xs
xsm
sm
md
lg

แฉแก๊งหนี้นอกระบบปรับกลยุทธ์สับขาหลอก “จนท.รัฐ” หลงทาง!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เลขาธิการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ ระบุ หนี้นอกระบบลด แต่ไม่มีวันหมด เผยแก๊งหมวกกันน็อกเปลี่ยนกลยุทธ์ ไม่พกบัญชีทวงหนี้ เลี่ยงการจับกุม หันมาขับเก๋งแต่งตัวโก้ ขณะที่มาตรการรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันให้เข้าถึงแหล่งทุนถูกกฎหมายยังมีจุดอ่อน คนไม่รู้จักพิโกไฟแนนซ์ เหตุด้อยประชาสัมพันธ์ ส่วนนาโนไฟแนนซ์ NPL พุ่ง แห่ปิดตัว ด้านนายกสมาคมพิโกไฟแนนซ์ ชี้ แนวโน้มธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง ได้ใบอนุญาตแล้ว 411 ราย ใน 64 จังหวัด ทุนต่างชาติเสนอตัวเป็นแหล่งทุน

นับว่าปัญหาหนี้นอกระบบเป็นปัญหาทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมซึ่งภาครัฐเร่งหาทางแก้ไขและระดมกำลังกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิที่ปล่อยกู้โดยไม่เป็นธรรม ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าสาเหตุหลักที่ลูกหนี้จำนวนไม่น้อยจำต้องเข้าสู่วงเวียนหนี้นอกระบบก็เพราะไม่สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินในระบบได้เพราะไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและไม่มีรายได้ที่แน่นอน ขณะเดียวกันลูกหนี้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดจากการกู้นอกระบบได้ ไม่ว่าจะเป็นภาระดอกเบี้ยที่สูงเกินจริง ความเสี่ยงที่อาจจะได้ถูกทำร้ายหรือข่มขู่คุกคามจากการทวงหนี้

ดังนั้นมาตรการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวก็คือการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบให้แก่บรรดาลูกหนี้และประชาชนทั่วไป พร้อมทั้งดึงนายทุนเงินกู้นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบและการควบคุมของรัฐ โดยรัฐบาลได้มีนโยบายให้กระทรวงการคลังคิดโครงสร้างระบบสินเชื่อรูปแบบใหม่ๆ ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงเกิดเป็น ธุรกิจ

“สินเชื่อรายย่อยผู้ประกอบอาชีพ” หรือนาโนไฟแนนซ์ และธุรกิจ “สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ” หรือพิโกไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นธุรกิจการปล่อยเงินกู้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐแต่ผู้ปล่อยกู้ไม่ได้เป็นสถาบันการเงิน และมุ่งปล่อยกู้ให้กับประชาชนหรือผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

สำหรับ “สินเชื่อรายย่อยผู้ประกอบอาชีพ” หรือนาโนไฟแนนซ์ นั้นเป็นรูปแบบธุรกิจที่ปล่อยกู้ให้แก่ผู้ประกอบการซึ่งเข้าไม่ถึงแหล่งทุนที่เป็นสถาบันการเงินเนื่องจากไม่สามารถนำหลักทรัพย์มาค้ำประกัน โดยผู้ประกอบธุรกิจนี้จะเป็นสถาบันการเงินหรือไม่ก็ได้ หากผู้ประกอบการเป็นสถาบันการเงินก็สามารถดำเนินธุรกิจได้ทันที ส่วนผู้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินจะต้องขอจัดตั้งเป็นบริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัด มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท และต้องมีอัตราส่วนหนี้สินรวมทั้งสิ้นต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio) ไม่เกิน 7 เท่า โดยกระทรวงการคลังได้เริ่มออกใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 และภายหลังได้แก้ไขระเบียบลดทุนจดทะเบียนเหลือเพียง 10 ล้านบาท

