อัยย์ เพชรทอง หวังกำจัดหนอนตัวใหญ่ในวัดพระธรรมกาย ปักใจเป็นต้นเหตุให้พระธัมมชโยถูกดำเนินคดี แถมถูกสกัดการเคลื่อนไหวหลายงาน ตั้งเป้าวันออกพรรษา 24 ตุลานี้ แต่งานนี้ไม่ง่ายฝ่ายกุมอำนาจวัดตอบโต้จ่อฟ้องอัยย์และพวก ฐานปล่อยข้อมูลอันเป็นเท็จ คนในเผยความขัดแย้งมีมานาน พอพระธัมมชโยพ้นตำแหน่งเหตุการณ์จึงปะทุ
นาทีนี้ไร้การปฏิเสธจากวัดพระธรรมกายและโฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ถึงสถานการณ์ความขัดแย้งกันระหว่างศิษย์วัดพระธรรมกายและพระผู้ใหญ่ในวัด ที่ปะทุขึ้นทุกวัน และหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต่างฝ่ายต่างเดินเครื่องชนฝ่ายตรงข้าม
เมื่อทางสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกายในวันที่ 2 ตุลาคม 2561 ได้ออกประกาศชี้แจงไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของอัยย์ เพชรทอง หลังจากที่กลุ่มของนายอัยย์ ได้จัดเสวนาทางวิชาการครั้งที่ 6 หัวข้อ “ถอดรหัสกฎหมายเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา” เมื่อ 26 กันยายน 2561 ที่วัดปางไคร้ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยสมาคมสื่อมวลชนพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยแห่งชาติ (สพวช.)
วัดพระธรรมกายขอชี้แจงว่า วัดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลและกลุ่มบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ผู้ที่ปรากฏในข่าวไปในนามส่วนตัว เป็นการแสดงทัศนะส่วนบุคคล การดำเนินการใดๆ ที่ผ่านมาหรือที่จะดำเนินการต่อไปของนายอัยย์ เพชรทองและนายวุฒิสาร พนารี ไม่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย ไม่ใช่ตัวแทนวัด และไม่ใช่ตัวแทนศิษย์แต่อย่างใด รวมทั้งทางวัดไม่ได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือการแสดงทัศนคติด้านอื่นๆ ทุกประการ
ไร้พระธัมมชโย-ปะทุ
เล่นประกาศต่อสาธารณะกันแบบนี้ก็ไม่ต่างไปจากการตัดหางปล่อยวัดทีมงานของอัยย์ เพชรทอง ที่ชื่อของอัยย์นับเป็นศิษย์เบอร์ต้นๆ คนหนึ่งของวัดพระธรรมกายและมีบทบาทในการขับเคลื่อนและแก้ต่างให้วัดพระธรรมกายมาตลอดในช่วงที่เกิดวิกฤตจากการใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกายช่วงกุมภาพันธ์ 2560
“ที่จริงพระครูสังฆรักษ์รังสฤษฎ์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายองค์ปัจจุบัน ไม่ใช่ตัวเลือกแรก พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ ถือเป็นเบอร์ต้นๆ ที่คาดว่าจะเข้ามารับหน้าที่แทน แต่ถูกทีมของอัยย์สกัดดาวรุ่งเสียก่อน จึงหาพระที่ไม่มีปัญหากับใครเข้ามารับหน้าที่แทน แต่อำนาจจริงยังอยู่ในมือของพระทัตตชีโว เบอร์ 2 รองจากพระธัมมชโย” สายข่าวรายหนึ่งกล่าว
