หลายปัจจัยส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ย กนง.เสียงแตก 3 เสียงหนุนปรับเพิ่ม 0.25% ทิ้งท้ายนโยบายเงินเงินผ่อนคลายจะทยอยลดความจำเป็นลง หลังดอกเบี้ยต่ำมานาน ขณะที่ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลรอบใหม่สูงขึ้นกว่ารุ่นก่อนมากสุด 0.61% คาดอีกไม่นานแบงก์พาณิชย์ออกโปรโมชั่นเงินฝากที่ดอกเบี้ยสูงกว่าเดิม เป็นโอกาสของผู้ออมที่ต้องทนรับสภาพดอกเบี้ยต่ำมานาน ส่วนผู้ผ่อนชำระที่อยู่ในเงื่อนไขดอกเบี้ยลอยตัว ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น

ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 7/2561 เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2561 มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดย 3 เสียงเห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.75% ต่อปี
ในการตัดสินนโยบาย คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้อุปสงค์ต่างประเทศมีสัญญาณชะลอลงบ้าง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีทิศทางเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจสะสมความเปราะบางในระบบการเงินได้ในอนาคต โดยเฉพาะจากภาวะการเงินที่ผ่อนคลายเป็นเวลานาน
คณะกรรมการฯ เห็นว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปัจจุบันมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้
3 เสียงหนุนขึ้นดอกเบี้ย
ส่วนกรรมการ 3 ท่านเห็นว่าความต่อเนื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีความชัดเจนเพียงพอและภาวะการเงินที่ผ่อนคลายมากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจประเมินความเสี่ยงของภาวะการเงินในอนาคตต่ำกว่าที่ควร จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว และเพื่อเริ่มสร้างขีดความสามารถในการด่าเนินนโยบายการเงิน (policy space) ส่าหรับอนาคต
ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ ท่าให้ภาคเอกชนสามารถระดมทุนได้ต่อเนื่อง โดยสินเชื่อขยายตัวทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออุปโภคบริโภค
ด้านอัตราแลกเปลี่ยนนับจากการประชุมครั้งก่อน เงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเช่นเดียวกับเงินสกุลภูมิภาคจากความกังวลต่อความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น ในระยะข้างหน้า อัตราแลกเปลี่ยนยังมีแนวโน้มผันผวน
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อไป แต่การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในระดับปัจจุบันจะทยอยลดความจำเป็นลง

ดอกเบี้ยพันธบัตรขึ้น 0.6%
นับเป็นครั้งที่ 4 ที่กรรมการนโยบายการเงินเสียงแตกมีบางส่วนเห็นควรให้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย จาก 1 เสียง เป็น 2 เสียงและ 3 เสียงตามลำดับ โดยการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งสุดท้ายของปีนี้ จะมีในวันที่ 19 ธันวาคม 2561 แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับขึ้นได้ในช่วงปลายปีหรือต้นปี 2562
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากว่า 3 ปี นับตั้งแต่เมษายน 2558 และดอกเบี้ยขาขึ้นครั้งสุดท้ายคือช่วง 2553-2554
แม้คณะกรรมการนโยบายการเงินจะยังไม่มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารพาณิชย์ไม่มีการออกโปรโมชั่นดอกเบี้ยพิเศษใด ๆ ส่วนใหญ่ยังเฝ้ารอสถานการณ์ แต่ในตลาดการเงินได้มีสัญญาณที่บ่งชี้ออกมาแล้วว่า จากนี้ไปอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มอยู่ในช่วงขาขึ้น
ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ได้ปรับขึ้นมา 0.31-0.61% จากช่วงต้นปี โดยพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 1 จำหน่ายตั้งแต่ 27 พฤศจิกายน 2560 ออกพันธบัตรอายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 1.85% และ 7 ปี ดอกเบี้ย 2.45% ต่อมาออกพันธบัตรปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 2 จำหน่ายตั้งแต่ 10 พฤษภาคม 2561 อายุ 5 ปี ดอกเบี้ย 2.15% และ 10 ปี ดอกเบี้ย 3%
พันธบัตรปีงบประมาณ 2562 ที่เปิดจำหน่ายเมื่อ 19 ตุลาคม 2561 อายุ 3 ปี 1 เดือน ดอกเบี้ย 2.46% และอายุ 7 ปี 1 เดือน ดอกเบี้ย 3% วงเงิน 15,000 ล้านบาท ครั้งนั้นจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็วในวันแรกที่เปิดขาย และได้เปิดขายรอบใหม่เมื่อ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และหมดลงภายในเวลาไม่กี่นาที