แต่เนื่องจากเงื่อนไขในการปล่อยกู้มีความเสี่ยงสูง คือผู้กู้สามารถกู้ได้สูงสุดถึง 100,000 บาท โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายอื่นๆ จากผู้กู้ได้อีก ไม่ว่าจะเป็น ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ ค่าติดตามทวงถามหนี้ หรือเบี้ยปรับ จากผู้กู้เพิ่มเติมจากอัตราดังกล่าวได้อีก อีกทั้งสามารถปล่อยกู้ได้เฉพาะกลุ่มที่ประกอบกิจการเท่านั้น จึงทำให้เกิดปัญหารายได้จากดอกเบี้ยไม่เพียงพอต่อการหล่อเลี้ยงธุรกิจ

ที่สำคัญนาโนไฟแนนซ์มีอัตราหนี้สูญสูงมาก โดยรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ธุรกิจนาโนไฟแนนซ์มีแนวโน้มเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2560 มี NPL รวมอยู่ที่ 196 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 60% หรือจำนวน 73 ล้านบาท จากไตรมาส 3 ปี 2560 ที่มี NPL จำนวน 123 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นถึง 899% หรือจำนวน 178 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2559 ที่มี NPL อยู่แค่ 18 ล้านบาท นอกจากนั้นข้อมูลจากกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ ยังระบุว่าหนี้สูญเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10% ของยอดสินเชื่อ แต่บางบริษัทมีหนี้สูญสูงถึง 70% ของยอดสินเชื่อเลยทีเดียว

ดังนั้นแม้ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์จะค่อนข้างมีอัตราการเติบโตที่ดี โดย ณ สิ้นปี 2560 มียอดปล่อยสินเชื่อรวมอยู่ที่ 4,777 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 916 ล้านบาท หรือ 23.72% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2560 แต่ความเสี่ยงจากภาระหนี้สูญกลับทำให้บริษัทที่ประกอบธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ทยอยปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลล่าสุดพบว่า จากบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง จำนวน 25 ราย ล่าสุดเลิกกิจการไปแล้ว 7 ราย เหลือที่ดำเนินกิจการอยู่เพียง 18 รายเท่านั้น
นายสมเกียรติ จตุราบัณฑิต นายกสมาคมพิโกไฟแนนซ์ประเทศไทย
ในทางกลับกัน ธุรกิจ “สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ” หรือพิโกไฟแนนซ์ ซึ่งมุ่งปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ทั่วไปนั้นกลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งยอดสินเชื่อและจำนวนผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากพิโกไฟแนนซ์มีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะเงื่อนไขในการปล่อยกู้กำหนดให้ผู้กู้ยื่นกู้ได้รายละไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือน หรือร้อยละ 36 ต่อปี โดยผู้กู้จะมีหลักประกันหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบริษัท และผู้กู้ต้องมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดนั้นๆ ซึ่งทำให้สามารถติดตามทวงถามหนี้ได้ง่าย ขณะที่เงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งบริษัทของพิโกไฟแนนซ์ก็เอื้อต่อการเริ่มต้นธุรกิจเพราะกำหนดทุนจดทะเบียนแค่ 5 ล้านบาท เพียงแต่ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจะสามารถปล่อยกู้ได้เฉพาะภายในเขตจังหวัดที่กิจการตั้งอยู่เท่านั้น ซึ่งก็ดูจะไม่มีปัญหาเพราะปกติผู้ที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบก็มักปล่อยกู้เฉพาะในพื้นที่เท่านั้น จึงไม่ยากที่กลุ่มนี้จะตัดสินใจเข้ามาจดทะเบียนเป็นบริษัทเงินกู้ในระบบเพื่อจะได้ไม่ต้องหลบหลีกการจับกุมของเจ้าหน้าที่

นายสมเกียรติ จตุราบัณฑิต นายกสมาคมพิโกไฟแนนซ์ประเทศไทย เปิดเผยว่า พิโกไฟแนนซ์ถือเป็นแหล่งเงินกู้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนที่ต้องการสินเชื่อแต่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ส่งผลให้ยอดสินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนพฤษภาคม 2561 พิโกไฟแนนซ์มีการปล่อยกู้ให้แก่ประชาชนแล้ว 23,607 ราย คิดเป็นวงเงินรวม 602.39 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินกู้แบบมีหลักประกัน (หลักทรัพย์หรือบุคคล) 11,956 ราย เป็นเงิน 361.80 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.06 ของยอดจำนวนสินเชื่อทั้งหมด และแบบไม่มีหลักประกัน จำนวน 11,651 ราย เป็นเงิน 240.59 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.94 ของยอดสินเชื่อที่อนุมัติทั้งหมด โดยยอดเงินกู้เฉลี่ยต่อรายเท่ากับ 25,517 บาท