พระผู้ใหญ่แต่ละรูปมักจะมีลูกศิษย์ที่นับถือเป็นกลุ่มเฉพาะ เนื่องจากแต่ละรูปจะใช้เฟซบุ๊กและสื่อออนไลน์ของตนเองในการเผยแพร่ธรรมะ บางรูปมีผู้ติดตามเป็นล้านคน แต่ทีมลูกศิษย์ที่มีบทบาทในวัดพระธรรมกายในเวลานี้คือศิษย์ของพระมหาสมชาย
ภายในวัดพระธรรมกายมีความขัดแย้งกันมาตั้งแต่ในช่วงที่พระธัมมชโยยังดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ด้วยความเกรงใจทุกคนจึงยอมเก็บเรื่องดังกล่าวไว้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนพระธัมมชโยหลบหนีคดี มีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ขึ้นมาเรื่องราวจึงปะทุขึ้น
อัยย์ VS พระมหาสมชาย
ศึกภายในเวลานี้เป็นของกลุ่มอัยย์กับลูกศิษย์ของพระมหาสมชาย ทั้ง 2 ฝ่ายต่างเดินเกมสกัดกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายที่กุมอำนาจในวัดสามารถออกประกาศในนามของฝ่ายสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกายได้ ที่หนักที่สุดคือประกาศห้ามบุคคลเข้าวัดเมื่อ 26 สิงหาคม 2561
แม้จะเป็นการระบุพฤติกรรมต้องห้าม แต่ภายในรู้ดีว่าหมายถึง 3 บุคคลของศิษย์ธรรมกาย หนึ่งในนั้นคืออัยย์ เพชรทอง แต่ภายหลังได้ถอดชื่อของอัยย์ ออกจากคำสั่งห้าม จนมาถึงประกาศไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของอัยย์ เพชรทอง และวุฒิสาร พนารี เมื่อ 2 ตุลาคม 2561
ความขัดแย้งระหว่างกันนอกจากเรื่องฝ่ายของอัยย์มองว่าฝ่ายกุมอำนาจในวัดมีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลแล้ว และการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มอัยย์ยังขัดกับแนวทางของทางฝ่ายวัด เห็นได้จากสายของอัยย์ที่ระบุว่า
เมื่อหลวงพ่อธัมมะไม่อยู่ ในวัดไม่เห็นงานพระศาสนาส่วนรวมเป็นหนึ่งในหน้าที่ ขณะที่คุณอัยย์และคุณวุฒิสาร เพราะเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อธัมมะ จึงมีใจรักพระพุทธศาสนาและร่วมปกป้องขับเคลื่อนการแก้ปัญหาให้พระพุทธศาสนาโดยรวมอย่างเต็มที่ เพราะหลวงพ่อสอนให้รักพระพุทธศาสนาและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาโดยรวม ไม่ใช่รักและทำนุบำรุงแค่วัดพระธรรมกาย
หลวงพ่อธัมมชโยสอนให้ทำบุญและทำนุบำรุงกับวัดในพระพุทธศาสนาทั้งหมด ไม่ได้สอนว่าให้ทำบุญหรือทำนุบำรุงเฉพาะพระและวัดพระธรรมกาย
การออกตัวมาปฏิเสธการมีส่วนร่วมที่ 2 คนนั้นไปขับเคลื่อนในงานพุทธศาสนาโดยรวมของพระในวัดพระธรรมกาย แค่กันวัดออกจากการขับเคลื่อนต่างๆ แต่ในคำสั่งนั้นไม่ได้ห้ามคนวัดพระธรรมกายไปร่วมทำเรื่องนี้ กรุณาอ่านให้แตกฉาน อย่าทำให้เรื่องคำประกาศจากส่วนกลางกลายเป็นคำสั่งห้ามคนวัดไปข้องเกี่ยวหรือร่วมกับ 2คนนี้ เพราะมันคนละเรื่องกัน