“รอบนี้มีที่เปิดจำหน่ายเพียง 7,000 ล้านบาท บางแห่งจองให้ลูกค้าได้เพียง 1-2 รายเท่านั้น โดยพันธบัตรรุ่นนี้ไม่มีข้อกำหนดเรื่องเพดานซื้อสูงสุด ลูกค้าจะซื้อเท่าไหร่ก็ได้ เช่นเดียวกับรอบแรกที่เปิดจำหน่าย รุ่นนี้คนให้ความสนใจเยอะ เพราะอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าและอายุพันธบัตรก็สั้นกว่ารุ่นก่อน”พนักงานธนาคารรายหนึ่งกล่าว
ทั้งนี้พันธบัตรทั้ง 3 รุ่น ในรอบ 1 ปี อัตราดอกเบี้ยได้ปรับขึ้นมาตลอด ตามผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรที่ซื้อขายกัน เปรียบเทียบชัดที่สุดคือรุ่น 3 ปี เพิ่มขึ้น 0.61% และรุ่น 7 ปี เพิ่มขึ้น 0.55% หรือเทียบกับพันธบัตร 2561 ครั้งที่ 2 กับรุ่นที่เปิดจำหน่ายปัจจุบัน ที่อายุพันธบัตรนานกว่าแต่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าระหว่าง 5 ปีกับ 3 ปี หรือที่อัตราดอกเบี้ย 3% เท่ากันระหว่าง 10 ปีกับ 7 ปี นั่นหมายถึงอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นกว่าเดิม

ผู้ออมเลือกชอป
มีความเป็นไปได้สูงที่ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มขยับขึ้นครั้งละ 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยในตลาดน่าจะขยับขึ้นอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยในตลาดและใกล้เคียงกับดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ หากในปีหน้าสหรัฐปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีกอัตราดอกเบี้ยของไทยก็มีสิทธิที่จะขยับขึ้นตาม
เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นย่อมส่งผลต่อบุคคล 2 กลุ่มคือฝั่งผู้ออมเงินและฝั่งผู้ที่เป็นหนี้
สำหรับผู้ที่ต้องการออมเงิน จากนี้ไปธนาคารพาณิชย์อาจจะออกเงินฝากรูปแบบต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นกว่าเดิมออกมา รวมทั้งสถาบันการเงินของรัฐที่ต้องแข่งกับธนาคารพาณิชย์ อย่างธนาคารออมสิน ที่มีสลากออมสินเป็นตัวชูโรง ขณะนี้มีสลาก 3 ปี ผลตอบแทนดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.4%(ไม่นับรวมถูกรางวัล) หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ฯ หากออกสลากรุ่นต่อไปก็ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่นเดียวกับพันธบัตรรัฐบาลในรุ่นต่อไปที่ต้องปรับอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามสภาพตลาด
ดังนั้นผู้ที่ต้องการออมต้องพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ดี อีกทั้งในปีหน้าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก หากทุ่มเงินออมไปทั้งหมด อาจเป็นการเสียโอกาสในครั้งต่อ ๆ ไปที่ได้
ผู้กู้รับภาระเพิ่ม
ในด้านสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อบ้าน ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ ได้ปรับลดสินเชื่อประเภทอัตราดอกเบี้ยคงที่ลงและเปลี่ยนไปเป็นแบบดอกเบี้ยลอยตัวมากขึ้น สำหรับผู้ขอสินเชื่อใหม่ เพื่อรองรับกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับเพิ่มขึ้น
ส่วนผู้ที่อยู่ในสถานะผู้ผ่อนชำระบ้าน ที่มีระยะเวลาผ่อนชำระนาน หากท่านกำลังผ่อนในช่วงอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ท่านย่อมต้องเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคารมากขึ้น ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วไม่ได้กระทบจำนวนเงินที่ผ่อนชำระต่องวด คือยังชำระเท่าเดิม เพียงแต่เงินที่ชำระนั้นจะชำระเงินต้นได้น้อยลงกว่าเดิม และจ่ายส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ระยะเวลาในการเป็นหนี้ย่อมนานขึ้น
ขึ้นดอกเบี้ยมีข้อจำกัด
ทั้งนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังคงต้องพิจารณาประเด็นอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หากทางการจีนดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น สวนทางกับการดาเนินนโยบายการเงินของเฟด อาจสร้างความผันผวนของตลาดเงินในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งกดดันให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงได้อีก และจะกระทบต่อการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนที่วันนี้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยลดลง
รวมไปถึงผลกระทบต่อความผันผวนของตลาดการเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของเฟด ทำให้มีโอกาสที่ประเทศที่มีเสถียรภาพเศรษฐกิจต่างประเทศอ่อนแอ อาจจะเผชิญความผันผวนของค่าเงิน และกดดันให้ค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่อ่อนค่าลงได้ อาจจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในหลายๆ ประเทศปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจะกระทบกับภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจในท้ายที่สุด
ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 7/2561 เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2561 มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดย 3 เสียงเห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.75% ต่อปี
ในการตัดสินนโยบาย คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้อุปสงค์ต่างประเทศมีสัญญาณชะลอลงบ้าง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีทิศทางเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจสะสมความเปราะบางในระบบการเงินได้ในอนาคต โดยเฉพาะจากภาวะการเงินที่ผ่อนคลายเป็นเวลานาน
คณะกรรมการฯ เห็นว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปัจจุบันมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้
3 เสียงหนุนขึ้นดอกเบี้ย
ส่วนกรรมการ 3 ท่านเห็นว่าความต่อเนื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีความชัดเจนเพียงพอและภาวะการเงินที่ผ่อนคลายมากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจประเมินความเสี่ยงของภาวะการเงินในอนาคตต่ำกว่าที่ควร จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว และเพื่อเริ่มสร้างขีดความสามารถในการด่าเนินนโยบายการเงิน (policy space) ส่าหรับอนาคต
ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ ท่าให้ภาคเอกชนสามารถระดมทุนได้ต่อเนื่อง โดยสินเชื่อขยายตัวทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออุปโภคบริโภค
ด้านอัตราแลกเปลี่ยนนับจากการประชุมครั้งก่อน เงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเช่นเดียวกับเงินสกุลภูมิภาคจากความกังวลต่อความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น ในระยะข้างหน้า อัตราแลกเปลี่ยนยังมีแนวโน้มผันผวน
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อไป แต่การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในระดับปัจจุบันจะทยอยลดความจำเป็นลง
ดอกเบี้ยพันธบัตรขึ้น 0.6%
นับเป็นครั้งที่ 4 ที่กรรมการนโยบายการเงินเสียงแตกมีบางส่วนเห็นควรให้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย จาก 1 เสียง เป็น 2 เสียงและ 3 เสียงตามลำดับ โดยการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งสุดท้ายของปีนี้ จะมีในวันที่ 19 ธันวาคม 2561 แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับขึ้นได้ในช่วงปลายปีหรือต้นปี 2562
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากว่า 3 ปี นับตั้งแต่เมษายน 2558 และดอกเบี้ยขาขึ้นครั้งสุดท้ายคือช่วง 2553-2554
แม้คณะกรรมการนโยบายการเงินจะยังไม่มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารพาณิชย์ไม่มีการออกโปรโมชั่นดอกเบี้ยพิเศษใด ๆ ส่วนใหญ่ยังเฝ้ารอสถานการณ์ แต่ในตลาดการเงินได้มีสัญญาณที่บ่งชี้ออกมาแล้วว่า จากนี้ไปอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มอยู่ในช่วงขาขึ้น
ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ได้ปรับขึ้นมา 0.31-0.61% จากช่วงต้นปี โดยพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 1 จำหน่ายตั้งแต่ 27 พฤศจิกายน 2560 ออกพันธบัตรอายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 1.85% และ 7 ปี ดอกเบี้ย 2.45% ต่อมาออกพันธบัตรปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 2 จำหน่ายตั้งแต่ 10 พฤษภาคม 2561 อายุ 5 ปี ดอกเบี้ย 2.15% และ 10 ปี ดอกเบี้ย 3%
พันธบัตรปีงบประมาณ 2562 ที่เปิดจำหน่ายเมื่อ 19 ตุลาคม 2561 อายุ 3 ปี 1 เดือน ดอกเบี้ย 2.46% และอายุ 7 ปี 1 เดือน ดอกเบี้ย 3% วงเงิน 15,000 ล้านบาท ครั้งนั้นจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็วในวันแรกที่เปิดขาย และได้เปิดขายรอบใหม่เมื่อ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และหมดลงภายในเวลาไม่กี่นาที
“รอบนี้มีที่เปิดจำหน่ายเพียง 7,000 ล้านบาท บางแห่งจองให้ลูกค้าได้เพียง 1-2 รายเท่านั้น โดยพันธบัตรรุ่นนี้ไม่มีข้อกำหนดเรื่องเพดานซื้อสูงสุด ลูกค้าจะซื้อเท่าไหร่ก็ได้ เช่นเดียวกับรอบแรกที่เปิดจำหน่าย รุ่นนี้คนให้ความสนใจเยอะ เพราะอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าและอายุพันธบัตรก็สั้นกว่ารุ่นก่อน”พนักงานธนาคารรายหนึ่งกล่าว
