อัยย์วางมืองานเสวนา จับผิดกันทุกเม็ด กรณีอุบาสิกาอารีพันธุ์เสียชีวิต เข้าแจ้งความขออายัดให้นิติเวชชันสูตร เชื่อถูกวางยา จนเกิดเหตุวิวาทกับทนายธรรมกายบนโรงพัก ขณะที่ฝ่ายวัดเริ่มขยับหลังจากนิ่งมาระยะหนึ่ง สำนักสื่อสารองค์กรฯ โพสต์ “คนไม่กลัวบาป..จะทำอะไรหยาบช้าก็ได้” แนวทางยกขบวนขับไล่พระคู่กรณียังทำต่อเนื่อง หวั่นเกิดการปะทะกับพระแสนพล ผู้ดูแลงานรักษาความปลอดภัยของวัดพระธรรมกาย
การเลื่อนการจัดงานเสวนาครั้งที่ 7 ถอดรหัส กฎหมายศาสนากับปัญหาเศรษฐกิจไทย ของกลุ่มอัยย์ เพชรทอง ที่เคยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องนั้น ล่าสุดทางสมาคมสื่อมวลชนพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยแห่งชาติ(สพวช.) กำหนดจัดงานที่ห้องประชุมหุตะสิงห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 28 ตุลาคม 2561 แต่ได้มีประกาศเลื่อนออกไปคืนก่อนจะถึงวันจัดงาน
งานเสวนานับเป็นการขับเคลื่อนปัญหาที่เกิดขึ้นกับวงการพระสงฆ์ในช่วงที่ผ่านมาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยยกเอากรณีของการดำเนินคดีกับพระพรหม 3 รูปที่เป็นกรรมการในมหาเถรสมาคม ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตการใช้เงินงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาเป็นจุดเริ่มของงานเสวนา ด้วยการเสนอแนวทางในการให้ความช่วยเหลือพระภิกษุที่ถูกดำเนินคดี ด้วยการจัดหาทนายความเข้าไปให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงภัยของพระพุทธศาสนาในด้านอื่น และก้าวไปถึงการพาดพิงไปยังต่างศาสนา
แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ถูกสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย ออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องทั้งที่ผ่านมาและที่จะดำเนินการต่อไปกับกลุ่มของอัยย์ เพชรทอง ศิษย์คนสำคัญของวัดพระธรรมกาย เมื่อถูกประกาศของทางวัดออกมาแบบนี้หลายครั้ง หลายหน จึงมีการตอบโต้จากกลุ่มของอัยย์กับฝ่ายที่กุมอำนาจในวัดพระธรรมกาย
เหตุการณ์เอื้อ
เดิมสายของอัยย์เคยตั้งข้อสังเกตถึงพระผู้ใหญ่ที่กุมอำนาจบริหารในวัดพระธรรมกายมาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นเรื่องที่ตอบโต้กันภายใน แต่หนึ่งในทีมอัยย์ก็ถูกคำสั่งห้ามเข้าวัด เมื่อเขาเคลื่อนไหวเรื่องภัยพระพุทธศาสนามากขึ้น พร้อม ๆ กับภาพของความเป็นศิษย์วัดพระธรรมกาย วัดพระธรรมกายได้ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องอีก จึงเปิดฉากรุกด้วยการยื่นเรื่องต่อเจ้าอาวาสและพระทัตตชีโว ให้มีการสอบอธิกรณ์พระฝ่ายบริหาร 6 รูป
พร้อม ๆ กับภายในวัดมีเรื่องที่ฝ่ายบริหารวัดไล่พระ 2 รูปออกระหว่างพรรษา ที่ไม่มีข้อหาการกระทำความผิดที่ชัดเจน จึงได้ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่พระมหาด็อกเตอร์ที่กุมอำนาจบริหารในวัดพระธรรมกาย
นอกจากนี้ยังมีกรณีการเสียชีวิตของนางสาวอารีพันธุ์ ตรีอนุสรณ์ เป็นคนใกล้ชิดคุณยายจันทร์ ขนนกยูง กรรมการมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ที่เสียชีวิตกะทันหันในวันที่ 19 ตุลาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่กรมสอบสวนคดีพิเศษออกหมายเรียกนางวรรณา จิรกิติ น้องสาวนายบุญชัย เบญจรงคกุล ในฐานะประธานมูลนิธิฯ และ นางสาวอารีพันธุ์ ตรีอนุสรณ์ เลขานุการมูลนิธิฯ รวม 2 ราย มารับทราบข้อกล่าวหาคดีฟอกเงินและสมคบฟอกเงิน