คนละแนวทาง
สำหรับแนวทางของวัดพระธรรมกายเลือกที่จะฟื้นฟูกิจกรรมภายในวัดอย่างสงบ หลังจากพ้นมาตรา 44 ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับใคร เพื่อลดปัญหาที่จะตามมาภายในวัดและคำนึงถึงภาพลักษณ์ของวัดเป็นหลัก ขณะที่สายของอัยย์เลือกเคลื่อนไหวภายนอก โดยใช้เครือข่ายของพระผู้ใหญ่ที่มีสายสัมพันธ์กับทางวัดพระธรรมกายและพยายามดำเนินการเพื่อให้พระธัมมชโยพ้นผิด
“สายวัดเขามองว่ายิ่งเคลื่อนไหวมาก ทุกอย่างจะถูกเพ่งเล็งมาที่วัด ค่อยๆ ฟื้นฟูวัด รอให้สถานการณ์เอื้ออำนวยก่อนและตอนนี้ใกล้เลือกตั้งแล้ว”
ดังนั้นแนวคิดของทั้ง 2 ฝ่ายจึงสวนทางกัน เห็นได้จากการออกหนังสือปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มอัยย์ เพชรทอง บ่อยครั้ง เพราะภาพของนายอัยย์มีภาพของวัดพระธรรมกายติดตัวอยู่ เมื่อฝ่ายบริหารของวัดเลือกที่จะไม่เกี่ยวข้องด้วยจึงออกมาปฏิเสธ
อัยย์ปักใจฝีมือคนในวัด
การปะทุของความขัดแย้ง จุดเริ่มต้นมาจากการตั้งข้อสังเกตของสายอัยย์ เพชรทอง ที่มองว่าสาเหตุที่พระธัมมชโยถูกดำเนินคดีเพราะมีหนอนบ่อนไส้ภายในวัด แต่ข้อสังเกตสายของอัยย์ ได้ถูกเผยแพร่ไปยังบรรดาลูกศิษย์กลุ่มต่างๆ สร้างความไม่พอใจให้กับศิษย์ที่กุมอำนาจในวัดพระธรรมกาย พร้อมทั้งตอบโต้ว่าอัยย์จับมือกับนายแพทย์มโน เลาหวณิช อดีตศิษย์วัดพระธรรมกาย
นอกจากนี้การถูกสกัดงานเสวนาครั้งที่ 3 และ 4 สายของอัยย์ คาดการณ์ว่าเป็นฝีมือของสายพระผู้ใหญ่ที่กุมอำนาจในวัดพระธรรมกาย และเมื่อสามารถจัดงานครั้งที่ 5 ได้ในวัดพันอ้น จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ 8 กันยายน 2561 จากนั้นสายของอัยย์ได้ยื่นเรื่องต่อเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายและสำเนาถึงพระทัตตชีโว เมื่อ 11 กันยายน 2561 ให้มีการสอบอธิกรณ์พระผู้ใหญ่ในวัดพระธรรมกาย 6 รูป มี พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ รวมอยู่ด้วย
ภายหลังจากการจัดงานเสวนาครั้งที่ 6 ที่วัดปางไคร้ จังหวัดเชียงราย ทางวัดพระธรรมกายจึงออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้อง เพราะทราบถึงแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มอัยย์ว่าจะเดินไปในทิศทางใด
ตั้งเป้าโค่นได้ออกพรรษา
ประกาศเมื่อ 2 ตุลาคม 2561 ทำเอาอัยย์ เพชรทอง ออกมาบ่นกับคนใกล้ชิด แต่ยังคงเดินหน้าสู้ต่อและมั่นใจว่าน่าจะจำกัดหนอนภายในวัดพระธรรมกายได้ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ ซึ่งตรงกับวันออกพรรษา แต่ทางวัดก็ไม่ได้ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำ เพราะมีกระแสข่าวออกมาแล้วว่า ได้เตรียมการฟ้องดำเนินคดีกับสายของอัยย์ เพชรทอง ด้วยเช่นกัน