ขณะเดียวกันก็มีผู้สนใจเข้ามาประกอบธุรกิจนี้มากขึ้น โดยหลังจากที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจพิโกไฟแนนซ์ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 เป็นต้นมา จนถึง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 มีนิติบุคคลยื่นขออนุญาต 496 ราย ในพื้นที่ 67 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นขออนุญาตมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 46 ราย กรุงเทพมหานคร 42 ราย และร้อยเอ็ด 30 ราย

อย่างไรก็ดี มีผู้ขอคืนคำขออนุญาตในภายหลังเนื่องจากไม่มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ 85 ราย ในพื้นที่ 42 จังหวัด ล่าสุดจึงมีนิติบุคคลที่ยื่นขออนุญาตสุทธิ 411 ราย ใน 64 จังหวัด โดยมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 369 ราย ใน 64 จังหวัด ซึ่งในจำนวนนี้ได้เปิดดำเนินกิจการแล้ว 262 ราย ใน 60 จังหวัด และมีผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 234 ราย ใน 59 จังหวัด

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า ลูกหนี้ของพิโกไฟแนนซ์นั้นมี 3 กลุ่มด้วยกันคือ 1.ลูกหนี้ที่มีรายได้รายวัน เช่น พ่อค้าแม่ค้า จักรยานยนต์รับจ้าง 2.ลูกหนี้ที่มีรายได้รายเดือน เช่น ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัท คนงานในโรงงานอุตสาหกรรม และ 3.ลูกหนี้ที่มีรายได้จากผลผลิตตามฤดูกาล เช่น เกษตรกร ชาวประมง ซึ่งหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าผู้กู้ต้องมีหลักประกันหรือไม่นั้นจะพิจารณาจากความสามารถในการชำหนี้เป็นหลัก

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ที่ผ่านมาพบว่าลูกหนี้ของพิโกไฟแนนซ์นั้นมีปัญหาหนี้เสียน้อยมาก โดยปัจจุบันมีหนี้ NPL ที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน อยู่แค่ 3.09% ของวงเงินที่ปล่อยกู้ทั้งระบบ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ประกอบการพิโกไฟแนนซ์ยังไม่ตัดหนี้ลักษณะนี้เป็นหนี้เสียเนื่องจากพฤติกรรมของลูกหนี้พิโกไฟแนนซ์นั้นอาจจะชำระช้าบ้างแต่มักไม่เบี้ยวหนี้

แต่ละพื้นที่ลูกหนี้ก็มีลักษณะเฉพาะเหมือนกัน อย่างลูกหนี้กลุ่มจักรยานยนต์รับจ้างจะพบมากในจังหวัดปทุมธานี ขณะที่ลูกหนี้กลุ่มคนงานโรงงานจะพบมากในภาคตะวันออก โดยเฉพาะชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี ซึ่งแต่ละโรงงานมากู้กันเป็นร้อยราย ซึ่งข้อดีของลูกหนี้พิโกไฟแนนซ์คือหนี้เสียน้อยมาก เพราะลูกหนี้แต่ละรายกู้ในวงเงินไม่มากแต่มีการกู้ต่อเนื่อง ลูกหนี้จึงต้องการรักษาเครดิตในการชำระหนี้ หากรายไหนจำเป็นต้องมีหลักประกันส่วนใหญ่เราก็ใช้วิธีให้ค้ำกันเองระหว่างผู้กู้ หากเป็นเกษตรที่กู้ในวงเงินที่สูงก็อาจให้นำโฉนดที่ดินมาค้ำ ที่น่าสนใจคือพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นลูกหนี้ของพิโกไฟแนนซ์จะชอบการชำระหนี้เป็นรายวันหรือรายสัปดาห์เพราะเขากลัวว่าหากรอให้ถึงสิ้นเดือนจะไม่มีเงินชำระหนี้เพราะเอาเงินไปซื้อของเข้าร้านหมด อีกทั้งการชำระหนี้ง่ายมากโดยสามารถจ่ายผ่านโมบายแบงกิ้งได้” นายสมเกียรติกล่าว