ศึกแย่งศพ
ทำให้ฝ่ายของอัยย์ออกมาตั้งข้อสงสัยถึงการเสียชีวิตของอุบาสิกาอารีพันธุ์ว่าน่าจะเป็นการเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติ และพุ่งปมไปที่การถูกลอบวางยาพิษ เนื่องจากนางสาวอารีพันธ์ ตรีอนุสรณ์ อุบาสกอุบาสิกาอาวุโสของวัดพระธรรมกาย เป็นพยานคนสำคัญของอัยย์ เพชรทอง ผู้ยื่นเรื่องไม่ไว้วางใจพระเถระที่เป็นคณะกรรมการบริหารวัดพระธรรมกาย หนึ่งในนั้นคือประเด็นการลอบวางยาพาปลิดชีพพระเถระผู้เป็นบุคคลสำคัญของวัดพระธรรมกาย
ด้วยความสงสัยถึงการเสียชีวิตของอุบาสิกาคนสำคัญ 27 ตุลาคม 2561 กลุ่มของอัยย์ ที่มีวุฒิสาร พนารีและศศินภา นิติธรรมปพน ได้ไปที่สถานีตำรวจภูธรคลองหลวง แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจอายัดศพพร้อมกับส่งศพผู้ตายไปทำการตรวจพิสูจน์ตามหลักนิติเวชอีกครั้ง แต่ญาติผู้เสียชีวิตได้เดินทางมาคัดค้านผลการอายัดจึงยกเลิกไป
แต่ระหว่างนั้นได้มีทนายความของวัดพระธรรมกายเดินทางมาร่วมญาติผู้เสียชีวิต และเกิดเหตุอัยย์ เพชรทอง ทะเลาะวิวาทกับทนายความของวัดบนโรงพัก
สายวัดเริ่มตอบโต้
แม้ฝ่ายอัยย์จะเปิดฉากรุกด้วยการยกขบวนขับไล่พระมหาด็อกเตอร์คู่กรณีหลายครั้ง แต่ฝ่ายบริหารของวัดกลับนิ่ง ไม่มีการตอบโต้ใด ๆ ต่างจากครั้งก่อนที่มักมีประกาศของสำนักสื่อสารองค์กรออกมา รวมถึงเรื่องขอให้มีการสอบอธิกรณ์พระฝายบริหาร 6 รูป ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ออกมาจากทางวัด จนนางสาวศศินภา นิติธรรมปพน ต้องยื่นเรื่องต่อพระเทพรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีขอให้เข้ามาเป็นคนกลางในการแก้ปัญหาในครั้งนี้
อย่างไรก็ตามจากการสังเกตุเฟสบุ๊กของพระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ แม้จะเป็นเพจที่สอนหลักธรรม แต่เริ่มมีข้อความหลักธรรมบางข้อความที่เสมือนเป็นการสะท้อนถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เช่น “พึงชนะคนโกรธด้วยความโกรธ พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ พึงชนะคนพูดปกด้วยคำจริง”
“พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า คนพาล มีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง เป็นพวกชอบจับผิดคนอื่น”
“การโกหกคนอื่นคือการโกหกตัวเอง เพราะการโกหกบ่งบอกถึงสิ่งที่วนเวียนอยู่ในใจตน แสดงผลออกเป็นการกระทำ คำพูดส่งไปยังคนอีกคน”
“คนขี้อิจฉา คือคนที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี กรรมนี้จะติดตัวไปไม่ว่าเกิดอีกกี่ชาติก็ตาม ภาพความต่ำต้อยในใจที่สะสมไว้มาก จะทำให้เป็นคนหย่อนอานุภาพ ถ้าจะเป็นภรรยาใครเขา ก็คงได้เป็นแค่ภรรยาน้อย ภรรยาลับเท่านั้น เป็นสามีเขาก็ได้ทำนองเดียวกันทั้งนั้น อานุภาพมันหย่อนไปทุกสถานะ”
ในที่สุดสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกายได้โพสต์ข้อความ #ข้อคิดสะกิดใจ ส่งท้ายปีเก่าด้วยข้อคิดสะกิดใจวันละนิด..จิตแจ่มใส “คนไม่กลัวบาป..จะทำอะไรหยาบช้าก็ได้” 1 พฤศจิกายน 2561 และมีการโพสต์ซ้ำในเฟสบุ๊ก Phra Sanitwong Charoenrattawong ในข้อความเดียวกัน แต่เพิ่มข้อความด้านบนว่า สำหรับผู้ที่สร้างข่าวลือเป็นเท็จ
