จับตากระแสยุบพรรคเพื่อไทย และไทยรักษาชาติ กรณีฮั้วเลือกตั้งไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะการฮั้วจะต้องมีหลักฐานชัดเจน หรือมีมติพรรคสั่งให้ส่งผู้สมัครหรือไม่ส่งผู้สมัครในเขตใดบ้าง ด้านวงในกกต.บอกพรรคที่สุ่มเสี่ยงถูกยุบพรรคคือพลังประชารัฐและภูมิใจไทย ทั้งในเรื่องการแทรกแซงและการซื้อเสียง ขณะที่เพื่อไทย สั่งให้ผู้สมัครเลือกตั้งครั้งนี้ยึดภาพเป็นคนดี ไม่ซื้อเสียง แต่ให้ประกบและถ่ายคลิปฝ่ายตรงข้ามไว้เล่นงานหลังเลือกตั้ง ระบุหากยุบเพื่อไทยก่อน จะยิ่งทำให้ชาวบ้านสงสารเทคะแนนให้เพื่อไทย แต่ถ้ายุบหลังเลือกตั้ง จะสูญเปล่าเพราะ ส.ส.สามารถย้ายเข้าพรรคพันธมิตรได้ทันที
ดูเหมือนว่าความอ่อนไหวทางการเมืองในเวลานี้หนีไม่พ้นเรื่องของการยุบพรรค โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย และไทยรักษาชาติ (ทษช.) ที่แสดงความชัดเจนในการเป็นพรรคพี่พรรคน้องเดินหน้าเข้าสู่สนามเลือกตั้งเพื่อโค่นล้มอำนาจ คสช.ซึ่งมีพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้สืบทอดอำนาจหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 มีนาคมนี้
แต่ข่าวการยุบพรรคไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นหลังวันสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และปรากฏชื่อของผู้สมัคร ส.ส. กทม.จำนวน 30 เขต ของพรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติ ซึ่งเป็นผู้สมัครของเพื่อไทยจำนวน 22 คน และเป็นของไทยรักษาชาติ 8 คน โดยเขตใดที่พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัคร พรรคไทยรักษาชาติก็จะไม่ส่ง และเขตที่ไทยรักษาชาติส่ง พรรคเพื่อไทยก็จะไม่ส่ง
ประเด็นนี้จึงเป็นที่มาให้เกิดกระแสข่าวการยุบพรรคขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นผลมาจากข้อมูลเชิงประจักษ์ว่ามีการฮั้วกันของทั้ง 2 พรรค เนื่องเพราะผู้สมัครของพรรคไทยรักษาชาติ ก็เป็นสมาชิกของพรรคเพื่อไทยเดิมทั้งสิ้น
จะว่าไปแล้วกระแสการยุบพรรคเพื่อไทยมีมาอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่วันนี้มีสถานะเป็นนักโทษหนีคดีไปแล้ว ทั้งที่ร้านอาหารในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต่อเนื่องกันมาหลายครั้ง รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยป่าวประกาศให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยไม่หวั่นไหวต่อขบวนการใช้อำนาจรัฐและอำนาจเงินในการดูดอดีต ส.ส.ของพรรคที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญนายทักษิณก็น่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังยุทธศาสตร์แตกพรรคสาขาอย่างพรรคไทยรักษาชาติเพื่อรองรับกฎหมายการเลือกตั้งที่จะช่วยให้พรรคเพื่อไทยและพรรคพันธมิตร สามารถชนะการเลือกตั้ง แบบถล่มทลายตามที่เขาได้ลั่นวาจาไว้
“เพื่อไทยนั่งอยู่ในหัวใจของผู้คน เรารู้ว่าผู้คนต้องการอะไร มองหาอะไร หวังอะไร ซึ่งคนชั้นกลาง และชั้นล่างไม่มั่นใจในอนาคตของพวกเขา เพราะค่าครองชีพสูงขึ้น และวิธีการของเพื่อไทย คือทางออกของประเทศ เราอาจจะชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายแบบ อาวาแลนช์ (avalanche) หรือหิมะถล่มมากกว่า เพราะหิมะถล่มมีความรุนแรงมากกว่าแลนด์สไลด์ที่แปลว่าดินถล่ม” นี่คือคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร
อย่างไรก็ดี สิ่งที่นายทักษิณ ชินวัตร เคลื่อนไหวมาตลอดนั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้สั่งให้มีการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ว่าเข้าข่ายการครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่? เพื่อเก็บเป็นหลักฐานดำเนินการกับนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เมื่อถึงเวลาและหลักฐานพร้อมก็จะสามารถดำเนินการตามกฎหมายตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ที่ปล่อยให้ผู้อื่นซึ่งไม่ใช่สมาชิกเข้าครอบงำในกิจการของพรรค ตามมาตรา 28 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิก กระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมวนมาตรา 29 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม”
ดังนั้น การที่พรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติ เลือกใช้วิธีการส่งผู้สมัครแบบหลีกทางให้กัน ดังตัวอย่างการส่งผู้สมัครใน กทม.นั้นจึงเป็นเสมือนการล่อเป้าแบบมีนัยและเมื่อมีการประเมินสถานการณ์แล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติทั้งสิ้น
“มีการวิเคราะห์เชิงลึก และมีการหยิบกฎหมายการเลือกตั้งมาดูทุกขั้นทุกตอน เชื่อมั่นว่าฝ่ายผู้มีอำนาจไม่กล้าสั่งการให้ กกต.จัดการยุบพรรคเพื่อไทย เพราะถ้าเขาทำเช่นนั้น พรรคเพื่อไทยก็จะย้อนศรเสนอหลักฐานเพื่อยุบพรรคฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน ซึ่งไม่ว่าจะยุบเพื่อไทยก่อนเลือกตั้ง หรือหลังเลือกตั้ง ไม่ควรจะเกิดขึ้น”
แหล่งข่าวจาก กกต. บอกว่า กรณีการส่งผู้สมัครทั้งของพรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาตินั้น ที่มีกระแสข่าวว่าเป็นการฮั้วกัน และจะนำไปสู่การยุบพรรคนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากเพราะไม่ได้มีเหตุทางกฎหมายที่จะไปดำเนินการเช่นนั้น อีกทั้งกระบวนการยุบพรรคไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ จะต้องมีผู้ร้องขึ้นมา ซึ่งเมื่อ กกต.ได้รับเรื่องมาแล้ว ก็ต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน และเข้าสู่ที่ประชุม กกต. จากนั้นต้องส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตัดสินยุบพรรคต่อไป จึงต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการหลายเดือน โดยเหตุแห่งการยุบพรรคก็ต้องมาจากการทุจริต, การถูกครอบงำ
“จะครอบงำหรือไม่ครอบงำ ก็ต้องดูว่ามีการกระทำขนาดไหน ดูที่เจตนา จริงๆ 2 พรรคนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน แต่มีการแยกพรรค ก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ลงชนกัน เพราะถ้าลงชนกัน ก็จะดึงคะแนนทั้ง 2 ฝ่าย สมมตินาย ก.อยู่เพื่อไทย จะลงเขตหลักสี่ นาย ข.อยู่ไทยรักษาชาติ ก็จะลงเขตหลักสี่เช่นกัน นาย ก.ก็บอกหลีกให้เราเถอะ นาย ข.ก็เปลี่ยนไปลงเขตลาดพร้าวแทน แบบนี้เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ หลีกทางให้กัน ซึ่งเป็นสิทธิของแต่ละฝ่าย”
แหล่งข่าวจาก กกต. อธิบายต่อว่า วิธีการหลีกทางให้แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการฮั้วกัน การจะเรียกว่าเป็นการฮั้วกันและถึงขั้นเสนอให้มีการยุบพรรคได้นั้น จะต้องมีหลักฐานชัดเจนว่าผู้บริหารของพรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติได้มีการไปตกลงกัน หรือมีมติพรรคว่าให้พรรคนี้ส่งตรงนี้ ไม่ให้ส่งตรงนี้ แบบนี้ดำเนินการได้