“พวกที่โจมตีพระในวัด เตรียมพยานหลักฐานไว้ให้พร้อมนะ เพราะทางฝ่ายถูกโจมตีจะฟ้องกลับ 3-4 คนนี้ วัดกำลังดำเนินการฟ้อง ส่งข้อมูลอันเป็นเท็จ เพราะเหลืออด ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง”
ขณะที่สายของอัยย์ได้ออกมาตอบโต้ว่า วันนี้แทนที่จะมาช่วยกันปกป้องวัด ปกป้องหลวงพ่อ แต่กลายเป็นว่าปกป้องพวกตนเอง โดยใช้วิธีขู่จะฟ้องเป็นคดี ถ้าฟ้องจริงสนุกแน่ อะไรที่คนภายนอกไม่รู้คราวนี้จะลากไส้ออกมาให้หมด พวกหนอนในวัดทั้งหลาย
พร้อมทั้งแจ้งอีกว่า ฝากบอกไปถึงพญาหนอนในวัดและผู้มีอิทธิพลที่ชักใยนอกวัดในระดับประเทศด้วยนะ ความลับไม่มีในโลก ใกล้หมดเวลาของหนอนแล้วนะ
ต้นไม้ใหญ่ทั้งในระดับประเทศและระดับวัด ก่อนนี้เขามีเมตตาให้มากเกินไป แต่พวกหนอนทั้งหลายก็ไม่กลับใจ เอาแต่ดูดกิน เอาแต่คิดทำลาย คนที่ให้พักพิง คนที่ให้มีกิน มีอยู่ มีใช้ ให้โอกาส ให้อนาคต
แต่หนอนก็ยังเป็นหนอนวันยังค่ำ หมดเวลาของหนอนแล้ว ไล่หนอนบ่อนไส้ ไล่เสนียดจัญไร ให้ออกไปจากประเทศ ออกไปจากวัด ช่วยกันสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรและบทอุณหิสวิชโย(วิชัย) ให้ประเทศชาติกลับมาร่มเย็น ประชาชนมีความสุข ให้วัดเป็นสถานที่ที่เป็นที่พึ่งพาของชาวพุทธอย่างแท้จริง มีแต่บุคคลดีๆ หมดเวลาของหนอนแล้ว
ต้องจับตาดูสถานการณ์ของวัดพระธรรมกายว่า ศึกของศิษย์วัด 2 กลุ่มจะดุเดือดเพียงใด เรื่องราวความขัดแย้งภายในวัด ผลประโยชน์มหาศาลจะถูกขุดคุ้ยเปิดเผยออกมาผ่านสงครามในครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน อีกไม่นานคงมีการเปิดโปงกันออกมา
นาทีนี้ไร้การปฏิเสธจากวัดพระธรรมกายและโฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ถึงสถานการณ์ความขัดแย้งกันระหว่างศิษย์วัดพระธรรมกายและพระผู้ใหญ่ในวัด ที่ปะทุขึ้นทุกวัน และหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต่างฝ่ายต่างเดินเครื่องชนฝ่ายตรงข้าม
เมื่อทางสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกายในวันที่ 2 ตุลาคม 2561 ได้ออกประกาศชี้แจงไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของอัยย์ เพชรทอง หลังจากที่กลุ่มของนายอัยย์ ได้จัดเสวนาทางวิชาการครั้งที่ 6 หัวข้อ “ถอดรหัสกฎหมายเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา” เมื่อ 26 กันยายน 2561 ที่วัดปางไคร้ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยสมาคมสื่อมวลชนพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยแห่งชาติ (สพวช.)