ตามมาด้วย“คนไม่กลัวบาป เมื่อตายแล้วย่อมจะไปอยู่ในภพภูมิที่ไม่น่ายินดี” 2 พฤศจิกายน 2561
นับเป็นสัญญาณของการตอบโต้จากฝ่ายวัด ที่เริ่มมีต่อกลุ่มของอัยย์ เพชรทอง หลังจากที่เริ่มรุกด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่เพิ่มระดับการกดดันที่มากขึ้น
มีโอกาสปะทะ
หากดูจากจำนวนของคนที่ออกมาขับไล่ร่วมกับอัยย์ ถือว่ายังไม่มากนักมีประมาณ 20 ที่ออกมาถือป้ายขับไล่คู่กรณี แต่มีอีกราว 300 กว่าคนที่เคลื่อนไหวผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค และกลุ่มแกนนำที่โพสต์ข้อความอีก 10 กว่าคน
เกรงกันว่าการเคลื่อนไหวกลุ่มของอัยย์ ที่ถูกจับตามองจากฝ่ายบริหารในวัดมากขึ้นนั้น ไม่วันใดวันหนึ่งมีโอกาสที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างสายของอัยย์ กับฝ่ายบริหารของวัดที่มีพระแสนพล เทพเทพา หรือสิบเอกแสนพล เทพเทพา ดูแลงานด้านรักษาความปลอดภัย ซึ่งเคยควบคุมสถานการณ์ในช่วงที่วัดพระธรรมกายถูกควบคุมพื้นที่ด้วยมาตรา 44 มาแล้ว และทางวัดมีคำสั่งห้ามลูกศิษย์ที่อยู่ในสายเดียวกับอัยย์เข้าวัดพระธรรมกาย
นาทีนี้สถานการณ์ในวัดพระธรรมกายยิ่งกว่าแตกแยก แต่มันเละไปหมด ฝ่ายวัดก็จ้องจะขจัดฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะพระหรือศิษย์ที่เกรงกันว่าจะเป็นไส้ศึก ฝ่ายร้องเรียนก็จ้องโค่นทีมบริหารของวัดชุดนี้ให้หลุดออกไปด้วยเหตุผลที่ต้องการปกป้องพระธัมมชโย
ที่ผ่านมาแม้วัดพระธรรมกายจะมีข้อครหาต่าง ๆ ทั้งหลักคำสอนที่ผิดไปจากพระธรรมวินัย พระธัมมชโยรอดคดีหนัก ๆ มาได้ ด้วยตัวช่วยจากพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคม แม้ถูกมาตรา 44 แต่ก็ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา จัดงานระดมทุนโครงการธรรมยาตราได้ แต่จากนี้ไปวัดพระธรรมกายจะแข็งแกร่งหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ด้วยทั้งพระและลูกศิษย์ของวัดเอง
การเลื่อนการจัดงานเสวนาครั้งที่ 7 ถอดรหัส กฎหมายศาสนากับปัญหาเศรษฐกิจไทย ของกลุ่มอัยย์ เพชรทอง ที่เคยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องนั้น ล่าสุดทางสมาคมสื่อมวลชนพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยแห่งชาติ(สพวช.) กำหนดจัดงานที่ห้องประชุมหุตะสิงห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 28 ตุลาคม 2561 แต่ได้มีประกาศเลื่อนออกไปคืนก่อนจะถึงวันจัดงาน
งานเสวนานับเป็นการขับเคลื่อนปัญหาที่เกิดขึ้นกับวงการพระสงฆ์ในช่วงที่ผ่านมาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยยกเอากรณีของการดำเนินคดีกับพระพรหม 3 รูปที่เป็นกรรมการในมหาเถรสมาคม ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตการใช้เงินงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาเป็นจุดเริ่มของงานเสวนา ด้วยการเสนอแนวทางในการให้ความช่วยเหลือพระภิกษุที่ถูกดำเนินคดี ด้วยการจัดหาทนายความเข้าไปให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงภัยของพระพุทธศาสนาในด้านอื่น และก้าวไปถึงการพาดพิงไปยังต่างศาสนา
แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ถูกสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย ออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องทั้งที่ผ่านมาและที่จะดำเนินการต่อไปกับกลุ่มของอัยย์ เพชรทอง ศิษย์คนสำคัญของวัดพระธรรมกาย เมื่อถูกประกาศของทางวัดออกมาแบบนี้หลายครั้ง หลายหน จึงมีการตอบโต้จากกลุ่มของอัยย์กับฝ่ายที่กุมอำนาจในวัดพระธรรมกาย