“การฮั้วต้องมีการตกลงชัดเจน จากมติพรรค ว่าให้ส่งตรงนี้ ให้หลีกตรงนี้ หากมีหลักฐานชัดเจน อย่างนี้จัดการได้ง่าย หรือถ้าพรรคปล่อยให้มีการแทรงแซงจากคนภายนอกเพื่อให้หลีกทางก็ต้องดูว่ามีการแทรงแซงเกิดขึ้นหรือไม่ และมีหลักฐานอะไรที่จะไปดำเนินการได้”
ดังนั้นที่คาดว่าจะมีการเสนอให้ยุบพรรคก่อนการเลือกตั้ง ไม่สามารถกระทำได้ เพราะด้วยระยะเวลาเหลือเพียง 40 กว่าวันเท่านั้นก็จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้แล้ว แต่ก็มีข่าวเข้ามาเหมือนกันว่าจะมีผู้ที่จะร้องเรียนในเรื่องนี้หลังปิดรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งก็คือหลังวันที่ 8 กุมภาพันธ์ไปแล้ว เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม
ด้านแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย บอกว่า ถ้ามีการร้องเรียนพรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติจริง ก็จะเกิดผลดีต่อพรรคเพื่อไทย เพราะกระบวนการสอบสวนของ กกต.จะต้องยืดยาวไปจนเลือกตั้งเสร็จ และถ้ามีข่าวออกมาว่า กกต.รับเรื่องและมีการสอบสวนจะทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับความสนใจและทำให้เกิดคะแนนสงสารเทมาที่พรรคเพื่อไทย เพราะประชาชนจะรู้สึกว่าเพื่อไทยถูกรังแกอีกแล้ว
“ก็อยากให้มีคนร้องซึ่งเราเชื่อว่าคะแนนเสียงจะเพิ่มขึ้นทันที ไม่แน่ที่คาดไว้ 180อาจขึ้นถึง 240-250 ก็ได้ เพราะการปรับแผนเลือกตั้งครั้งนี้ได้เปลี่ยนจากเดิมจะต้องให้เพื่อไทย ชนะขาดลอยไม่ใช่รอคะแนนจากพรรคพันธมิตร ก็ให้สังคมรู้กันไปเลยว่า เราชนะแต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่บิ๊กตู่และพลังประชารัฐก็อยู่ยากเหมือนกัน เพราะเราคุมเสียงสภาล่างไว้ได้”
แต่ถ้า กกต.คิดจะสอยพรรคเพื่อไทย และไทยรักษาชาติ ช่วงหลังเลือกตั้ง ก็ยิ่งไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
“ถ้าไปสอย 2 พรรคนี้ หลังเลือกตั้ง และเพื่อไทยชนะเลือกตั้งมาแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์เพราะทำได้แค่ยุบพรรค แต่ ส.ส.ยังอยู่ก็สามารถย้ายเข้าไปอยู่พรรคพันธมิตรที่เหลืออยู่ได้”
ทั้งพรรคประชาชาติที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นหัวหน้าพรรค, พรรคเสรีรวมไทย ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็นหัวหน้าพรรค, พรรคอนาคตใหม่ ที่มีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหัวหน้าพรรค เป็นต้น
แหล่งข่าวย้ำว่า กกต.ก็เกรงว่า หลังเลือกตั้งจะเกิดความปั่นป่วน จะเกิดการร้องเรียนเรื่องการทุจริตเลือกตั้งเข้ามามาก เพราะแค่ก่อนการเลือกตั้งก็มีการร้องกันบ้างแล้ว และพรรคที่น่าห่วงที่สุดกลับกลายเป็นพรรคพลังประชารัฐ และภูมิใจไทย ที่จะเข้าข่ายทั้งเรื่องการทุจริตและการปล่อยให้มีการแทรกแซงจากบุคคลภายนอกเกิดขึ้น
โดยเฉพาะที่มีกระแสข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ กกต.ก็ได้ติดตามและรับฟังความเห็นทั้งในเรื่องที่มีการพูดว่าพรรคพลังประชารัฐมีแนวคิดจะออกนโยบายแปลงเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.4-01 เป็นโฉนดทองคำ แต่ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ ไปสั่งการให้พรรคพลังประชารัฐ ห้ามใช้เรื่องนี้ไปหาเสียง เพราะจะไม่มีการให้เอกสารสิทธิแต่จะให้เพียงสิทธิทำกินกับประชาชนเท่านั้น เพราะเมื่อใดที่มีการมอบเอกสารสิทธิก็มักจะมีการไปขายต่อให้นายทุน ในที่สุดคนจนก็ไม่มีที่ดินทำกิน และก็เข้าสู่การบุกรุกที่ดินไม่รู้จักจบสิ้น