วัดพระธรรมกายขอชี้แจงว่า วัดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลและกลุ่มบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ผู้ที่ปรากฏในข่าวไปในนามส่วนตัว เป็นการแสดงทัศนะส่วนบุคคล การดำเนินการใดๆ ที่ผ่านมาหรือที่จะดำเนินการต่อไปของนายอัยย์ เพชรทองและนายวุฒิสาร พนารี ไม่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย ไม่ใช่ตัวแทนวัด และไม่ใช่ตัวแทนศิษย์แต่อย่างใด รวมทั้งทางวัดไม่ได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือการแสดงทัศนคติด้านอื่นๆ ทุกประการ
ไร้พระธัมมชโย-ปะทุ
เล่นประกาศต่อสาธารณะกันแบบนี้ก็ไม่ต่างไปจากการตัดหางปล่อยวัดทีมงานของอัยย์ เพชรทอง ที่ชื่อของอัยย์นับเป็นศิษย์เบอร์ต้นๆ คนหนึ่งของวัดพระธรรมกายและมีบทบาทในการขับเคลื่อนและแก้ต่างให้วัดพระธรรมกายมาตลอดในช่วงที่เกิดวิกฤตจากการใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกายช่วงกุมภาพันธ์ 2560
“ที่จริงพระครูสังฆรักษ์รังสฤษฎ์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายองค์ปัจจุบัน ไม่ใช่ตัวเลือกแรก พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ ถือเป็นเบอร์ต้นๆ ที่คาดว่าจะเข้ามารับหน้าที่แทน แต่ถูกทีมของอัยย์สกัดดาวรุ่งเสียก่อน จึงหาพระที่ไม่มีปัญหากับใครเข้ามารับหน้าที่แทน แต่อำนาจจริงยังอยู่ในมือของพระทัตตชีโว เบอร์ 2 รองจากพระธัมมชโย” สายข่าวรายหนึ่งกล่าว
พระผู้ใหญ่แต่ละรูปมักจะมีลูกศิษย์ที่นับถือเป็นกลุ่มเฉพาะ เนื่องจากแต่ละรูปจะใช้เฟซบุ๊กและสื่อออนไลน์ของตนเองในการเผยแพร่ธรรมะ บางรูปมีผู้ติดตามเป็นล้านคน แต่ทีมลูกศิษย์ที่มีบทบาทในวัดพระธรรมกายในเวลานี้คือศิษย์ของพระมหาสมชาย
ภายในวัดพระธรรมกายมีความขัดแย้งกันมาตั้งแต่ในช่วงที่พระธัมมชโยยังดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ด้วยความเกรงใจทุกคนจึงยอมเก็บเรื่องดังกล่าวไว้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนพระธัมมชโยหลบหนีคดี มีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ขึ้นมาเรื่องราวจึงปะทุขึ้น
อัยย์ VS พระมหาสมชาย
ศึกภายในเวลานี้เป็นของกลุ่มอัยย์กับลูกศิษย์ของพระมหาสมชาย ทั้ง 2 ฝ่ายต่างเดินเกมสกัดกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายที่กุมอำนาจในวัดสามารถออกประกาศในนามของฝ่ายสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกายได้ ที่หนักที่สุดคือประกาศห้ามบุคคลเข้าวัดเมื่อ 26 สิงหาคม 2561
แม้จะเป็นการระบุพฤติกรรมต้องห้าม แต่ภายในรู้ดีว่าหมายถึง 3 บุคคลของศิษย์ธรรมกาย หนึ่งในนั้นคืออัยย์ เพชรทอง แต่ภายหลังได้ถอดชื่อของอัยย์ ออกจากคำสั่งห้าม จนมาถึงประกาศไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของอัยย์ เพชรทอง และวุฒิสาร พนารี เมื่อ 2 ตุลาคม 2561