จากภาพรวมดังกล่าวจึงเชื่อว่าธุรกิจพิโกไฟแนนซ์มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นแหล่งเงินกู้ที่ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ โดยหากกู้นอกระบบบางรายต้องจ่ายดอกเบี้ยถึงร้อยละ 20 ต่อวัน อีกทั้งยังอาจเจอกับระบบการทวงหนี้ที่ไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน

นายกสมาคมพิโก้ไฟแนนซ์ เปิดเผยด้วยว่า เนื่องจากธุรกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องล่าสุดได้มีบริษัททุนต่างชาติเสนอตัวที่จะให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจพิโกไฟแนนซ์เพื่อให้นำมาใช้ในการเพิ่มทุน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพในการปล่อยกู้มากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าพิโกไฟแนนซ์ยังมีปัญหาเรื่องการประชาสัมพันธ์ ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักพิโกไฟแนนซ์ จึงยังคงพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบอยู่ จึงอยากให้รัฐบาลช่วยประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้

จากปัจจัยดังกล่าวนั่นเอง ทำให้แม้พิโกไฟแนนซ์จะประสบความสำเร็จแต่ปัญหาเงินกู้นอกระบบก็ดูจะลดลงไม่มากนัก ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาแหล่งเงินกู้เดิมๆ ซึ่งแม้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยโหดแต่ก็ไม่มีทางเลือก โดย พ.ต.ท.วิชัย สุวรรณประเสิรฐ เลขาธิการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม ระบุว่า จากการลงพื้นที่พบว่าพิโกไฟแนนซ์ยังมีจำนวนไม่มากพอ และประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก ทำให้ชาวบ้านยังกู้เงินจากแก๊งเงินกู้ในพื้นที่อยู่ ขณะที่บางรายไม่ได้กู้เงินจากที่เดียว แต่มีลักษณะกู้จากเจ้าหนี้รายหนึ่งเพื่อไปใช้หนี้เจ้าหนี้อีกรายหนึ่ง บางคนกู้ถึง 3-4 เจ้า ทำให้มีหนี้พอกพูนเป็นหางว่าว ดังนั้นเชื่อว่าตราบใดที่ประชาชนยังมีปัญหาเรื่องรายได้ และยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ตามกฎหมายได้ ปัญหาหนี้นอกระบบก็ไม่มีวันหมด

พ.ต.ท.วิชัย ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันหนี้นอกระบบในภาพรวมนั้นลดลง เนื่องจากนโยบายรัฐบาลที่ให้บังคับใช้กฎหมายปราบปรามอย่างเข้มงวด แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่หมดไป ยังคงมีนายทุนเงินกู้นอกระบบกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าปัจจุบันแก๊งเงินกู้นอกระบบมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆ คือ แก๊งหมวกกันน็อก และแก๊งปล่อยกู้แบบขายฝาก

โดยแก๊งหมวกกันน็อก ซึ่งปล่อยกู้รายวันให้แก่พ่อค้าแม่ค้า และผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตเมือง กรุงเทพมหานคร และภาคกลาง เนื่องจากที่ผ่านมาถูกกวาดล้างอย่างหนัก ปัจจุบันจึงเปลี่ยนรูปแบบการทวงหนี้จากขี่รถจักรยานยนต์ไปเรียกเก็บหนี้ โดยแต่ละคนจะมีสมุดจดบัญชีรายชื่อลูกหนี้ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการจับกุม เปลี่ยนเป็นนั่งรถเก๋งและแต่งกายด้วยชุดภูมิฐาน โดยจะไม่พกสมุดจดรายชื่อลูกหนี้แต่จะใช้วิธีจดจำหน้าและจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกหนี้แทนเพื่อไม่ให้มีหลักฐานในการจับกุม โดยแต่ละคนจะรับผิดชอบทวงหนี้ลูกหนี้ในแต่ละพื้นที่เพียง 10 รายเพื่อป้องกันการสับสนของข้อมูล และบางพื้นที่อาจมีลักษณะของเครือข่ายเงินกู้จากแหล่งเดียวกัน เช่น แก๊งหมวกกันน็อกที่ปล่อยกู้ใน จ.บุรีรัมย์ เป็นกลุ่มเดียวกับที่ปล่อยกู้ใน จ.อุทัยธานี และจันทบุรี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่านายทุนกลุ่มนี้เป็นใคร