“สิ่งที่บิ๊กตู่เป็นห่วงและท้วงติง ก็มีการจับไปโยงว่าเป็นการแทรกแซง และครอบงำพลังประชารัฐ ซึ่งเรื่องนี้ กกต.ก็ได้ติดตามและรับฟังไว้เช่นกัน”
นอกจากนี้ก็มีข่าวในพื้นที่ว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยได้มีการสั่งการให้สมาชิกทำตัวเป็นคนดี ห้ามซื้อเสียง และให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องตามติดผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐและภูมิใจไทย และสั่งให้ถ่ายคลิปไว้ ซึ่ง กกต.ก็เชื่อว่าหากเลือกตั้งแล้วเสร็จสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเก็บข้อมูลไว้อาจจะมีการยื่นให้ กกต.สอบพรรคพลังประชารัฐ ทั้งในเรื่องการซื้อเสียงและการแทรกแซงที่เกิดขึ้น ส่วนพรรคภูมิใจไทยก็อาจถูกร้องเรียนเพียงแค่การซื้อเสียงเท่านั้น
ด้านผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ในพื้นที่อีสาน บอกว่า เรื่องของการแจกในอีสานตอนบนเกิดขึ้นมาก่อนการเลือกตั้ง เท่ากับเป็นการแตะมือทั้งบรรดาหัวคะแนน และประชาชนที่อยู่ในกลุ่มของหัวคะแนนแต่ละคนไว้แล้ว มีทั้งให้เป็นสิ่งของ และเป็นตัวเงินค่ารถ ค่ากิน ในการเดินทางมาประชุม แต่หลังมีการประกาศเลือกตั้ง ก็มีความระมัดระวัง เพราะก็กลัวมีหลักฐานส่งให้ กกต.ตัดสิทธิ์ทางการเมืองเช่นกัน
“พลังประชารัฐ เหมือนจะได้เปรียบเพราะนำโครงการรัฐบาลพวกบัตรประชารัฐมาเป็นเงื่อนไขให้กับประชาชน ถ้าอยากให้โครงการนี้มีต่อไปก็ต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ เพราะพรรคเราทำนโยบายต่อเนื่องมาจากรัฐบาลบิ๊กตู่ ส่วนเรื่องผลประโยชน์ที่เป็นสิ่งของหรือเงินก็เป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่ เพราะที่นี่ บอกได้เลย เงินไม่มากาไม่เป็น”
ขณะเดียวกันผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนน่าจะเห็นความตั้งใจของพลังประชารัฐที่ต้องการเข้ามารับใช้ประชาชนและสานนโยบายที่รัฐบาลบิ๊กตู่ทำไว้ เพื่อทำให้ประชาชนมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ยิ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบรับการเป็นบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค จะยิ่งทำให้คะแนนของพรรคพลังประชารัฐได้รับการตอบรับมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่หากพล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธ หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และแกนนำพรรคก็คงมีทางออกไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้สมัคร ส.ส.ก็ต้องรอฟังแกนนำกลุ่มว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรบ้าง ส่วนช่วงนี้ก็ลงพื้นที่หาเสียงเก็บคะแนนไปก่อน
สำหรับในเรื่องกระแสความนิยมนั้น แหล่งข่าวบอกว่า พรรคเพื่อไทย ยังมีโอกาสมาเป็นที่ 1 เพราะประชาชนในพื้นที่คาดหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชนมีรายได้และคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น และรู้สึกสิ้นหวังกับรัฐบาลบิ๊กตู่ ขณะที่พรรคพลังประชารัฐก็มีการประเมินกันว่าไม่มีโอกาสได้รับเลือกตั้งมาเป็นที่ 1แต่ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ จากการมีพรรคขนาดกลางเข้าร่วมและมี ส.ว.250 คนอยู่ในมือ
จับตาสถานการณ์การเมืองจากนี้ไปจะมีความร้อนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์การปล่อยข่าว จะเป็นหนทางที่ทุกฝ่ายนำมาใช้ จนถึงขั้นมีการตั้งรัฐบาลแห่งชาติหลังเลือกตั้งก็อาจเกิดขึ้นได้!