ความขัดแย้งระหว่างกันนอกจากเรื่องฝ่ายของอัยย์มองว่าฝ่ายกุมอำนาจในวัดมีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลแล้ว และการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มอัยย์ยังขัดกับแนวทางของทางฝ่ายวัด เห็นได้จากสายของอัยย์ที่ระบุว่า
เมื่อหลวงพ่อธัมมะไม่อยู่ ในวัดไม่เห็นงานพระศาสนาส่วนรวมเป็นหนึ่งในหน้าที่ ขณะที่คุณอัยย์และคุณวุฒิสาร เพราะเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อธัมมะ จึงมีใจรักพระพุทธศาสนาและร่วมปกป้องขับเคลื่อนการแก้ปัญหาให้พระพุทธศาสนาโดยรวมอย่างเต็มที่ เพราะหลวงพ่อสอนให้รักพระพุทธศาสนาและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาโดยรวม ไม่ใช่รักและทำนุบำรุงแค่วัดพระธรรมกาย
หลวงพ่อธัมมชโยสอนให้ทำบุญและทำนุบำรุงกับวัดในพระพุทธศาสนาทั้งหมด ไม่ได้สอนว่าให้ทำบุญหรือทำนุบำรุงเฉพาะพระและวัดพระธรรมกาย
การออกตัวมาปฏิเสธการมีส่วนร่วมที่ 2 คนนั้นไปขับเคลื่อนในงานพุทธศาสนาโดยรวมของพระในวัดพระธรรมกาย แค่กันวัดออกจากการขับเคลื่อนต่างๆ แต่ในคำสั่งนั้นไม่ได้ห้ามคนวัดพระธรรมกายไปร่วมทำเรื่องนี้ กรุณาอ่านให้แตกฉาน อย่าทำให้เรื่องคำประกาศจากส่วนกลางกลายเป็นคำสั่งห้ามคนวัดไปข้องเกี่ยวหรือร่วมกับ 2คนนี้ เพราะมันคนละเรื่องกัน
คนละแนวทาง
สำหรับแนวทางของวัดพระธรรมกายเลือกที่จะฟื้นฟูกิจกรรมภายในวัดอย่างสงบ หลังจากพ้นมาตรา 44 ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับใคร เพื่อลดปัญหาที่จะตามมาภายในวัดและคำนึงถึงภาพลักษณ์ของวัดเป็นหลัก ขณะที่สายของอัยย์เลือกเคลื่อนไหวภายนอก โดยใช้เครือข่ายของพระผู้ใหญ่ที่มีสายสัมพันธ์กับทางวัดพระธรรมกายและพยายามดำเนินการเพื่อให้พระธัมมชโยพ้นผิด
“สายวัดเขามองว่ายิ่งเคลื่อนไหวมาก ทุกอย่างจะถูกเพ่งเล็งมาที่วัด ค่อยๆ ฟื้นฟูวัด รอให้สถานการณ์เอื้ออำนวยก่อนและตอนนี้ใกล้เลือกตั้งแล้ว”
ดังนั้นแนวคิดของทั้ง 2 ฝ่ายจึงสวนทางกัน เห็นได้จากการออกหนังสือปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มอัยย์ เพชรทอง บ่อยครั้ง เพราะภาพของนายอัยย์มีภาพของวัดพระธรรมกายติดตัวอยู่ เมื่อฝ่ายบริหารของวัดเลือกที่จะไม่เกี่ยวข้องด้วยจึงออกมาปฏิเสธ
อัยย์ปักใจฝีมือคนในวัด
การปะทุของความขัดแย้ง จุดเริ่มต้นมาจากการตั้งข้อสังเกตของสายอัยย์ เพชรทอง ที่มองว่าสาเหตุที่พระธัมมชโยถูกดำเนินคดีเพราะมีหนอนบ่อนไส้ภายในวัด แต่ข้อสังเกตสายของอัยย์ ได้ถูกเผยแพร่ไปยังบรรดาลูกศิษย์กลุ่มต่างๆ สร้างความไม่พอใจให้กับศิษย์ที่กุมอำนาจในวัดพระธรรมกาย พร้อมทั้งตอบโต้ว่าอัยย์จับมือกับนายแพทย์มโน เลาหวณิช อดีตศิษย์วัดพระธรรมกาย
