุทธรณ์
“ กรณีที่นายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด กระทั่งลูกจ้างต้องไปร้องเรียนหรือยื่นฟ้องต่อศาล นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชย พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตามระยะเวลาที่ค้างจ่าย” นายสมบูรณ์ กล่าว

รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแงงาน ระบุว่า ยังมีอีกกรณีหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อสิทธิของลูกจ้าง คือกรณีที่บริษัทมีปัญหาการเงินจึงปิดบริษัท แล้วตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา โดยโอนย้ายพนักงานทั้งหมดไปอยู่บริษัทใหม่ ซึ่งกรณีนี้กฎหมายกำหนดให้บริษัทใหม่นับอายุงานของพนักงานต่อเนื่องจากบริษัทเก่า พร้อมทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆเช่นเดียวกับบริษัทเก่า และหากบริษัทเก่ามีเงินที่ยังค้างจ่ายลูกจ้าง จะโอนเงินค้างจ่ายของบริษัทเก่าไปบริษัทใหม่ได้หรือไม่ก็ขึ้นกับความยินยอมของลูกจ้าง ถ้าลูกจ้างไม่ยอมก็ต้องจ่ายให้ครบก่อนโอนย้ายไปบริษัทใหม่ ขณะเดียวกันผู้บริหารบริษัทใหม่ก็ต้องยอมรับการโอนหนี้จากบริษัทเก่าด้วยเช่นกัน
“กฎหมายกำหนดว่าบริษัทใหม่ที่จะรับลูกจ้างไปจะต้องรับทั้งสิทธิและหน้าที่เดิมของพนักงานไปด้วย ดังนั้น ทั้งอายุงาน สิทธิการลาหยุดที่ยังไม่ได้ใช้ จะต้องนับต่อ จะไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ไม่ได้ ถ้านับหนึ่งใหม่จะถือว่าบริษัทเลิกจ้าง ไม่ใช่การโอนย้าย บริษัทก็ต้องจ่ายค่าชดเชยการเลิกจ้าง” นายสมบูรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ ปฏิเสธได้ว่าตั้งแต่ต้นปี 2562 ที่ผ่านมา มีการประกาศเลิกจ้างพนักงานในกิจการต่างๆเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและสร้างความวิตกให้แก่บรรดามนุษย์เงินเดือนอยู่ไม่น้อย โดย รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้ข้อมูลว่า จากฐานข้อมูลของกระทรวงแรงงานพบว่าปัจจุบันอัตราคนว่างงานของไทยอยุ่ที่ประมาณ 0.6% โดยกิจการที่เลิกจ้างส่วนใหญ่คือธุรกิจสื่อและประชาสัมพันธ์ เนื่องจากปัจจุบันคนหันไปให้ควาสำคัญกับสื่อออนไลน์ ส่งผลให้สื่อประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะสิ่งพิมพ์ได้รับความนิยมน้อยลง
รองลงมาคือธุรกิจผลิตเครื่องเรือนที่ผลิตจากไม้ยางพารา รวมถึงสินค้าอื่นๆที่ส่งออกไปยังประเทศจีน เนื่องจากขณะนี้จีนมีปัญหาทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา ทำให้ยอดสั่งสินค้าการส่งสินค้าจากอเมริกาและยุโรปลดลง ส่งผลให้จีนสั่งผลิตสินค้าจากไทยลดลงตามไปด้วย ส่วนสถาบันการเงินแม้จะมีการเลิกจ้างอยู่บ้างเนื่องจากคนหันไปใช้บริการการเงินอิเล็กทรอนิคกันมากขึ้น ทำให้สถาบันการเงินต้องปรับโครงสร้าง ลดจำนวนพนักงานหน้าเคาเตอร์ลง แต่ไม่ถึงขั้นปิดกิจการ และส่วนใหญ่พนักงานดังกล่าวมักถูกโอนย้ายไปแผนกอื่น ขณะที่คนที่ถูกเลิกจ้างก็ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย กลุ่มนี้จึงไม่มีปัญหามากนัก
ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า จากข้อมูลของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพบว่าตั้งแต่ต้นปี 2562 ที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน มีลูกจ้างที่มาร้องเรียนเรื่องการเลิกจ้างและจ่ายค่าชดเชยเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-25 ก.พ.2562 มีลูกจ้างมาร้องเรียนถึง 920 คน ขณะที่ตลอดทั้งปี 2561 มีลูกจ้างมาร้องเรียนแค่ 1,272 คนเท่านั้น
อย่างไรก็ดี จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติกลับพบว่า อัตราการว่างงานในเดือน ม.ค.2562 นั้นลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในเดือน ม.ค. 2561 มีอัตราการว่างงาน จำนวน 4.75 แสนคน ในขณะที่เดือน ม.ค. 2562 มีอัตราการว่างาน 3.9 แสนคน ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 8.5 หมื่นคน ส่วนอัตราการว่างงานเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 0.1% ของประชากรวัยแรงงาน โดยผู้มีกลุ่มที่ประสบปัญหาการว่างงานมากที่สุดคือกลุ่มที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี รองลงมาคืออนุปริญญา และผู้ที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งผู้ว่างงานส่วนใหญ่มาจากภาคการบริการ การค้า ภาคการผลิต และภาคเกษตรกรรม ซึ่งถือเป็นปํญหาที่รัฐบาลจะต้องวางแนวทางในการแก้ไขต่อไป
ขณะที่บรรดาลูกจ้างก็จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหาการว่างงานที่อาจส่งผลกระทบกับตนเองได้ทุกเมื่อเช่นกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น