เหตุการณ์เอื้อ
เดิมสายของอัยย์เคยตั้งข้อสังเกตถึงพระผู้ใหญ่ที่กุมอำนาจบริหารในวัดพระธรรมกายมาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นเรื่องที่ตอบโต้กันภายใน แต่หนึ่งในทีมอัยย์ก็ถูกคำสั่งห้ามเข้าวัด เมื่อเขาเคลื่อนไหวเรื่องภัยพระพุทธศาสนามากขึ้น พร้อม ๆ กับภาพของความเป็นศิษย์วัดพระธรรมกาย วัดพระธรรมกายได้ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องอีก จึงเปิดฉากรุกด้วยการยื่นเรื่องต่อเจ้าอาวาสและพระทัตตชีโว ให้มีการสอบอธิกรณ์พระฝ่ายบริหาร 6 รูป
พร้อม ๆ กับภายในวัดมีเรื่องที่ฝ่ายบริหารวัดไล่พระ 2 รูปออกระหว่างพรรษา ที่ไม่มีข้อหาการกระทำความผิดที่ชัดเจน จึงได้ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่พระมหาด็อกเตอร์ที่กุมอำนาจบริหารในวัดพระธรรมกาย
นอกจากนี้ยังมีกรณีการเสียชีวิตของนางสาวอารีพันธุ์ ตรีอนุสรณ์ เป็นคนใกล้ชิดคุณยายจันทร์ ขนนกยูง กรรมการมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ที่เสียชีวิตกะทันหันในวันที่ 19 ตุลาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่กรมสอบสวนคดีพิเศษออกหมายเรียกนางวรรณา จิรกิติ น้องสาวนายบุญชัย เบญจรงคกุล ในฐานะประธานมูลนิธิฯ และ นางสาวอารีพันธุ์ ตรีอนุสรณ์ เลขานุการมูลนิธิฯ รวม 2 ราย มารับทราบข้อกล่าวหาคดีฟอกเงินและสมคบฟอกเงิน
ศึกแย่งศพ
ทำให้ฝ่ายของอัยย์ออกมาตั้งข้อสงสัยถึงการเสียชีวิตของอุบาสิกาอารีพันธุ์ว่าน่าจะเป็นการเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติ และพุ่งปมไปที่การถูกลอบวางยาพิษ เนื่องจากนางสาวอารีพันธ์ ตรีอนุสรณ์ อุบาสกอุบาสิกาอาวุโสของวัดพระธรรมกาย เป็นพยานคนสำคัญของอัยย์ เพชรทอง ผู้ยื่นเรื่องไม่ไว้วางใจพระเถระที่เป็นคณะกรรมการบริหารวัดพระธรรมกาย หนึ่งในนั้นคือประเด็นการลอบวางยาพาปลิดชีพพระเถระผู้เป็นบุคคลสำคัญของวัดพระธรรมกาย
ด้วยความสงสัยถึงการเสียชีวิตของอุบาสิกาคนสำคัญ 27 ตุลาคม 2561 กลุ่มของอัยย์ ที่มีวุฒิสาร พนารีและศศินภา นิติธรรมปพน ได้ไปที่สถานีตำรวจภูธรคลองหลวง แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจอายัดศพพร้อมกับส่งศพผู้ตายไปทำการตรวจพิสูจน์ตามหลักนิติเวชอีกครั้ง แต่ญาติผู้เสียชีวิตได้เดินทางมาคัดค้านผลการอายัดจึงยกเลิกไป
แต่ระหว่างนั้นได้มีทนายความของวัดพระธรรมกายเดินทางมาร่วมญาติผู้เสียชีวิต และเกิดเหตุอัยย์ เพชรทอง ทะเลาะวิวาทกับทนายความของวัดบนโรงพัก
สายวัดเริ่มตอบโต้
แม้ฝ่ายอัยย์จะเปิดฉากรุกด้วยการยกขบวนขับไล่พระมหาด็อกเตอร์คู่กรณีหลายครั้ง แต่ฝ่ายบริหารของวัดกลับนิ่ง ไม่มีการตอบโต้ใด ๆ ต่างจากครั้งก่อนที่มักมีประกาศของสำนักสื่อสารองค์กรออกมา รวมถึงเรื่องขอให้มีการสอบอธิกรณ์พระฝายบริหาร 6 รูป ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ออกมาจากทางวัด จนนางสาวศศินภา นิติธรรมปพน ต้องยื่นเรื่องต่อพระเทพรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีขอให้เข้ามาเป็นคนกลางในการแก้ปัญหาในครั้งนี้