นอกจากนี้การถูกสกัดงานเสวนาครั้งที่ 3 และ 4 สายของอัยย์ คาดการณ์ว่าเป็นฝีมือของสายพระผู้ใหญ่ที่กุมอำนาจในวัดพระธรรมกาย และเมื่อสามารถจัดงานครั้งที่ 5 ได้ในวัดพันอ้น จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ 8 กันยายน 2561 จากนั้นสายของอัยย์ได้ยื่นเรื่องต่อเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายและสำเนาถึงพระทัตตชีโว เมื่อ 11 กันยายน 2561 ให้มีการสอบอธิกรณ์พระผู้ใหญ่ในวัดพระธรรมกาย 6 รูป มี พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ รวมอยู่ด้วย
ภายหลังจากการจัดงานเสวนาครั้งที่ 6 ที่วัดปางไคร้ จังหวัดเชียงราย ทางวัดพระธรรมกายจึงออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้อง เพราะทราบถึงแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มอัยย์ว่าจะเดินไปในทิศทางใด
ตั้งเป้าโค่นได้ออกพรรษา
ประกาศเมื่อ 2 ตุลาคม 2561 ทำเอาอัยย์ เพชรทอง ออกมาบ่นกับคนใกล้ชิด แต่ยังคงเดินหน้าสู้ต่อและมั่นใจว่าน่าจะจำกัดหนอนภายในวัดพระธรรมกายได้ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ ซึ่งตรงกับวันออกพรรษา แต่ทางวัดก็ไม่ได้ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำ เพราะมีกระแสข่าวออกมาแล้วว่า ได้เตรียมการฟ้องดำเนินคดีกับสายของอัยย์ เพชรทอง ด้วยเช่นกัน
“พวกที่โจมตีพระในวัด เตรียมพยานหลักฐานไว้ให้พร้อมนะ เพราะทางฝ่ายถูกโจมตีจะฟ้องกลับ 3-4 คนนี้ วัดกำลังดำเนินการฟ้อง ส่งข้อมูลอันเป็นเท็จ เพราะเหลืออด ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง”
ขณะที่สายของอัยย์ได้ออกมาตอบโต้ว่า วันนี้แทนที่จะมาช่วยกันปกป้องวัด ปกป้องหลวงพ่อ แต่กลายเป็นว่าปกป้องพวกตนเอง โดยใช้วิธีขู่จะฟ้องเป็นคดี ถ้าฟ้องจริงสนุกแน่ อะไรที่คนภายนอกไม่รู้คราวนี้จะลากไส้ออกมาให้หมด พวกหนอนในวัดทั้งหลาย
พร้อมทั้งแจ้งอีกว่า ฝากบอกไปถึงพญาหนอนในวัดและผู้มีอิทธิพลที่ชักใยนอกวัดในระดับประเทศด้วยนะ ความลับไม่มีในโลก ใกล้หมดเวลาของหนอนแล้วนะ
ต้นไม้ใหญ่ทั้งในระดับประเทศและระดับวัด ก่อนนี้เขามีเมตตาให้มากเกินไป แต่พวกหนอนทั้งหลายก็ไม่กลับใจ เอาแต่ดูดกิน เอาแต่คิดทำลาย คนที่ให้พักพิง คนที่ให้มีกิน มีอยู่ มีใช้ ให้โอกาส ให้อนาคต
แต่หนอนก็ยังเป็นหนอนวันยังค่ำ หมดเวลาของหนอนแล้ว ไล่หนอนบ่อนไส้ ไล่เสนียดจัญไร ให้ออกไปจากประเทศ ออกไปจากวัด ช่วยกันสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรและบทอุณหิสวิชโย(วิชัย) ให้ประเทศชาติกลับมาร่มเย็น ประชาชนมีความสุข ให้วัดเป็นสถานที่ที่เป็นที่พึ่งพาของชาวพุทธอย่างแท้จริง มีแต่บุคคลดีๆ หมดเวลาของหนอนแล้ว
ต้องจับตาดูสถานการณ์ของวัดพระธรรมกายว่า ศึกของศิษย์วัด 2 กลุ่มจะดุเดือดเพียงใด เรื่องราวความขัดแย้งภายในวัด ผลประโยชน์มหาศาลจะถูกขุดคุ้ยเปิดเผยออกมาผ่านสงครามในครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน อีกไม่นานคงมีการเปิดโปงกันออกมา