ส่วนแก๊งปล่อยกู้แบบขายฝาก จะพบมากในภาคอีสาน กลุ่มนี้มีเป้าหมายต้องการยึดที่ดินจากเกษตรกรที่ต้องการเงินทุนไปใช้ในการเพาะปลูก โดยใช้วิธีให้ลูกหนี้ทำสัญญาขายฝากที่ดินแลกกับการกู้เงิน และกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนระยะสั้น ประมาณ 3 เดือน ทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ทัน ทำให้ที่ดินถูกยึดเป็นของนายทุน มักมีเครือข่ายนายหน้าลงไปชักชวนชาวบ้านในพื้นที่ โดยนายหน้าจะดำเนินการเรื่องสัญญา พร้อมทั้งหักเปอร์เซ็นต์ค่าดำเนินการ ลูกหนี้กลุ่มเกษตกรที่ไม่มีความรู้จึงเสียเปรียบ ได้รับเงินกู้เพียงเล็กน้อยแต่ต้องใช้หนี้ก้อนโตและจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง และส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าถ้าไม่ไถ่ถอนภายในกำหนดที่ดินจะถูกยึด

ผู้ปล่อยกู้มีทั้งนายทุนรายใหญ่และรายย่อย อย่างที่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และมหาสารคาม เราพบว่านายทุนที่ปล่อยกู้เป็นรายเดียวกัน โดยเข้าไปจับมือกับนายหน้าในท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้หาลูกค้าให้ นายหน้าจะเข้าไปหลอกให้ชาวบ้านซึ่งเป็นหนี้ธนาคาร ธ.ก.ส. ไถ่ถอนหนี้ออกมาแล้วกู้กับนายทุนเงินกู้แทน โดยโกหกว่าอัตราดอกเบี้ยถูกกว่าและระยะเวลาผ่อนนานกว่า อย่างเป็นหนี้ ธ.ก.ส.1 แสน บวกดอกเบี้ยนิดหน่อย นายหน้าก็จะเอาเงินมาไถ่ถอนหนี้จาก ธ.ก.ส. แล้วไปทำสัญญากู้กับนายทุน โดยเพิ่มวงเป็น 2 แสน แต่ชาวบ้านได้รับจริงแค่ 2-3 หมื่น ที่เหลือถูกหักเป็นค่าดอกเบี้ยล่วงหน้าและค่าดำเนินการ ถึงกำหนดชำระหนี้ก็ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยอีก” พ.ต.ท.วิชัย ระบุ

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ฯ สามารถดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบได้จำนวนไม่น้อย อาทิ กรณีช่วยเหลือลูกหนี้ที่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ จำนวน 14 รายซึ่งจะถูกยึดที่ทำกิน โดยได้เจรจากับเจ้าหนี้ให้คืนที่ดินให้ชาวบ้าน พร้อมทั้งให้ลูกหนี้ชำระหนี้ในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ส่วนดอกเบี้ยที่เรียกเก็บสูงเกินจริงไปแล้วก็ให้นำมาหักลบกับหนี้ที่ค้าง โดยใช้วิธีโอนชาวบ้านให้ไปเป็นลูกหนี้ของกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน ซึ่งคิดดอกเบี้ยในอัตราถูกและให้กู้ระยะยาว แล้วนำเงินที่กู้จากกองทุนฯ มาใช้หนี้แก่นายทุน

ดังนั้น แม้มาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐดำเนินการจะส่งผลให้ปัญหาหนี้นอกระบบโดยรวมลดลง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนี้นอกระบบยังคงมีสัดส่วนค่อนข้างสูงและเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังคงต้องเดินหน้าเพื่อให้การแก้ปัญหาดังกล่าวประสบผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน



กำลังโหลดความคิดเห็น