อย่างไรก็ตามจากการสังเกตุเฟสบุ๊กของพระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ แม้จะเป็นเพจที่สอนหลักธรรม แต่เริ่มมีข้อความหลักธรรมบางข้อความที่เสมือนเป็นการสะท้อนถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เช่น “พึงชนะคนโกรธด้วยความโกรธ พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ พึงชนะคนพูดปกด้วยคำจริง”
“พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า คนพาล มีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง เป็นพวกชอบจับผิดคนอื่น”
“การโกหกคนอื่นคือการโกหกตัวเอง เพราะการโกหกบ่งบอกถึงสิ่งที่วนเวียนอยู่ในใจตน แสดงผลออกเป็นการกระทำ คำพูดส่งไปยังคนอีกคน”
“คนขี้อิจฉา คือคนที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี กรรมนี้จะติดตัวไปไม่ว่าเกิดอีกกี่ชาติก็ตาม ภาพความต่ำต้อยในใจที่สะสมไว้มาก จะทำให้เป็นคนหย่อนอานุภาพ ถ้าจะเป็นภรรยาใครเขา ก็คงได้เป็นแค่ภรรยาน้อย ภรรยาลับเท่านั้น เป็นสามีเขาก็ได้ทำนองเดียวกันทั้งนั้น อานุภาพมันหย่อนไปทุกสถานะ”
ในที่สุดสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกายได้โพสต์ข้อความ #ข้อคิดสะกิดใจ ส่งท้ายปีเก่าด้วยข้อคิดสะกิดใจวันละนิด..จิตแจ่มใส “คนไม่กลัวบาป..จะทำอะไรหยาบช้าก็ได้” 1 พฤศจิกายน 2561 และมีการโพสต์ซ้ำในเฟสบุ๊ก Phra Sanitwong Charoenrattawong ในข้อความเดียวกัน แต่เพิ่มข้อความด้านบนว่า สำหรับผู้ที่สร้างข่าวลือเป็นเท็จ
ตามมาด้วย“คนไม่กลัวบาป เมื่อตายแล้วย่อมจะไปอยู่ในภพภูมิที่ไม่น่ายินดี” 2 พฤศจิกายน 2561
นับเป็นสัญญาณของการตอบโต้จากฝ่ายวัด ที่เริ่มมีต่อกลุ่มของอัยย์ เพชรทอง หลังจากที่เริ่มรุกด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่เพิ่มระดับการกดดันที่มากขึ้น
มีโอกาสปะทะ
หากดูจากจำนวนของคนที่ออกมาขับไล่ร่วมกับอัยย์ ถือว่ายังไม่มากนักมีประมาณ 20 ที่ออกมาถือป้ายขับไล่คู่กรณี แต่มีอีกราว 300 กว่าคนที่เคลื่อนไหวผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค และกลุ่มแกนนำที่โพสต์ข้อความอีก 10 กว่าคน
เกรงกันว่าการเคลื่อนไหวกลุ่มของอัยย์ ที่ถูกจับตามองจากฝ่ายบริหารในวัดมากขึ้นนั้น ไม่วันใดวันหนึ่งมีโอกาสที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างสายของอัยย์ กับฝ่ายบริหารของวัดที่มีพระแสนพล เทพเทพา หรือสิบเอกแสนพล เทพเทพา ดูแลงานด้านรักษาความปลอดภัย ซึ่งเคยควบคุมสถานการณ์ในช่วงที่วัดพระธรรมกายถูกควบคุมพื้นที่ด้วยมาตรา 44 มาแล้ว และทางวัดมีคำสั่งห้ามลูกศิษย์ที่อยู่ในสายเดียวกับอัยย์เข้าวัดพระธรรมกาย
นาทีนี้สถานการณ์ในวัดพระธรรมกายยิ่งกว่าแตกแยก แต่มันเละไปหมด ฝ่ายวัดก็จ้องจะขจัดฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะพระหรือศิษย์ที่เกรงกันว่าจะเป็นไส้ศึก ฝ่ายร้องเรียนก็จ้องโค่นทีมบริหารของวัดชุดนี้ให้หลุดออกไปด้วยเหตุผลที่ต้องการปกป้องพระธัมมชโย
ที่ผ่านมาแม้วัดพระธรรมกายจะมีข้อครหาต่าง ๆ ทั้งหลักคำสอนที่ผิดไปจากพระธรรมวินัย พระธัมมชโยรอดคดีหนัก ๆ มาได้ ด้วยตัวช่วยจากพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคม แม้ถูกมาตรา 44 แต่ก็ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา จัดงานระดมทุนโครงการธรรมยาตราได้ แต่จากนี้ไปวัดพระธรรมกายจะแข็งแกร่งหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ด้วยทั้งพระและลูกศิษย์ของวัดเอง