ทั้งนี้พันธบัตรทั้ง 3 รุ่น ในรอบ 1 ปี อัตราดอกเบี้ยได้ปรับขึ้นมาตลอด ตามผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรที่ซื้อขายกัน เปรียบเทียบชัดที่สุดคือรุ่น 3 ปี เพิ่มขึ้น 0.61% และรุ่น 7 ปี เพิ่มขึ้น 0.55% หรือเทียบกับพันธบัตร 2561 ครั้งที่ 2 กับรุ่นที่เปิดจำหน่ายปัจจุบัน ที่อายุพันธบัตรนานกว่าแต่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าระหว่าง 5 ปีกับ 3 ปี หรือที่อัตราดอกเบี้ย 3% เท่ากันระหว่าง 10 ปีกับ 7 ปี นั่นหมายถึงอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นกว่าเดิม
ผู้ออมเลือกชอป
มีความเป็นไปได้สูงที่ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มขยับขึ้นครั้งละ 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยในตลาดน่าจะขยับขึ้นอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยในตลาดและใกล้เคียงกับดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ หากในปีหน้าสหรัฐปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีกอัตราดอกเบี้ยของไทยก็มีสิทธิที่จะขยับขึ้นตาม
เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นย่อมส่งผลต่อบุคคล 2 กลุ่มคือฝั่งผู้ออมเงินและฝั่งผู้ที่เป็นหนี้
สำหรับผู้ที่ต้องการออมเงิน จากนี้ไปธนาคารพาณิชย์อาจจะออกเงินฝากรูปแบบต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นกว่าเดิมออกมา รวมทั้งสถาบันการเงินของรัฐที่ต้องแข่งกับธนาคารพาณิชย์ อย่างธนาคารออมสิน ที่มีสลากออมสินเป็นตัวชูโรง ขณะนี้มีสลาก 3 ปี ผลตอบแทนดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.4%(ไม่นับรวมถูกรางวัล) หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ฯ หากออกสลากรุ่นต่อไปก็ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่นเดียวกับพันธบัตรรัฐบาลในรุ่นต่อไปที่ต้องปรับอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามสภาพตลาด
ดังนั้นผู้ที่ต้องการออมต้องพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ดี อีกทั้งในปีหน้าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก หากทุ่มเงินออมไปทั้งหมด อาจเป็นการเสียโอกาสในครั้งต่อ ๆ ไปที่ได้
ผู้กู้รับภาระเพิ่ม
ในด้านสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อบ้าน ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ ได้ปรับลดสินเชื่อประเภทอัตราดอกเบี้ยคงที่ลงและเปลี่ยนไปเป็นแบบดอกเบี้ยลอยตัวมากขึ้น สำหรับผู้ขอสินเชื่อใหม่ เพื่อรองรับกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับเพิ่มขึ้น
ส่วนผู้ที่อยู่ในสถานะผู้ผ่อนชำระบ้าน ที่มีระยะเวลาผ่อนชำระนาน หากท่านกำลังผ่อนในช่วงอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ท่านย่อมต้องเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคารมากขึ้น ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วไม่ได้กระทบจำนวนเงินที่ผ่อนชำระต่องวด คือยังชำระเท่าเดิม เพียงแต่เงินที่ชำระนั้นจะชำระเงินต้นได้น้อยลงกว่าเดิม และจ่ายส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ระยะเวลาในการเป็นหนี้ย่อมนานขึ้น
ขึ้นดอกเบี้ยมีข้อจำกัด
ทั้งนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังคงต้องพิจารณาประเด็นอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หากทางการจีนดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น สวนทางกับการดาเนินนโยบายการเงินของเฟด อาจสร้างความผันผวนของตลาดเงินในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งกดดันให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงได้อีก และจะกระทบต่อการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนที่วันนี้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยลดลง
รวมไปถึงผลกระทบต่อความผันผวนของตลาดการเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของเฟด ทำให้มีโอกาสที่ประเทศที่มีเสถียรภาพเศรษฐกิจต่างประเทศอ่อนแอ อาจจะเผชิญความผันผวนของค่าเงิน และกดดันให้ค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่อ่อนค่าลงได้ อาจจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในหลายๆ ประเทศปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจะกระทบกับภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจในท้ายที่สุด